เมาส์รุ่นใหม่ที่ออกมาวางขายกันเต็มท้องตลาดมักจะมาพร้อมกับดีไซน์สุดอลังกาล และ สีสันสุดแจ่ม แต่แน่นอนว่าสิ่งต่างๆที่เขาเหล่านั้นเพิ่มขึ้นมา นั้นมีทั้งความสวยงามความแปลกใหม่ และ บางอย่างที่เพิ่มเข้ามามันก็ดูไร้ประโยชน์เกินไปก็มี แต่ทาง HyperX แบรนด์ Gaming ชั้นนำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในวงการ eSport ได้เห็นถึงจุดนี้จึงได้เปิดตัวสุดยอดเมาส์ Pulsefire FPS ขึ้นมา ในราคาเพียง 1,890 บาท ด้วยรูปแบบดีไซน์สุดคลาสสิก แต่เปี่ยมล้นไปด้วยคุณภาพ
สเปคพื้นฐาน
-
Connectivity Technology : wired
-
Interface : USB
-
Movement Detection Technology : optical
-
Movement Resolution : 3200 dpi
-
Performance : realtime sensitivity switching 400 – 3200 dpi
-
Buttons Qty : 6
-
Product Type: mouse
การออกแบบ
HyperX จะเน้นการดีไซน์ที่ดูเรียบง่ายและใช้งานง่าย โดยตัวเมาส์จะผลิตมาจากพลาสติกสีดำทั้งหมดและบริเวณด้านข้างนันมาพร้อมกับยางจับด้านข้างสีดำและปุ่มทั้งหมดหกปุ่มซึ่งจุดเด่นตอนใช้งานนั้นยกให้กับแผ่นยางกันที่ทำออกมาแผ่นใหญ่กว่าเม่ส์ตัวอืนพอสมควรจึงทำให้มีพื้นที่ในการจับเมาส์รูปแบบต่างๆได้อย่างอิสระ โดยตัวเมาส์นั้นจะเป็นเมาส์ที่ออกแบบมาสำหรับคนมือขวาเท่านั้นพอเวลาที่เราจับเมาส์ตรงนิ้วโป้งของเราก็จะอยู่ปุ่ม 2 ปุ่ม บริเวณด้านข้างพอดีโดยที่เป็นแบบนี้เพราะว่าการออกแบบของ HyperX ที่จะช่วยให้เรานั้นสามารถใช้งานปุ่มด้านข้างได้ง่ายขึ้นนั้นเอง ส่วนบริเวณด้านบนของเมาส์จะมี mouse scroll ที่มีไฟ LED สีแดง
แถมบริเวณด้านล่างของปุ่ม mouse scroll บนเมาส์เป็นปุ่มที่เอาไว้เปลี่ยน DPI โดยค่า DPI นั้นจะเปลี่ยนไปตามสีบริเวณของปุ่มนั้น โดยค่าเริ่มต้น นั้นจะอยู่ที่สีแดง ก็คือ 800 DPI นั้นเอง โดยบริเวณทั้งของข้างของตัวเมาส์นั้นจะมีแผ่นยางกันลื่น โดยที่จะมีแผ่นยางที่ขนาดใหญ่พอที่จะรองรับคนที่มีมือที่ค่อนข้างใหญ่รวมไปถึง การจับในรูปแบบต่างๆรวมไปถึงการจับแบบ Claw ก็สามารถเล่นได้โดยที่ไม่มีปัญหาใดๆอย่างแน่นอน มากับที่รูปร่างเมาส์ที่มีขนาดค่อนข้างเล็กกระทัดรัด
และน้ำหนักเพียง 3.3 ออนซ์ก็ตาม แต่หลังจากได้ลองจับแล้ว Pulsefire นั้นมีการออกแบบที่ดีจึงทำให้เรานั้นสามารถจับใช้งานและควบคุมได้ดีกว่าเมาส์ที่มีขนาดพอๆกันตัวอืนอย่าง Razer DeathAdder Chroma หรือ Logitech Pro G ที่มีราคาที่สูงกว่า ส่วนในเรื่องสายนั้นเป็นสายถักที่ให้ความยาวมาถึง 180cm ถือว่ายาวมากๆเมื่อเทียบกับเมาส์ตัวอืน เพราะส่วนใหญ่มักให้มาเพียง 120cm เท่านั้น โดยเมาส์ Pulsefire มาพร้อมกับ Omron Switch ที่สามารถรองรับการกดได้ถง 20 ล้านครั้ง โดยสามารถใช้งานไม่ต่ำกว่า 4 ปีอย่างแน่นอน
การใช้งาน
ก่อนอืนต้องบอกก่อนว่าเมาส์ตัวนี้นั้นไม่สามารถตั้งค่าไฟในตัวเมาส์ได้ โดยตัวเมาส์นั้นจะเน้นเป็นสีแดงเป็นหลักเพื่อเพิ่มความดุดันให้กับตัวเมาส์ และยังเป็นสีประจำของ HyperX อีกด้วย แต่ก็นอกจาก ไฟตรงบริเวณปุ่มที่ใช้ปรับ DPI ที่จะเปลี่ยนไปตาม DPI ที่เราตั้งค่าไว้อยู่ โดยเมาส์ตัวนี้นั้นจะเป็น Plug And Play จึงไม่จำเป็นที่จะต้องลงโปรแกรมใดๆ เพียงแค่เสียบก็สามารถใช้งานได้เลยในทันที โดย Pulsefire นั้นจะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ PixArt 3310 ที่เป็นเซ็นเซอร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่เซ็นเซอร์ของ Gaming Mouse ดังนั้นมั่นใจในเรื่องประสิทธิภาพได้เลยเพราะว่าเซ็นเซอร์ตัวนี้นั้นมีชื่อเสียงในเรื่องความแม่นยำและความนิ่งของตัวเซ็นเซอร์
โดยเมาส์ตัวนี้นั้นสามารถปรับระดับ Dpi ได้ถึง 4 ระดับนั้นก็คือ 400, 600, 800, และ 3,200 โดยมาลองทดสอบใช้จริงสำหรับเกม CS:GO แน่นอนว่า Pulsefire FPS ก็ต้องทดสอบกับเกม FPS สิถึงจะถูก โดยแน่นอนว่า Dpi 400 กับ 800 นั้นจะเหมาะสำหรับ CSGO มากที่สุดสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน โดยเมาส์นั้นค่อนข้างนิ่งเพราะนอกจากเซ็นเซอร์ระดับ Pro แล้วการดีไซน์ตัวเมาส์นั้นยังออกแบบมาเพื่อช่วยในเรื่องด้านการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น พอเราปรับไป 3,200 เท่านั้นละตัวเซ็นเซอร์นั้นยังนิ่งอยู่ในระดับหนึ่งแต่กับความไว และ อัตราการตอบสนองที่รวดเร็ว จึงทำให้การควบคุมนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้น Dpi ที่แนะนำก็คือ ไม่เกิน 800 เมาส์ตัวนี้จะสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้ดีที่สุด
สรุปแล้วเจ้าตัว Pulsefire FPS เป็นเมาส์สำหรับเล่นเกมที่เน้นการใช้งานที่ง่ายและมาพร้อมกับราคาที่เหมาะสมในราคาเพียง 1,890 บาท ที่มาพร้อมประสิทธิภาพที่มาอย่างเต็มเปี่ยม โดยที่ตัวเมาส์น้้นไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งลง Software ให้เสียเวลาโดยทุกอย่างสามารถตั้งค่าผ่านตัวเมาส์ได้เลย แต่ก็ยังคงความคลาสสิกในการออกแบบที่แฝงความดุดันด้วยสีดำที่ตัดกับไฟสีแดงได้อย่างลงตัว
ข้อดี
- ใช้งานง่าย Plug And Play
- มีแผ่นกันลื่นที่ใหญ่และกว้าง
- มีการตั้งค่า DPI ถึง 4 ระดับ
จุดสังเกตุ
- ใช้ได้เฉพาะมือขวาเท่านั้น ใครถนัดมือซ้ายก็ต้องรอรุ่นต่อไปกันครับผม