วันนี้ก็จะมาจัดหนักจัดเต็มกับการรีวิว Ink Tank หลากหลายรุ่น หลากหลายยี่ห้อ แต่เอาที่หลักๆที่คุ้นหูกัน ก็จะเป็น HP, Epson, Brother และ Cannon ในแต่ละรุ่นก็จะมีอะไรที่แตกต่างกันออกไป โดยการรีวิวนี้จะเน้นหลักๆเลยในเรื่องของความประหยัด และคุณภาพในการพิมพ์ ส่วนเรื่องของฟังก์ชั่นหรือสเปคนั้น อาจจะไม่ลงลึกมาก เพราะด้วยความสามารถของแต่ละตัว ก็จะไม่แตกต่างอะไรกันมากนักในยุคสมัยนี้
ว่ากันด้วยเรื่องของ Ink tank ซึ่งในตอนนี้ก็เข้ามามีบทบาทมากเลยในเรื่องของเครื่องปริ้น เพราะการที่เลือกใช้นั้นก็อาจจะหลายจุดประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดต้นทุนในการพิมพ์ลง หรือจะลดค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษาต่างๆ ถ้าถามว่าจะเหมาะกับกลุ่มผู้ใช้แบบได้ ก็อาจจะตอบได้ว่า ใช้ได้ทุกกลุ่ม ทั้งนักเรียนนักศึกษา กลุ่มวัยทำงาน รวมถึงบริษัท ก็ใช้ได้เช่นกัน
เอาเป็นว่าก่อนจะเข้าทำการทดสอบการพิมพ์ มาดูสเปคคร่าวๆของแต่ละตัวกันก่อนดีกว่า ว่ามีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง
HP DeskJet GT 5820
- ฟังก์ชั่นหลักๆ Print, Scan, Copy และ WiFi สามารถสั่งพิมพ์ผ่านทางไร้สายได้
- ความเร็วในการพิมพ์ ดำ = 8 ppm / สี = 5 ppm
- ประกัน Onsite 2 ปี
Cannon G3000
- ฟังก์ชั่นหลักๆ Print, Scan, Copy และ WiFi สามารถสั่งพิมพ์ผ่านทางไร้สายได้
- ความเร็วในการพิมพ์ ดำ = 8.8 ppm / สี = 5 ppm
- ประกัน 1ปี
EPSON L220
- ฟังก์ชั่นหลักๆ Print, Scan, Copy
- ความเร็วในการพิมพ์ ดำ = 8.8 ppm / สี = 5 ppm
- ประกัน 1ปี
BROTHER DCP-T300
- ฟังก์ชั่นหลักๆ Print, Scan, Copy
- ความเร็วในการพิมพ์ ดำ = 7 ppm / สี = 3.5 ppm
- ประกัน 1ปี
ในส่วนของสเปคคร่าวๆของแต่ละรุ่นก็แทบจะไม่แตกต่างกันครับ ในส่วนของ HP กับ Cannon เพียงแค่มี WiFi เพิ่มเข้ามาเท่านั้น ซึ่งก็จะสามารถที่จะสั่งพิมพ์ผ่านทางไร้สายได้เลย หรือโหลดแอพผ่านสมาร์ทโฟนก็สั่งพิมพ์ได้เช่นกัน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแอปของแต่ละแบรนด์ครับ ส่วนความเร็วในการพิมพ์ ในการพิมพ์สี หรือเทาดำ หากมองจริงๆ ก็แทบจะว่ากันไม่ได้นะ ค่าเฉลี่ยก็จะไล่ๆกันอยู่ครับ ซึ่งจะสรุปในรูปแบบของตารางให้ดูเพื่อการเปรียบเทียบได้ดียิ่งขึ้น ตามด้านด้านล่างนี้เลยครับ
ราคาน้ำหมึก และเปรียบเทียบราคา
ขอทำเป็นตารางเปรียบเทียบเพื่อที่จะได้ดูเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ในส่วนของปริมาณการพิมพ์ ที่คำนวณออกมาเป็นจำนวน บาท/แผ่น ซึ่งจะคำนวณจากสเปคที่ระบุมาจากกล่องของแต่ละรุ่นนั้นๆ แล้วนำมาคำนวณเทียบกับปริมาณน้ำหมึกที่แถมมาให้ ว่าจริงๆแล้วต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นนั้น จะตกอยู่แผ่นละเท่าไหร่
ซึ่งต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นถูกที่สุดสำหรับการพิมพ์แบบเทาดำก็จะเป็น HP DeskJet GT 5820 ส่วน ต้นทุนการพิมพ์แบบสีที่ถูกที่สุดคือ EPSON L220
แต่เอาจริงๆแล้ว ในการเปรียบเทียบกับแบบนี้ ก็อาจจะไม่บอกได้ว่า จริงๆแล้วต้นทุนที่ต่ำที่สุดนั้นจะเป็นของแบรนด์ใด ก็ต้องมาทดสอบกันแบบจริงๆแล้วล่ะ ว่าแบรนด์ไหนจะพิมพ์ได้เยอะ และต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นนั้นถูกกว่ากัน รวมถึงคุณภาพการพิมพ์ก็จะนำมาพิจารณากันด้วย
การทดสอบ
ในการทดสอบจะควบคุมองค์ประกอบทุกๆอย่างให้เท่าๆกัน โดยควบคุมองค์ประกอบต่างๆตามนี้ครับ
- ให้ Tank ใส่หมึกแต่ละยี่ห้อมีน้ำหมึกเหลืออยู่ในปริมาณที่ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
- ทำการล้างหัวพิมพ์ ไล่อากาศออกให้หมด และทดสอบการพิมพ์มาหัวพิมพ์มีปัญหาหรือเปล่า หากมีอากาศในท่อเดินน้ำหมึก ให้ทำการล้างหัวพิมพ์ และทดสอบคุณภาพการพิมพ์ของแต่ละแบรนด์หลังจากที่สั่งล้างหัวพิมพ์ไปแล้ว
- เมื่อเช็คหัวพิมพ์ แล้วไม่มีปัญหา ทำการใส่น้ำหมึกแต่ละสีเข้าไปใน Tank ของแต่ละแบรนด์ตามนี้ สีดำ 10 CC, น้ำเงิน 10 CC, เหลือง 10 CC
และ แดง 10 CC
- ทำการทดสอบการพิมพ์เอกสาร โดยจะเป็นการพิมพ์แบบ ดำ-เทา ใช้หมึกในการทดสอบ 10 CC และนับจำนวนแผ่นที่พิมพ์ออกมาได้แต่ละแบรนด์
- ทำการทดสอบการพิมพ์สี โดยจะเป็นรูปภาพเต็มหน้ากระดาษ A4 ในการทดสอบจะใช้หมึกทดสอบสีละ 10 CC พิมพ์รูปภาพแบรนด์ละ 80 แผ่น และวัดปริมาณน้ำหมึกที่ใช้ไปแต่ละยี่ ของแต่ละแบรนด์
ผลการทดสอบ
โดยผลที่ออกมา อาจจะไม่เที่ยงตรงมากนัก แต่ในการทดสอบก็พยายามที่จะควบคุมองค์ประกอบทุกๆอย่าง ของแบรนด์ให้ได้ใกล้เคียงกันมากที่สุด ผลที่ออกมาอาจจะคาดเคลื่อนเล็กน้อย แต่ก็ที่จะสามารถบอกถึงความประหยัดในการพิมพื และคุณภาพในการพิมพ์ได้
ผลการพิมพ์เอกสาร เทา-ดำ ของแต่ละแบรนด์
การทดสอบการพิมพ์เอกสารเทาดำ จุดประสงค์ก็เพื่อที่จะดูในเรื่องของความคุ้มค่าในการพิมพ์ ความประหยัด หรือต้นทุนในการพิมพ์ต่อแผ่นที่ถูกนั่นเอง ในการทดสอบก็จะใช้น้ำหมึก 10 CC และสั่งพิมพ์เอกสารจนกว่าน้ำหมึกจะหมดไป 10 CC
สรุปได้ว่า EPSON L220 สามารถพิมพ์จำนวนเอกสารได้เยอะสุดถึง 700 แผ่น ต่อจำนวนน้ำหมัก 10 CC รองลงมาก็จะเป็น HP DeskJet GT 5820 พิมพ์ได้จำนวน 620 แผ่น ซึ่งจำนวนเอกสารที่พิมพ์ออกมาก็จะแสดงให้เห็นถึงความประหยัด หรือการสิ้นเปลืองในการใช้หมึกของแต่ละแบรนด์ แต่ถ้ามองในเรื่องของคุณภาพ และความคมชัดของตัวอักษรกับการพิมพ์แบบ เทา-ดำ แทบจะไม่แตกต่างกัน หากมองด้วยตาเปล่า
ผลการพิมพ์ภาพสีของแต่ละแบรนด์
ภาพด้านล่างนี้จะแสดงให้เห็นถึงคุณภาพการพิมพ์สีของแต่ละแบรนด์
สรุปท้ายสุดกับรีวิว Ink Tank
HP DeskJet GT 5820 และ Cannon G3000 มีคุณภาพการพิมพ์ที่คมชัด ให้เฉดสีที่ค่อนข้างตรง ละสดใส สีมีการอิ่มตัวที่ดี โดยในการในการทดสอบนั้น จะตั้งค่าให้ปริ้นเตอร์พิมพ์คุณภาพแบบ Normal ทั้ง 4 เครื่อง และความเร็วในการพิมพ์ก็เป็นแบบ Normal เช่นเดียวกัน ส่วนตัวแล้วในมุมมองของผม HP DeskJet GT 5820 ก็จะตอบโจทย์สำหรับงานพิมพ์สีหรือรูปภาพ ที่ให้คุณภาพที่ค่อนข้างโอเค
สุดท้ายนี้ก็หวังว่าผลการทดสอบนี้ อาจจะเป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อ Ink Tank ซึ่งก็แล้วแต่บุคคลว่าความต้องการอย่างไร และกำลังทรัพขนาดไหน ในแต่ละแบรนด์ก็จะมีข้อดีแตกต่างกันไป แต่ล้วนแล้วก็มีความประหยัดทั้งสิ้น แต่หากมองถึงเรื่องของคุณภาพ สำหรับผมก็จะยกให้ HP DeskJet GT 5820 ที่ทำออกมาได้ดี ในเรื่องของความประหยัดในการพิมพ์และคุณภาพการพิมพ์สี
แต่สำหรับใครที่ไม่ซีเรียสเรื่องการพิมพ์สีมี แต่เน้นความประหยัด ก็คงจะเป็น EPSON L220 ที่จะพิมพ์ได้เยอะกว่า ซึ่งปริมาณในการทดสอบก็อาจจะดูแตกต่างกันไม่มากเท่าไหร่ แต่หากสำหรับงานพิมพ์เยอะๆแล้ว ความแตกต่างก็อาจจะแสดงให้เห็นชัดเจน ถึงจำนวนที่พิมพ์ออกมา กับปริมาณน้ำหมึกที่ใช้ไป
และปัจจัยในการเลือกปริ้นเตอร์ของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน บางคนก็จะมีในเรื่องของ Service หรือจะในเรื่องของรูปร่างหน้าตา อันนี้ก็ล้วนแล้วแต่ความชอบของส่วนบุคคลละครับ แต่เอาจริงๆแล้ว เรื่อง Service และการประกัน ก็ยกให้กด HP ที่มีประกัน Onsite ให้ถึงสองปี และรองลงมาก็จะเป็น EPSON ที่สามารถต่อประกันเพิ่มได้อีก 1 ปี ก็เป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว มีประกันนานๆไว้ก็อุ่นใจครับ