ถึงแม้ว่าในงาน MWC 2017 ที่ผ่านมานั้นทาง Samsung จะไม่มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ออกมาเลย(ซึ่งก็เป็นไปตามข่าวลือก่อนหน้านี้) แต่ทว่าในงาน MWC 2017 นี้นั้นทาง Samsung ได้ขนเอาแท็บเล็ตมาเปิดตัวหลายรุ่นกันเลยหล่ะครับ และในวันนี้นั้นเราจะขอยกบทความพรีวิวของแท็บเล็ตอีกรุ่นหนึ่งที่เป็นแม่งานของ Samsung มาให้ทุกๆ ท่านได้ดูกันครับ
Galaxy Book 10.6 และ Galaxy Book 12 นั้นเป็นแท็บเล็ตที่มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows 10 ที่มีฐานการพัฒนาระบบปฎิบัติการมาจากสถาปัตยกรรม x86 ดังนั้นแล้วในส่วนของหน่วยประมวลผลนั้นจึงใช้ต้องหน่วยประมวลผลสถาปัตกรรม x86 ครับ ดีไซน์ของตัวเครื่องนั้นหากพูดกันตามตรงก็ไม่ได้แตกต่างไปจาก Surface สักเท่าไรนัก แต่ก็มีความต่างกันบ้างไม่ว่าจะเป็นฐานตั้ง หรือการใช้งานครับ
จุดที่ Galaxy Book น่าจะอยู่เหนือคู่แข่งได้นั้นก็คือเรื่องของหน้าจอที่มาพร้อมกับหน้าจอพาเนล Super AMOLED(เฉพาะรุ่น 12″) แถมยังนำเอาจุดเด่นที่ดีๆ ของรุ่นอื่นมาให้ Galaxy Book อีกด้วยไม่ว่าจะเป็นการใช้สไตลัส หรือแม้กระทั่งคีย์บอร์ดแบบถอดใช้งานได้นั้น คุณผู้ซื้อ Galaxy Book ทั้ง 2 รุ่นก็จะได้รับแถมมาเลยในกล่องครับ(ถ้าเป็น Tab S3 นี่ต้องซื้อต่างหากนะครับ)
สำหรับสเปคของแต่ละรุ่นนั้นจะมีดังต่อไปนี้ครับ
Samsung Galaxy Book 10.6
- ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 261.2 x 179.1 x 8.9 mm ใช้วัสดุเป็น aluminum body
- น้ำหนักรุ่นที่มาพร้อมกับ WiFi อย่างเดียวอยู่ที่ 640 g ส่วนรุ่นที่มาพร้อมกับ 4G LTE อยู่ที่ 650 g
- มาพร้อมกับ 2-in-1 form factor with a detachable keyboard และ S Pen stylus ในชุดวางจำหน่าย
- หน้าจอขนาด 10.6 นิ้วใช้พาเนลแบบ TFT ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ FHD 1920×1280 pixels
- หน่วยประมวลผล 7th Gen ของทาง Intel รุ่น Core m3 processor แบบ Dual Core 2.6 GHz
- หน่วยความจำ(RAM) ขนาด 4 GB RAM และแหล่งเก็บข้อมูลมี่ให้เลือกที่ความจุ 64 GB และ 128 GB แบบ eMMC
- สามารถเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลได้ผ่านทาง microSD สูงสุด 256 GB
- แบตเตอรี่ขนาด 30.4 W สามารถใช้งานได้ยานนาน 10 hrs รองรับ Fast Charging
- การเขื่อมต่อแบบไร้สายประกอบไปกเวย Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, 2X2 MIMO, LTE Cat. 6, Bluetooth® 4.1 BLE
- รองรับ GPS + GLONASS
- การเชื่อมต่อแบบใช้สายรองรับ USB 3.1(Type-C);
- ระบบปฎิบัติการ Windows 10
- กล้องหลังความละเอียด 5 MP แบบ fixed camera
Samsung Galaxy Book 12
- ขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 291.3 x 199.8 x 7.4 mm ใช้วัสดุเป็น aluminum body
- น้ำหนักรุ่น WiFi + 4G LTE อยู่ที่ 754 g
- มาพร้อมกับ 2-in-1 form factor with a detachable keyboard และ S Pen stylus ในชุดวางจำหน่าย
- หน้าจอขนาด 12 นิ้วใช้พาเนลแบบ Super AMOLED ความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 2160 x 1440 pixels รอบรับ 10-bit HDR
- หน่วยประมวลผล 7th Gen ของทาง Intel รุ่น Core i5 processor แบบ Dual Core 3.1 GHz
- หน่วยความจำ(RAM) ขนาด 4 – 8 GB RAM และแหล่งเก็บข้อมูลมี่ให้เลือกที่ความจุ 128 GB และ 256 GB แบบ eMMC
- สามารถเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลได้ผ่านทาง microSD สูงสุด 256 GB
- แบตเตอรี่ขนาด 39 W สามารถใช้งานได้ยานนาน 10 hrs รองรับ Fast Charging
- การเขื่อมต่อแบบไร้สายประกอบไปกเวย Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, 2X2 MIMO, LTE Cat. 6, Bluetooth® 4.1 BLE
- รองรับ GPS + GLONASS
- การเชื่อมต่อแบบใช้สายรองรับ USB 3.1(Type-C) จำนวน 2 พอร์ต;
- ระบบปฎิบัติการ Windows 10
- กล้องหลังความละเอียด 13 MP แบบ Auto Focus ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 5 MP แบบ fixed camera
Design
ก่อนอื่นเลยนั้นด้านหลังของตัวเครื่องจะมีดีไซน์ที่ตัดเอากระจกกันรอยทางด้านหลังออกไปทำให้เวลาสัมผัสนั้นคุณจะได้สัมผัสกับตัวอลูมิเนียมของตัวเครื่องโดยตรงซึ่งถือว่าเป็นจุดที่ดีจุดหนึ่งของ Galaxy Book ทั้ง 2 รุ่นนี้เนื่องจากว่าคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการยกจับและดีไซน์ของตัวเครื่องที่เป็น all-metal unibody ที่รวมถึงขอบโค้งของตัวเครื่องในแต่ละด้านด้วย
จุดที่น่าเสียดายของการตัดเอากระจกกันรอยของตัวเครื่องออกไป(เมื่อเทียบกับ Tab S3) นั่นก็คือตัวเครื่องจะไม่ได้มาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือซึ่งนั่นก็ต้องแล้วแต่คุณหล่ะครับว่าต้อการที่จะใช้งานระบบสแกนลายนิ้วมือด้วยรึเปล่าเพราถ้าคุณคิดว่าคุณต้องการระบบสแกนลายนิ้วมือแล้วคุณก็ต้องหนีไปเล่น Tab S3 ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android แทนครับ
เรื่องนำหนักของตัวเครื่องนั้นถือว่าทำออกมาได้ดีทั้ง 2 รุ่นครับไม่ว่าจะเป็น 650 g กับ Galaxy Book 10.6 และ 750 g กับ Galaxy Book 12 การพกพานั้นถือว่าทำออกมาได้ดีอย่างมากๆ เพราะคุณจะไม่รู้สึกหนักในการพกพา รวมไปถึงการใช้งานแบบใช้มือเดียวจับตัวเครื่องส่วนอีกมือหนึ่งสัมผัสหน้าจอนั้นก็ถือว่ามำได้ง่ายครับ
จุดที่ทำให้ Galaxy Book แตกต่างไปจาก Tab S3 อย่างชัดเจนเลยก็คือเรื่องของการดีไซน์ของกรอบหลังที่เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยครับว่าทุกรุ่นนั้นจะมาพร้อมกับกล้องหลังที่อยู่บริเวณตรงกลางทางด้านข้างของเครื่อง(ตามการถือเครื่องแบบขวางอย่างบนรูปด้านบน) ซึ่งตรงจัดนี้นั้นก็เนื่องมาจากว่าการใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows 10 แบบแนวขวางจะทำได้ดีกว่าในแบบแนวตั้งครับ
หมายเหตุ – นี่ก็ถือว่าเป็นความตั้งใจส่วนหนึ่งของทาง Samsung ที่จะยังคับให้ผู้ใช้ ใช้งาน Galaxy Book แบบแนวขวางหล่ะครับ
ส่วนของหน้าจอของ Galaxy Book นั้นถือว่ามาในรูปแบบโล่งๆ มีแค่ส่วนของหน้าจอเท่านั้นครับ ตรงนี้นั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไรนักเนื่องจากว่าด้วยการใช้งานของระบบปฎิบัติการ Windows 10 นั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้งานปุ่มต่างๆ เหมือนกับระบบปฎิบัติการ Android และ iOS ครับ
เรื่องของระบบเสียงนั้นป็นที่น่าเสียดายว่า Galaxy Book ทั้ง 2 รุ่นนั้นไม่ได้มาพร้อมกับระบบเสียง AKG ที่มีลำโพงจำนวน 4 ตัวเหมือนใน Galaxy Tab S3 อย่างไรก็ตามแต่ การวางตำแหน่งของลำโพงบน Galaxy Book ทั้ง 2 รุ่นนั้นก็อยู่ในตำแหน่งที่ถือว่าดีเพราะตัวลำโพงนั้นจะถูกวางอยู่ทางด้านข้างของ(กล้อง) ไปจนชิดขอบด้านข้างทั้ง 2 ด้วน ให้เสียงแบบ stereo ครับ
หมายเหตุ – รุ่น Galaxy Book 12 นั้นจะต้องมาพร้อมกับช่องตรงส่วนของลำโพงมากกว่ารุ่น 10.6 เนื่องจากว่าต้อใช้ในการระบายความร้อนไปด้วยในตัวครับ
ส่วนทางด้านบนของตัวเครื่องที่เป็นจุดที่มีช่องของลำโพงอยู่นั้นจะยังมีปุ่มเปิดปิดเครื่อง, ปุ่มเพิ่มลดเสียงและช่องไมโครโฟนอีก 2 ช่องด้วยครับ ส่วนทางข้างของตัวเครื่องฝั่งขวานั้นจะมีพอร์ตการเชื่อมต่อแบบใช้สายต่างๆ เรียงตัวอยู่ และทางด้านล่างของตัวเครื่อง(รูปทางด้านบน) นั้นจะเป็น pin สำหรับการเชื่อมต่อกับแผงคีย์บอร์ดครับ
สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างส่วนแท็บเล็ตกับคีย์บอร์ดนั้นจะใช้การเชื่อมต่อกันด้วยแม่เหล็กซึ่งแข็งแรงใช้ได้ ทว่าจะมีจุดที่น่าสนใจอยู่อย่างหนึ่งซึ่งนั่นก็คือฐานเชื่อมต่อของ Galaxy Book จะมีขนาดใหญ่กว่าของทาง Galaxy Tab S3 อยู่เล็กน้อย ซึ่งคาดว่าที่เป็นเช่นนี้นั้นอาจจะมาจากเรื่องของน้ำหนักของ Galaxy Book ทั้ง 2 รุ่นนั้นมากกว่า Galaxy Tab S3 อยู่พอดูครับ
Keyboard และ S Pen
สำหรับเรื่องคีย์บอร์ดและ S Pen สำหรับ Galaxy Book นั้นถือว่าทาง Samsung ใจใหญ่จริงๆ ครับเพราะผู้ซื้อทุกท่านจะได้คีย์บอร์ดและ S Pen มาให้ด้วยในชุดจำหน่าย(ในขณะที่ Tab S3 นั้นคุณต้องซื้อแยกต่างหาก) บนตัวคีย์บอร์ดที่มาในรูปแบบเคสพร้อมฐานตั้งนั้นจะมีช่องสำหรับเอาไว้ใช้ในการเสียบ S Pen เพื่อเป็นที่เก็บเวลาไม่ได้ใช้งานด้วยครับ
ตัวเคสคีย์บอร์ดในชุดวางจำหน่ายนั้นจะมาพร้อมกับสีดำและขาวครับ(ทว่าคุณก็ยังสามารถหาซื้อเคสคีย์บอร์ดสีอื่นแยกได้) แป้นคีย์สำหรับกดบนคีย์บอร์ดนั้นจะพร้อมกับไฟ Backlit สำหรับส่องสว่างซึ่งใช้แบตเตอรี่ของตัวแท็บเล็ตมาเป็นพลังงานทำให้ในการใช้งานร่วมกับคีย์บอร์ดนั้นแบตเตอรี่จะหมดเร็วกว่าปกติ(ถ้าคุณเปิดไฟ Backlit จะยิ่งหมดเร็วขึ้นไปอีก)
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือตัวแป้นคีย์บอร์ดของรุ่นจอ 12 นิ้วนั้นจะสามารถใช้งานได้ถนัดกว่าคีย์บอร์ดของรุ่น 10.6 นิ้วพอสมควร ตรงจุดนี้นั้นน่าจะเป็นเพราะทาง Samsung ไม่ได้ออกแบบส่วนของแป้นคีย์บอร์ดของแต่ละรุ่นใหม่ดังนั้นแล้วรุ่น 10.6 นิ้วก็เลยมาพร้อมกับคีย์บอร์ดที่อัดกันแน่นมากกว่า(หรือย่อส่วนลงมา) และทำให้ใช้งานยากกว่ารุ่นขนาดจอ 12 นิ้วครับ
หมายเหตุ – อย่างไรก็แล้วแต่ แป้นคีย์บอร์ของ Galaxy Book ถือว่าดีกว่า TabPro S ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Windows เหมือนกันครับ
สำหรับ Touchpad นั้นถือว่า Galaxy Book ทั้ง 2 รุ่นได้รับข้อดีเสมือนโน๊ตบุ๊คจริงๆ มากกว่า Tab S3 ครับ ถึงแม้ว่าตัวหน้าจอจะสัมผัสได้และตัวเครื่องยังมาพร้อมกับ S Pen ด้วยอีก ทว่าการใช้งานเมาส์บนระบบผฎิบัติการ Windows นั้นคงจะไม่มีอะไรดีเท่าไรกับการใช้เมาส์หรือ Touchpad แล้วหล่ะครับ
ตัว Touchpad นั้นมีขนาดอยู่ที่ 77 x 43 mm บนรุ่นขนาดหน้าจอ 10.6 นิ้วและมีขนาดอยู่ที่ 100 x 53 mm บนรุ่นขนาดหน้าจอ 12 นิ้ว ซึ่งแน่นอนครับว่า Touchpad บนขนาดหน้าจอ 12 นิ้วนั้นจะสามารถใช้งานได้ดีกว่าและสะดวกกว่า(แต่ทาง Samsung บอกว่าสามารถใข้งานได้แบบไม่เห็นข้อแตกต่าง) ทั้งนี้บน Touchpad ของหน้าจอทั้ง 2 รุ่นนั้นจะไม่มีปุ่มคลิ๊กทางด้านซ้ายและขวามาให้นะครับ
Stand mode
สำหรับการใช้งานอีกอย่างของเคสคีย์บอร์ดนั้นก็คือมันสามารถที่จะเอามาทำเป็นฐานตั้งหน้าจอซึ่งทาง Samsung เรียกว่า Stand mode ได้ 3 รูปแบบดังรูปข้างบนครับ รูปแบบที่เป็นที่ตั้งหน้าจอพร้อมมองเห็นคีย์บอร์ดด้วยนั้นจะสามารถที่ทำการปรับเลื่อนขนาดขาตั้งได้ 2 แบบ ในขณะที่แบบที่ 3 หรือรูปทางด้านขวานั้นจะทำให้มองไม่เห็นคีย์บอร์ดและใช้เคสเป็นฐานตั้งหน้าจอเพียงอย่างเดียวครับ(ซึ่งการตั้งแบบนี้นั้นจะเหมาะสมกับการใช้ S Pen เป็นอย่างมากครับ)
สำหรับ S Pen ที่คุณจะได้รับมานั้นเป็น S Pen ที่รองรับการใช้งานกับรุ่นก่อนหน้า ดังนั้นแล้วคุณเองก็สามารถที่จะนำเอา S Pen ของ Galaxy Book ไปใช้กับเครื่องอื่นๆ ที่มาพร้อมกับ S Pen ได้ ในทางกลับกันแล้วคุณก็สามารถที่จะเอา S Pen ของรุ่นอื่นๆ มาใช้กับ Galaxy Book ได้เหมือนกัน(อย่างเช่น S Pen ของ Note 4 เป็นต้นโดยสามารถที่จะใช้งานได้แบบทุกฟังก์ชันการใช้งานครับ)
และอาจจะด้วยเหตุผลที่ต้องทำให้ S Pen สามารถใช้งานย้อนหลังได้ด้วยนั้นทำให้ S Pen ของ Galaxy Book ไม่ได้มีความแตกต่างไปจาก S Pen ของอุปกรณ์รุ่นก่อนหน้าเท่าไรนัก โดยที่ตัว S Pen นั้นจะมีปุ่มสำหรับกดเพื่อเรียกเมนูการใช้งาน(และทำงานในฟังก์ชันอื่น) ทั้งนี้ S Pen ของ Galaxy Book นั้นก็ไม่ได้เหมือนเดิมมากนัก เพราะทาง Samsung ได้ออกดีไซน์มาใหม่ทำให้มันมีขนาดเล็กกว่า บางกว่า(หนาแค่ 0.7 mm) และถือได้ถนัดมือมากกว่า S Pen ของรุ่นก่อนๆ มากครับ
หมายเหตุ – ทั้งนี้สำหรับตัวเคสคีย์บอร์ดนั้นจะมีตัวเลือกที่มาพร้อมกับ NFC มาให้ผู้ใช้ได้เลือกซื้อด้วยเพราะเคสคีย์บอร์ดมาตรฐานที่มาพร้อมกับชุดบางจำหน่ายนั้นไม่มี NFC มาให้ครับ
Hardware and Performance
ในส่วนของฮาร์ดแวร์นั้น ถ้าไม่นับเรื่องของหน้าจอที่ทั้ง 2 รุ่นมีไม่เท่ากัน(และใช้พาเนลกับความละเอียดคนละแบบกัน) ส่วนของฮาร์ดแวร์อื่นๆ นั้นก็เรียกได้ว่าแถบจะเหมือนกันครับ(เว้นหน่วยประมวลผล, หน่วยความจำ(RAM), ขนาดแหล่งเก็บข้อมูลที่เป็นแบบ eMMC เหมือนกัน , แบตเตอรี่และกล้อง) การวางตัวของฮาร์ดแวร์ของทั้ง 2 รุ่นนั้นค่อนข้างที่จะคล้ายกันครับ
จุดเด่นที่ทำให้ Galaxy Book 12 นิ้วนั้นน่าสนใจมากกว่าก็คือความละเอียดของหน้าจอที่ 2,160 x 1,440 pixels พร้อมกับการรองรับ 10-bit HDR เหมือนกับที่พบได้ใน Tab S3 ซึ่งน่าจะพอทำให้ใครหลายๆ คนเลือกได้เลยหล่ะครับว่าต้องการ Galaxy Book 10.6 หรือ Book 12 เพราะในรุ่น 12 นั้นจะให้คุณได้พบกับประสบการณ์ในการรับรู้ผ่านทางดวงตาได้ดีกว่ารุ่น 10.6 อย่างเห็นได้ชัดครับ
ถึงแม้ทาง GSMArena จะไม่ได้ทดสอบตัวเครื่องแบบเชิงลึก แต่ทว่าในการใช้งานจริงตามที่เคยเป็นนั้นจะพบว่าหน่วยประมวลผล Core M และ M i5 ของ Galaxy Book นั้นส่งผลทางด้านประสิทธิภาพในการใช้งานพอสมควรครับ(ถึงแม้จะเป็นหน่วยประมวลผลแบบ Dual Core และความเร็วสัญญาณนาฬิกาแตกต่างกันไม่มาก)
ขนาดของแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่นขนาดจอ 12 นิ้วนั้นก็ไม่ได้ทำให้อายุการใช้งานแตกต่างจากรุ่น 10.6 มากเท่าไรนัก เพราะมันสามารถใช้งานได้ราวๆ 10.5 ชั่วโมง(พอๆ กับที่ทาง Samsung ได้คำนวณเอาไว้) นอกไปจากนั้นแล้วเวลาที่ใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ทั้ง 2 รุ่นให้เต็มนั้นก็อยู่ที่ราว 2.15 ชั่วโมงพอๆ กันอีกด้วยครับ
ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของรุ่น Book 12 นั่นก็คือมันมาพร้อมกับพอร์ต USB Type-C จำนวน 2 พอร์ตซึ่งเวลาใช้งานจริงๆ นั้นน่าจะมีปรัโยชน์มากๆ กับผู้ใช้ที่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์หลายตัวเข้ากับตัวเครื่องครับ(ทว่านั่นก็ต้องแรกมากับค่าใช้จ่ายในการซื้อ Dongle เพื่อด้วยสำหรับการใช้งานเช่นกันเพราะทาง Samsung ไม่ได้ให้มาในชุดและจากในงานนั้นก็ยังไม่เห็นว่าจะมีแยกจำหน่ายต่างหากรึเปล่าครับ)
ข้อเสียที่ไม่รู้ว่าจะเป็นข้อเสียดีไหมก็คือ NFC ที่บนตัวเครื่อง Galaxy Book ทั้ง 2 รุ่นนั้นไม่มีมาให้ด้วยแต่มี build in บนเคสคีย์บอร์ด ดังนั้นผู้ที่อยากใช้งานฟีเจอร์ NFC นั้นก็จำเป็นที่จะต้องซื้อเคสคีย์บอร์ดแบบแยกที่มาพร้อมกับ NFC เอาไว้ใช้งานด้วยครับ(ที่ทาง Samsung น่าจะตัด NFC ไปนั้นก็น่าจะเป็นเพราะในปัจจุบันนี้มันสามารถใช้งานกับฟีเจอร์ Samsung Flow เท่านั้นครับ)
Conclusions
โดยรวมนั้น Galaxy Book ทั้ง 2 รุ่นสามารถที่จะทำออกมาได้ดีเลยทีเดียวครับ แถมความสามารถในการเป็นแท็บเล็ตและโน๊ตบุ๊คแบบ 2-in-1 ที่สามารถพกพาไปไหนไหนได้สะดวกนั้นยิ่งทำให้ Galaxy Book น่าสนใจยิ่งขึ้น และแน่นอนครับว่ารุ่นที่น่าสนใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นรุ่นขนาดหน้าจอ 12 นิ้วที่คุณนั้นสามารถที่จะเอามาใช้งานในชีวิตจริงได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องสรรหา PC มาช่วยเลยหล่ะครับ(เว้นงานหนักๆ ที่ต้องการฮาร์ดแวร์เฉพาะงานนะครับ) ส่วนจะเข้ามาขายในไทยในอนาคตหรือไม่นั้นก็ต้องรอดูกันอีกที !!!
ที่มา : gsmarena