หูฟังดีๆ นับเป็นอีกหนึ่ง gaming gear ที่ขาดไม่ได้สำหรับเกมเมอร์ตัวจริงหลายๆ ท่านไปแล้ว เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเล่นเพิ่มขึ้นได้มาก และในบางโอกาส ก็อาจช่วยให้ผู้เล่นได้รับอรรถรสจากเกมได้อย่างเต็มอารมณ์กว่าการใช้ลำโพงด้วยซ้ำไป เราจึงได้เห็นตลาดของหูฟังเกมมิ่งได้รับการพัฒนาขึ้นอยู่ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับ Kingston ที่มีการเลือกหยิบเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใส่ในผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกมเมอร์ได้สัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมที่สมจริงยิ่งขึ้น อย่างเช่นหูฟังที่ Notebookspec ได้รับมารีวิวในครั้งนี้ กับ Kingston HyperX Cloud Revolver S ซึ่งเป็นรุ่นต่อยอดจาก Cloud Revolver ขึ้นมาอีกระดับ และแน่นอนครับ ว่ามันมีฟีเจอร์เพิ่มเข้ามาแน่นอน จะมีอะไรบ้าง มาชมในรีวิวหูฟัง Kingston HyperX Cloud Revolver S ตัวนี้กันเลย
เริ่มจากกล่องภายนอก จะเป็นกระดาษแข็ง ถูกออกแบบมาให้เน้นสีดำเป็นพื้น ตัดด้วยตัวอักษรสีแดงและสีขาว ให้ความดุดัน สมเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเกมมิ่งมากๆ ซึ่งตัวหน้ากล่องก็มีเขียนฟีเจอร์เด็ดๆ มาเรียบร้อย ได้แก่
- ระบบเสียง Dolby Surround Sound 7.1 ทิศทาง
- ตัวควบคุมระดับเสียง ที่เป็นการ์ดเสียงด้วยในตัว เชื่อมต่อผ่าน USB
- ไมโครโฟนที่มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวน
- ความกว้างเวทีเสียง (ซาวด์สเตจ) ที่ดีในระดับสตูดิโอ
เพียงแค่นี้ก็เรียกว่าจัดเต็มในด้านของคุณภาพเสียง ทั้งการฟังและการพูดเลยทีเดียว ทำให้ด้านล่างกล่องมีโลโก้รับรองมาด้วยครับ ว่า Kingston HyperX Cloud Revolver S สามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรม Teamspeak และ Discord ซึ่งเป็นโปรแกรมแชทยอดนิยมสำหรับคอเกมในยุคนี้ได้แบบราบรื่น
ส่วนเรื่องของอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานได้ ก็มีบอกไว้เสร็จสรรพ คือสามารถใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์พีซี, แมค รวมถึงกับเครื่องเกมคอนโซลอย่าง PlayStation 4 และ Xbox One ผ่านทางพอร์ต USB ของแต่ละเครื่องได้ทันที นอกจากนี้ยังใช้งานกับมือถือ สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นๆ ผ่านทางช่องแจ็คหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรได้อีกด้วย
ด้านของสเปค ข้อมูลเชิงเทคนิคที่น่าสนใจก็มีดังนี้
- ไดรเวอร์หูฟังขนาด 50 มิลลิเมตร ภายในมีแม่เหล็ก neodymium
- ตอบสนองต่อคลื่นเสียงในช่วงความถี่ 12 – 28,000 Hz
- ค่าความต้านทาน 30 โอห์ม
- น้ำหนัก 360 กรัม
- ความยาวสายที่ตัวหูฟัง 1 เมตร
- ความยาวสายที่มีตัวควบคุมเสียงแบบ USB อยู่ด้วย 2.2 เมตร
- ความยาวสาย 3.5 มม. เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ 2 เมตร
- ไมค์เป็นแบบ electret condenser รับเสียงแบบ bi-directional มีระบบตัดเสียงรบกวน
- รับเสียงได้ในช่วงคลื่นความถี่ 50 – 18,000 Hz
- ราคา 5,890 บาท
ส่วนด้านหลังก็ยังคงเป็นการพูดถึงฟีเจอร์เช่นกัน แต่มีการขยายรายละเอียดเพิ่มขึ้นครับ ที่น่าสนใจก็เช่นตัวก้านครอบหูฟังเลือกใช้สแตนเลสสตีลที่มีความยืดหยุ่น ฟองน้ำครอบหูที่เลือกใช้เมมโมรีโฟมในแบบของ HyperX เอง เป็นต้น
ด้านล่างก็มีการการันตีเพิ่มเติมอีกครับ ว่า Kingston HyperX Cloud Revolver S สามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมอะไรได้บ้าง ที่เพิ่มขึ้นมาจากด้านหน้ากล่องก็คือ Skype, Ventrilo, Mumble และ Raidcall เรียกว่าครอบคลุมโปรแกรมแชทหลักๆ สำหรับคนเล่นเกมแล้วแหละ
สำหรับอุปกรณ์ที่มีมาในกล่อง ก็ได้แก่
- หูฟัง Kingston HyperX Cloud Revolver S
- สายจาก 3.5 มม. ตัวเมีย ออกเป็น 3.5 มม. ตัวผู้ 2 หัว สำหรับใช้ต่อกับช่องหูฟัง/ไมค์ของคอมพิวเตอร์ ในกรณีที่ไม่ได้เชื่อมต่อแบบ USB
- ไมโครโฟนแบบถอดได้
- ชุดควบคุมระดับเสียงที่เป็นการ์ดเสียงในตัว ใช้เพื่อไปเชื่อมต่อกับ USB ของคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องเกมคอนโซล
- คู่มือการใช้งานเบื้องต้น
ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมด จะถูกบรรจุอยู่ในกล่องที่มีการบุฟองน้ำข้างในมาเป็นอย่างดี สายเชื่อมต่อทุกเส้นเป็นสายถักสีดำทั้งหมด เพื่อความทนทานในการใช้งาน
มาเริ่มต้นที่ตัวหูฟัง Kingston HyperX Cloud Revolver S กันก่อน วัสดุ งานประกอบโดยรวม จัดว่าแข็งแกร่ง งานเนี้ยบดดีมาก ตัวก้านที่เป็นโครงหูฟังเป็นสแตนเลสสตีลที่มีความยืดหยุ่นในการง้างตัวหูฟังเพื่อการใช้งานทั่วไปได้เป็นอย่างดี แข็งแรง แต่น้ำหนักเบาทำให้สามารถใช้งานติดต่อกันเป็นชั่วโมงได้แบบไม่รู้สึกว่ามีน้ำหนักกดลงบนหัว
บริเวณที่ครอบหูทั้ง 2 ฝั่ง วัสดุจะเป็นพลาสติกที่เคลือบผิวแบบซอฟต์ทัชซึ่งให้สัมผัสที่ดี เวลาลูบผ่านแล้วไม่บาดมือ แต่ก็จะทำให้เห็นรอยนิ้วมือได้อยู่เหมือนกัน ส่วนตรงโลโก้ HyperX และริ้วสีขาวใกล้ๆ กัน รอบนี้จะไม่มีไฟสีแดงออกมาระหว่างใช้งานเหมือนกับตัวของ Kingston HyperX Cloud Revolver รุ่นก่อนหน้าแล้วนะครับ อันนี้ผมคาดว่าทาง Kingston คงอยากลดความฉูดฉาดลง เผื่อบางคนอาจจะอยากใช้ใส่ฟังเพลง เวลาออกไปข้างนอกบ้านบ้าง จะได้ดูไม่สะดุดตาเกินไป
อย่างที่พูดถึงไปข้างต้นแล้วว่าไมโครโฟนจะมาเป็นแบบก้านไมค์แยกมา หากต้องการใช้งาน ก็สามารถนำมาเสียบตรงช่องใกล้ๆ กับสายสัญญาณที่หูฟังข้างซ้ายได้เลย เมื่อเสียบเข้าไปแล้ว ให้ดันก้านเข้ามาในช่องให้สุดนะครับ เพื่อความแน่นหนาระหว่างการใช้งาน จากที่ผมลอง บอกเลยว่ามันแน่นจริงๆ โดยตัวก้านจะเป็นพลาสติกที่สามารถดัดงอได้เล็กน้อย เพื่อให้เข้ามาใกล้กับปากของผู้ใช้งานมากที่สุด ซึ่งไมค์สามารถรับเสียงได้ดี โดยที่อีกฝ่ายได้ยินเสียงชัดเจน ทั้งนี้ก็ด้วยฟีเจอร์การตัดเสียงรบกวนที่มีอยู่ในตัวไมโครโฟนนั่นเอง
ส่วนฝั่งด้านในที่ต้องสัมผัสกับศีรษะผู้ใช้งานนั้น จะห่อหุ้มด้วยวัสดุผิวสัมผัสคล้ายหนัง ที่ภายในอัดแน่นด้วยฟองน้ำแบบเมมโมรีโฟม อันมีคุณสมบัติในการปรับรูปร่างตามสรีระผู้ใช้งาน โดยมีการคืนตัวอย่างช้าๆ เพื่อให้เกิดความพอดีที่สุด ไม่กดทับจนเกินไป และหลังใช้งานแล้ว ก็สามารถคืนรูปเดิมได้ง่าย สำหรับการปรับระดับตามความสูงของศีรษะ จะเป็นการปรับที่ด้านในโครงสแตนเลสนะครับ ทำให้การสวมใส่ง่ายขึ้นมากๆ ไม่ต้องมาปรับตัวล็อกระดับก่อนถึงค่อยสวมใส่ แต่สามารถใส่ครอบศีรษะลงมาได้เลย จากนั้นก้านภายในจะปรับเองโดยอัตโนมัติ
ด้วยการเลือกใช้วัสดุคุณภาพดี ทำให้สามารถใส่ใช้งานต่อเนื่องได้นานเป็นชั่วโมงๆ เนื่องจากก้านด้านบนไม่ได้กดทับศีรษะเกินไป ตัวของเมมโมรีโฟมก็นุ่มกำลังดี มีขนาดของช่องที่ครอบใบหูได้ทั้งใบแบบไม่มีส่วนกดทับเลย
ด้านบนนี้ก็เป็นภาพของ Kingston HyperX Cloud Revolver S ที่ประกอบไมค์จนพร้อมใช้งานแล้วครับ จากภาพซ้าย เรียกว่าดูเหมือนหูฟังมอนิเตอร์สำหรับฟังเพลง และใช้ทำงานด้านเสียงเลยทีเดียว พอมาดูด้านข้าง ก็ให้ดีไซน์ที่มีความเป็นเกมมิ่งเพิ่มขึ้นมา สำหรับน้ำหนัก ก็จัดว่าไม่หนักมากนักครับ ถือเดินไปเดินมา ใส่ใช้งานได้สบายๆ
ทีนี้มาดูตัวเอกกันบ้างครับ นั่นคือโมดูลตัวควบคุมระดับเสียง ที่ทำหน้าที่เป็นการ์ดเสียงแบบ DSP ซึ่งช่วยประมวลผลเพื่อเพิ่มคุณภาพเสียงให้กับ Kingston HyperX Cloud Revolver S ผ่านการเชื่อมต่อด้วยแจ็คขนาด 3.5 มิลลิเมตรจากสายของหูฟัง ซึ่งผมทดลองเอาหูฟังอื่นมาเสียบแทน Kingston HyperX Cloud Revolver S ก็พบว่าสามารถใช้งานได้เหมือนกัน
สำหรับตัวรีโมทก็จะมีปุ่มฟังก์ชันมากมาย ได้แก่
- ปุ่มใหญ่สุดที่เป็นรูปหูฟังครอบสัญลักษณ์ Dolby ใช้สำหรับเปิด/ปิดระบบเสียง Dolby Surround Sound 7.1 ทิศทาง (ถ้าเปิดใช้งานอยู่ จะมีไฟสีแดงติดขึ้นมาที่ปุ่ม)
- ปุ่มรูปไมค์ เป็นปุ่มปิดการทำงานของไมค์ ถ้ามีไฟสีแดงติดอยู่ แสดงว่าไมค์ไม่ทำงาน
- วงล้อด้านข้าง ด้านบนจะเป็นตัวปรับระดับความดังเสียงหูฟัง ด้านล่างจะเป็นตัวปรับระดับความดังของไมค์
- ฝั่งซ้ายบนจะมีอีกปุ่มซ่อนอยู่ ใช้สำหรับเปลี่ยนชุด equalizer ของเสียง โดยจะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อปิดการทำงานของระบบ Dolby Surround อยู่เท่านั้น
เรื่องระบบเสียง จากที่รีวิว ผมขอแนะนำว่าให้เปิดใช้งานระบบเสียง Dolby Surround ไว้ดีกว่าครับ เพราะมันช่วยจำลองเสียงออกมา 7.1 ทิศทาง และยังทำให้คุณภาพเสียงโดยรวมดีขึ้นกว่าการใช้ชุด equalizer ที่มีให้มาทั้ง 4 รูปแบบเสียอีก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้งานครับ เพราะในบางครั้ง เราก็ไม่ได้ต้องการเสียงรอบทิศทางเสมอไป
อีกด้านของรีโมทก็จะเป็นคลิป ให้ใช้หนีบกับเสื้อได้ สำหรับน้ำหนักของตัวรีโมทก็ไม่ได้จัดว่าหนักอะไรครับ แต่ถ้าปล่อยลอยไว้กลางอากาศ จะพบว่ามันก็ถ่วงสายจนตึงอยู่เหมือนกัน จนอาจทำให้ใช้งานไม่สะดวก
ระหว่างใช้งานอยู่ ตัวของรีโมทจะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย มาอยู่ในระดับอุ่นๆ ทั้งนี้ก็เนื่องจากภายในมันมีวงจร DSP ช่วยประมวลผลเสียงอยู่ด้วยนั่นเองครับ จะมองว่ามันเป็นการ์ดเสียงแบบภายนอกตัวหนึ่งเลยก็พอได้อยู่นะ
หนึ่งในจุดเด่นที่มาพร้อมกับ Kingston HyperX Cloud Revolver S ก็คือความง่ายในการใช้งาน เนื่องจากมันถูกออกแบบมาให้เป็นหูฟังแบบ plug & play คือสามารถเสียบสาย USB เข้ากับคอมพิวเตอร์แล้วใช้งานได้ทันที ไม่ต้องลงไดรเวอร์หรือโปรแกรมช่วยควบคุมใดๆ ในคอมเลย หูฟังปกติใช้ง่ายอย่างไร Kingston HyperX Cloud Revolver S ก็เป็นแบบนั้นเป๊ะๆ ช่วยลดความยุ่งยากในการใช้งานลงไปได้มาก จากที่ผมลองกับทั้ง Windows 10 ใน Lenovo Y700 และก็ลองกับ MacOS ใน MacBook Air ก็พบว่าทั้งสองมองเห็น Kingston HyperX Cloud Revolver S ได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าเป็นใน Windows 10 ระบบก็จะปรับไปใช้ตัวหูฟังเป็น input/output หลักทันที ส่วนใน MacOS ก็สามารถปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ได้จากในช็อตคัตปรับระดับเสียงได้เลยเช่นกัน
ส่วนการใช้งานร่วมกับเครื่องเกมคอนโซล ผมได้นำไปลองใช้เล่นเกมบน PS4 การใช้งานก็ง่ายมากครับ แค่เสียบสาย USB เข้าไปที่ช่องด้านหน้าเครื่อง จากนั้นกดปุ่ม PS ค้างไว้ แล้วปรับตัวเลือกในเมนู Output to Headphones ให้เป็น All Audio ก็สามารถฟังทุกเสียงในเกมผ่านหูฟังได้แล้ว และยังสามารถใช้งานไมค์ได้อย่างสมบูรณ์ด้วย
การใช้งาน Kingston HyperX Cloud Revolver S นั้น หากต้องการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็จะต้องเป็นการใช้แบบผ่านรีโมท แล้วไปต่อกับคอมพิวเตอร์/เครื่องคอนโซลผ่าน USB ครับ เพื่อจะได้ใช้งานฟีเจอร์ด้านเสียง โดยเฉพาะระบบเสียง Dolby Surround Sound ช่วยจำลองเสียง 7.1 รอบทิศทางที่ช่วยเพิ่มมิติเสียงได้ดีมากๆ จากที่ผมลองเล่นเกมที่ต้องอาศัยการฟังเสียงมากๆ อย่างเกม Battlefield 1 ซึ่งต้องคอยฟังเสียงฝีเท้าศัตรู เสียงปืน เสียงระเบิด ก็พบว่ามันสามารถจำแนกทิศทาง ความหนักเบา น้ำหนักของเสียงได้ดีมาก ฟังแล้วรู้ได้เลยว่าศัตรูยิงเรามาจากทิศทางไหน
ส่วนการใช้งานกับ PS4 ผมก็เอาไปลองกับที่กระแสกำลังมาแรงอย่าง Horizon Zero Dawn ที่เป็นเกมสำหรับ PS4 เท่านั้น ตัวเกมจะเป็นแนว open world ที่ต้องคอยฟังเสียงศัตรูอันเป็นเครื่องจักรให้ดีๆ ว่ามันอยู่ทิศทางใด ใกล้ไกลจากตัวผู้เล่นขนาดไหน รวมถึงยังมีเสียงพื้นหลังเป็นเสียงธรรมชาติในป่า เสียงฝนที่กำลังกระหน่ำ อันนี้ Kingston HyperX Cloud Revolver S ก็ให้มิติได้ดีครับ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเกมด้วยส่วนหนึ่ง ว่ามีการแยกเลเยอร์ แยกทิศทางเสียงมาดีขนาดไหน
อีกเกมที่ผมลองบน PS4 ก็คือ FIFA 17 เพื่อจะได้ลองกับแนวเกมที่หลากหลาย ผลก็คือ ผมเล่นแล้วรู้สึกอินกับการแข่งขันเพิ่มขึ้นกว่าตอนใช้ลำโพงทีวีนะ เพราะตัวระบบเสียงรอบทิศทางใน Kingston HyperX Cloud Revolver S เหมือนมันจะช่วยแยกเสียงของคนพากย์ในเกมและเสียงเชียร์ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น รู้สึกได้เลยว่าเหมือนกำลังเป็นนักเตะที่มีคนมาเชียร์จริงๆ ผิดกับตอนใช้ลำโพงทีวี ที่เสียงนักพากย์มันค่อนข้างกลืนไปกับเสียงลูกบอลที่ถูกเตะและเสียงกองเชียร์มากเกินไปครับ เรียกว่าเล่นได้เพลินและอินกับแต่ละแมตช์มากกว่าเดิมจริงๆ
นอกเหนือจากการใช้ฟังเสียงในเกมแล้ว Kingston HyperX Cloud Revolver S ยังนำมาใช้ฟังเพลงได้ดีเกินคาดด้วยครับ จากที่ปกติ เมื่อเอาหูฟังเกมมิ่งมาฟังเพลง มักจะได้เสียงที่เน้นหนักไปทางเบส มีความทุ้มจนบางครั้งก็ไปกลบเสียงย่านอื่นเสียมิด ทำให้หูฟังเกมมิ่งถูกจำกัดเอาไว้ว่าใช้แค่ตอนเล่นเกมก็พอ
แต่อย่างที่บอกว่า Kingston HyperX Cloud Revolver S ใช้ฟังเพลงได้ดีเกินกว่าที่คาดคิด เพราะเสียงเพลงที่ได้ออกมา ค่อนข้างมีความกลมกล่อมของ 3 ย่านเสียงหลักที่กำลังดี สรุปได้ประมาณนี้ครับ
- เสียงเบสไม่บวมมากนัก แต่ก็ยังหนากว่าหูฟังสำหรับฟังเพลงทั่วไป มีให้มาเพื่อเป็นพื้นสำหรับเสียงอื่นๆ อิมแพคไม่แน่นมาก
- เสียงกลาง ค่อนข้างเด่น ให้เสียงคนร้องได้ไม่แพ้หูฟังสำหรับฟังเพลงเลย ฟังแล้วไม่รู้สึกว่าโดนย่านเบสกลบ
- เสียงสูง ปลายขึ้นไม่สุดมากนัก มีน้ำหนักของย่านเบสช่วยดึงลงมานิดนึง ทำให้สามารถฟังนานๆ ได้แบบไม่ล้าหู
เรื่องเวทีเสียง (ซาวด์สเตจ) ทำออกมากว้างใช้ได้เลยสำหรับหูฟังฟูลไซส์แบบปิด ผมลองเอามาเปิดฟังบันทึกการแสดงสดของทั้ง X Japan (The Last Live) และ The Eagles (Melbourne Farewell Tour) ต้องบอกว่าความกว้างและคุณภาพของซาวด์สเตจจัดว่าน่าพอใจมากๆ สำหรับการนำหูฟังเกมมิ่งมาฟังเพลง เผลอๆ ผมว่าแซงหูฟังที่ออกแบบมาสำหรับการฟังเพลงหลายๆ รุ่นได้สบาย การแยกชิ้นเครื่องดนตรีก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เคลียร์ 100% นัก เน้นอาศัยว่าฟังสบาย สามารถใช้ฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายหลังจากเล่นเกมแบบจริงจังได้ลงตัวมากๆ
ทั้งหมดข้างบนนี้ เป็นการทดสอบโดยผ่านตัวรีโมทแล้วไปเชื่อมต่อกับเครื่องที่พอร์ต USB ทั้งหมดนะครับ แต่ถ้าหากใครต้องการใช้การเชื่อมต่อตรงด้วยแจ็ค 3.5 มิลลิเมตรก็ทำได้เช่นกัน ไปใช้กับมือถือก็ได้ด้วย แต่คุณภาพของเสียงก็จะลดหย่อนลงมาเล็กน้อย เนื่องจากไม่มีตัว DSP ในรีโมทของ Kingston HyperX Cloud Revolver S มาช่วยประมวลผลเสียง เวทีเสียงก็จะแคบลง ส่วนถ้าไปใช้กับสมาร์ทโฟน ก็อาจจะต้องเร่งความดังเสียงกว่าเวลาใช้หูฟังปกติซักเล็กน้อย เพราะเจ้า Cloud Revolver S จะใช้แรงขับที่เกินตัวมือถือทั่วไปอยู่นิดนึง
แต่ถ้าหากใครมีตัวแปลง USB-OTG ที่ใช้กับมือถือของตนเองได้อยู่ สามารถนำมาเสียบที่มือถือ แล้วใช้กับ Kingston HyperX Cloud Revolver S ที่ใช้รีโมทก็ได้ด้วยเช่นกัน สามารถเปิดใช้ระบบเสียง Dolby Surround Sound ได้ด้วยนะ ผมลองใช้กับมือถือ Android ดูแล้ว สามารถใช้งานได้ทันที ไม่ต้องไปตั้งค่าอะไรเพิ่มเติม
ข้อดี
- มาพร้อมระบบเสียง Dolby Surround Sound ช่วยจำลองเสียง 7.1 ทิศทางรอบตัว
- ให้เสียงครบทั้ง 3 ย่านหลัก ซาวด์สเตจ คุณภาพเสียงดี ใช้ได้ทั้งเล่นเกมและฟังเพลง
- ใช้งานง่ายมาก สามารถเสียบสาย USB แล้วก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องลงไดรเวอร์หรือโปรแกรมอื่นๆ เพิ่มเติม
- ใช้ได้ทั้งกับคอมพิวเตอร์ เครื่องเกมคอนโซล มือถือ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่มีช่อง 3.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนักเบา วัสดุดี ทำให้ใช้งานติดต่อกันได้นาน ไม่บีบศีรษะเกินไป
ข้อสังเกต
- แนะนำว่าให้เปิดระบบเสียง Dolby ไว้ตลอด เพื่อคุณภาพเสียงที่ดีกว่า
- ไม่มีฟองน้ำครอบหูสำรองมาให้
ราคา 5,890 บาท