ณ เวลานี้หลาย ๆ คนคงทราบดีถึงเรื่องราวของ Bitcoin ที่กำลังเป็นกระแสมาแรง ชนิดที่ว่าทำให้การ์ดจอสำหรับเล่นหมดเกลี้ยงตลาดจนหาของแทบไม่ได้ได้ ซึ่งประเด็นหลักที่หลาย ๆ คนทราบดีเกี่ยวกับ Bitcoin คือ การคืนทุนที่รวดเร็วหลังจากนั้นก็เป็นกำไรระยะยาว อีกทั้งยังทำง่าย ๆ เพียงแค่เปิดเครื่องขุดทิ้งไว้เฉย ๆ
แต่มือใหม่หลายคนหารู้ไม่ การแห่กันขุดในลักษณะนี้ทำให้เกิดผลกระที่ตามมา ก็คือค่าดิฟพุ่งสูงในระยะเวลาอันรวดเร็ว แล้วค่าดิฟคืออะไร แล้วส่งผลกระทบอะไรกับผู้ที่ทำเหมือง Bitcoin บ้าง
ดิฟ หรือ Diff แท้จริงแล้วมันมาจากคำว่า Difficult ที่แปลว่ายาก ค่าความยากนี้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เหรียญถูกขุดง่ายจนเกิน ซึ่งค่า Diff จะเพิ่มขึ้นตามกำลังการขุดโดยรวมที่สูงขึ้น เปรียบเสมือนกับเหมืองทองที่มีคนขุดหลาย ๆ คน ย่อมได้ทองน้อยกว่าเหมืองที่ขุดโดยคน ๆ เดียว เพราะทองถูกหารแบ่งออกไปตามจำนวนคนที่ขุด ยิ่งมีคนขุดมาก ทองที่แต่ละคนได้จะลดน้อยลง
จากเหตการณ์ที่ชาวเหมือง Ethereum จำนวนมากต่างแยกย้ายกันไปขุดเหรียญอื่น เนื่องจากค่าดิฟที่สูงขึ้น ลองมาวิเคราะห์จากกราฟแสดงค่า Difficult Rate จากเว็บไซต์ coinwarz ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา จากวันที่ 26 พฤษภาคม 2017 ถึงวันที่ 26 มิถุนายน 2017 จะสังเกตุได้ว่ารูปแบบของกราฟนั้นจะเป็นแบบพุ่งทะยานขึ้นสูงมาก ๆ
โดยค่าดิฟในวันที่ 26/05/2017 อยู่ที่ 458 แล้วมาดูค่าดิฟในวันที่ 26/6/2017 จะอยู่ที่ 906 ซึ่งค่า Diff ได้พุ่งสูงเกินกว่าเท่าตัวในเวลาแค่เดือนเดียว ทำให้เหรียญขุดได้ยากขึ้น รวมถึงการปรับ Algorithm ใหม่ทำให้คนแห่กันเทขาย ส่งผลให้ราคาเหรียญ Ethereum ดิ่งลงจาก เกือบแตะ 15,000 บาท เหลือเพียง 10,000 บาท เท่านั้น และยังคงดิ่งลงเรื่อย ๆ ไม่มีท่าว่าจะหยุด
สำหรับมือเก่าและมือใหม่ช่วงนี้จะตัดสินใจทำอะไรควรคิดให้ดี ๆ เพราะ Cryptocurrency ในตลาดโลกกำลังผันผวนอย่างหนัก อีกทั้งหลาย ๆ เหรียญยังมีราคาดิ่งลงอย่างน่าตกใจจนเริ่มมีกระแสปลุกปั่น เทขาย เหมืองแตก กันอยู่เรื่อย ๆ ก็ทำให้บางคนถึงกับแตกตื่น ซึ่งไม่มีอะไรที่แน่นอน ณ เวลานี้หากจะเลือกขุดต่อถือรอวันขึ้น หรือเปลี่ยนเหรียญหนีตายก็แล้วแต่จะเลือก ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง จะทำอะไรควร คิด วิเคระห์ แยกแยะ ให้ดี ๆ