เปิดตัวอย่างเป็นทางการออกมาได้สักพักพร้อมกับเริ่มวางจำหน่ายแล้วกับ MacBook Pro 2016 ที่หลายๆ คนสมหวังและตื่นตาตื่นใจกับของใหม่อย่าง Touch Bar เป็นอย่างมาก ทว่าในทางกลับกันแล้วนั้นก็มีอีกหลายๆ ท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้ MacBook Pro มาเป็นเวลานาน(หรืออย่างน้อยก็ใช้ MacBook รุ่นอื่นมากก่อน) ได้ส่งเสียงบ่น(ปนด่า) ออกมาผ่านสื่อสังคอมออนไลน์กันอย่างมากมายถึงความไม่พอใจของพวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบน Twitter นั้นจะมีมากเป็นพิเศษ วันนี้เรามาดูกันดีกว่าครับว่าผู้ใช้เหล่านั้นจะติด MacBook Pro 2016 ไว้ว่าอย่างไรกันบ้าง
หมายเหตุ – บทความนี้เป็นบทความแปลดังนั้นความคิดเห็นจากผู้ใช้ Twitter ที่อยู่ในบทความนี้นั้นจึงเป็นผู้ใช้ในต่างประเทศซึ่งค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในต่างประเทศโดยบางท่านอาจจะเคยรู้จักบางคนมาก่อนครับ
MacBook Pro 2016 แพงและขาดเรื่องของความเข้ากันได้กับเทคโนโลยีรุ่นเก่า
เป็นที่ทราบกับดีและหากท่านอยู่ในชุมชน MacBook ของต่างประเทศและไทยเองนั้นจะเห็นได้เลยหล่ะครับว่าหลังจากที่มีการเปิดตัว MacBook Pro 2016 ทั้งรุ่นขนาดจอ 13 และ 15 นิ้วออกมาแล้วนั้น เมื่อถึงจุดที่มีการเปิดตัวเรื่องของราคา MacBook Pro 2016 ไม่ทันไรก็มีการตั้งกระทู้และมีการโพสข้อความกันเป็นอย่างมากทั้งจากผู้ใช้ MacBook มาก่อนนานแล้ว(10 ปีหรือไม่ก็ 5 ปีขึ้นไป) หรือแม้กระทั่งผู้ที่อยากใช้ MacBook Pro 2016 เป็นเครื่องรุ่นแรกเองต่างก็บ่นว่า MacBook Pro 2016 นั้นมีราคาแพงกว่าเดิมเป็นอย่างมาก แถมที่ร้ายกว่านั้นก็คือมันยังขาดเรื่องของความเข้ากันได้กับเทคโนโลยีรุ่นเก่าด้วยครับ
เสียงบ่นในเรื่องนี้นั้นถือว่าเยอะมากเป็นประวัติการณ์ครับ มากกว่าเรื่องที่ iPhone 7 ถูกตัดช่องเชื่อมต่อหูฟังแบบ 3.5 audio jack ซะด้วยซ้ำไป ในเว็บบอร์ดของผู้ใช้ Mac(ต่างประเทศ) นั้นต่างมีการบ่นกันว่าในราคาที่สุดแสนจะแพงของ MacBook Pro 2016 นั้น สิ่งที่โหดร้ายที่สุดกับผู้ใช้ระดับ Pro ที่ Apple ควรจะตอบสนองเรื่องของความ Pro ให้ถูกจุดจริงๆ ก็คือเรื่องของกราฟิกชิปที่ทาง Apple เลือกใช้กราฟิกชิปสถาปัตยกรรม Polaris จากทาง AMD แทนที่จะใช้กราฟิกชิกสถาปัตยกรรม Pascal จากทาง NVIDIA ที่แรงกว่ากันอย่างเห็นๆ ให้สมกับคำว่า Pro และราคาที่แสนจะแพงบนโมเดลขนาดจอ 15 นิ้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ MacBook Pro ตลอดในช่วงที่ผ่านมา(นับวันเลยจริงๆ คือ 1,054 วัน) นั้นคือการถูกตั้งความหวังไว้สูงครับว่าสเปคของมันควรจะดีกว่านี้ ผู้ใช้ MacBook Pro ตัวจริงสามารถรับได้กับราคาที่แสนจะแพงของ MacBook Pro อยู่แล้วแต่เมื่อต้องมาพบเจอกับเรื่องที่ไม่ Pro เลยอย่างเรื่องกราฟิกชิปนี้ทางพวกเขาเองก็รับไม่ได้ครับ ตัวอย่างเช่นทวิตของคุณ Felix Schwarz ทางด้านบน(คลิกที่ภาพเพื่อดูรายละเอียด) จะเห็นได้ครับว่าเมื่อเรานำประสิทธิภาพของ MacBook Pro ในปี 2016 ไปเทียบกับปี 2012 แล้วประสิทธิภาพต่างกันไม่มากในส่วนของความสามารถในการประมวลผลของ CPU
ส่วนประสิทธิภาพของหน่วยความจำและกราฟิกชิปนั้นก็ต่างกันเล็กน้อยยกเว้นกราฟิกชิปในรุ่นรองท๊อปและท๊อปสุด) ซึ่งหากเทียบกันทั้งหมดทั้งมวลแล้วนั้นก็ยังถือว่าน่าผิดหวัง เรื่องของการเลือกหน่วยประมวลผลก็น่าแปลกใจเพราะการเลือก Skylake แทนที่ Kaby Lake นั้นทำให้หน่วยความจำสูงสุดที่รองรับอยู่ที่ 16 GB เท่านั้นทั้งๆ ที่ในปัจจุบันผู้ใช้ในระดับ Pro จริงๆ ส่วนใหญ่ต้องการหน่วยความจำที่ระดับ 32 GB ในการทำงานมากว่า โดยจุดนี้นั้นนักพัฒนาเว็บไซต์นาม Baldur Bjarnason ได้ออกมาชี้ชัดๆ ไปเลยครับว่า 16 GB กับการทำงานระดับ Pro นั้นไม่พอแล้ว
เราอยู่ในยุคที่มีอุปกรณ์ใช้คำว่า Pro กันมากมายครับไม่ว่าจะเป็น PS4 Pro, DJI Mavic Pro, Surface Pro, iPad Pro, Beats Pro, Logitech Pro Gaming Mouse และอื่นๆ อีกมากมาย ทว่าสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้ MacBook Pro สงสัยนั้นก็คือคำว่า Pro ของ Apple มีความหมายว่า Pro จริงๆ ตามที่มันควรจะเป็นหรือไม่ หรือว่าคำว่า Pro ของ Apple นั้นเป็นการใช้ชื่อทางการค้าเพื่ออัพราคาสินค้าให้สูงกว่าปกติเท่านั้น … ตรงจุดนี้นั้นคำว่า Pro ของหลายๆ บริษัทจะหมายถึงผู้ใช้ในระดับ Pro จริงๆ อย่างเช่น PS4 Pro ที่เห็นได้เช่นเจนว่ามีความแตกต่างกับรุ่นธรรมดาครับ
การรองรับกับเทคโนโลยีเก่าก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับการใช้งานในระดับ Pro จริงๆ ครับเพราะการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดที่ทาง Apple ยัดเข้ามาใน MacBook Pro 2016 ด้วยการให้พอร์ตการเชื่อม USB Type-C จำนวนทั้งหมด 4 พอร์ตด้วยกันซึ่งดูเหมือนว่ามันจะเยอะแต่ต้องไม่ลืมนะครับว่า USB Type-C เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากๆ อุปกรณ์ที่ใช้งานพอร์ตดังกล่าวก็ยังมีไม่มากในปัจจุบันนี้ โดยทั่วไปแล้วเราจะยังใช้พอร์ตอื่นกันมากกว่า แถมยังไม่หมดเท่านั้นครับ ทาง Apple ยังตัด SD Card reader ออกไปอีกซึ่งตรงจุดนี้ทำให้ผู้ใช้งานหลายรายบ่นกันเยอะมากเลยทีเดียวครับ
หนึ่งในทวิตของผู้ที่ตำหนิเรื่องการยัดเยียดพอร์ต USB Type-C บน MacBook Pro 2016
ถึงแม้ว่า Apple จะให้เหตุผลเอาไว้ว่าการตัดพอร์ตเชื่อมต่ออื่นๆ ทิ้งไปและให้ USB Type-C มาถึง 4 พอร์ตนั้นก็เพื่อที่จะทำให้ตัวเครื่องบางที่สุดและให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกับเทคโนโลยีสมัยใหม่โดยที่ผู้ใช้งานเทคโนโลยีเก่าๆ นั้นยังคงสามารถซื้อ Dongle มาใช้งานได้(ซึ่งทาง Apple ก็สามารถเก็บเงินจากการจำหน่ายได้ไปอีก) แต่ในทางกลับกันแล้วผู้ใช้หลายๆ คนนั้นก็บอกว่าเหตุผลดังกล่าวฟังไม่ขึ้นเพราะคู่แข่งอย่างเช่น Lenovo หรือ Dell ยังสามารถที่จะออกแบบให้เครื่องมีพอร์ตเชื่อมต่อรุ่นเก่าๆ ได้ในขณะที่ตัวเครื่องก็ยังคงบางและมาพร้อม USB Type-C ให้เลือกใช้ในจำนวนที่เหมาะสมครับ
ที่ Apple พลาดไปนั้นคือการมองความต้องการของบรรดานักพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับ macOS และ iOS ไม่ออกครับ นักพัฒนากลุ่มนี้นั้นมักจะใช้เครื่อง MacBook เป็นเครื่องหลักสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชันอยู่แล้วซึ่งการพัฒนาแอลปพลิเคชันนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้หน่วยความจำ(RAM) มากพอสมควร ลองคิดดูเล่นๆ สิครับว่าการที่นักพัฒนานำ MacBook Pro ไปนั่งทำงานในร้านกาแฟแล้วเวลาต้องการทดสอบบนเครื่อง iPhone จะต้องต่อผ่านทาง Dongle เพื่อเปลี่ยนไปเป็นสาย Lightning พ่วงกันต่อ 2 ต่อ จะวุ่นขนาดไหน
ผู้ใช้ระดับ Pro อีกกลุ่มหนึ่งที่ทาง Apple (อาจจะ) ลืมนึกถึงก็คือผู้ใช้ที่เป็นช่างถ่ายภาพมืออาชีพที่ต้องอาศัยการตัดต่อภาพผ่านหน้าจอซึ่งแน่นอนหล่ะครับว่าหน้าจอขนาด 15 นิ้วนั้นถึงจะใหญ่แต่มันไม่มากพออย่างแน่นอนกับการตัดต่อรูปที่ต้องใช้เครื่องมือหลากหลาย ผู้ใช้กลุ่มนี้โดยทั่วไปนั้นจะทำงานโดยการเชื่อมต่อหน้าจอที่ 2(หรืออาจจะมี 3 และ 4) เพื่อทำงาน แต่การถูกบังคับให้ต้องใช้หน้าจอแบบใหม่ที่เชื่อมต่อทาง USB Type-C หรือไม่ก็ต้องซื้อ Dongle เพิ่มนั้นผู้ใช้ระดับ Pro คงไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรหล่ะครับ(อย่างเช่นทวิตทางด้านบน)
หน้าจอ LG ที่ใช้พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C เปิดตัวหนึ่งวันหลังจาก MacBook Pro 2016 เปิดตัว
Touch Bar ไม่ใช่ของสำหรับมือ Pro อย่างที่ Apple โฆษณา
อีกหนึ่งของใหม่ที่ทาง Apple ภูมิใจนำเสนอเป็นอย่างมากบน MacBook Pro 2016 นี้ก็คือ Touch Bar ที่ดูภาพนอกแล้วนั้นแสนจะดูดีน่าใช้งานแต่กับมือ Pro ในด้านต่างๆ แล้วพวกเขาไม่ได้คิดกันเช่นนั้นครับ พวกเขายอมรับว่าถึงแม้มันจะมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่อาจจะช่วยให้งานต่างๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นจริงๆ ในอนาคต แต่ถ้ามองกันตามหลักของการทำงานแล้วนั้นไม่ไม่ก่อให้เกิดการทำงานที่ต่อเนื่องสำหรับงานระดับมืออาชีพครับ สาเหตุก็เนื่องมาจากว่าการใช้งานในระดับมืออาชีพจริงๆ นั้นจะต้องเกี่ยวพันกับมอนิเตอร์ภายนอกและคีย์บอร์ดหลายๆ ตัว ไม่สามารถที่จะจดจ้องอยู่กับหน้าจอของตัว MacBook Pro ตัวเดียวได้ครับ
หนึ่งในงานระดับ Pro ที่ Apple โชว์การใช้ Touch Bar นั้นได้แก่การใช้งานสำหรับ DJ ตามคลิปทางด้านบนครับ แต่ Apple คงจะลืมไปหล่ะครับว่า DJ ทั้งหลายนั้นอาจจะต้องใช้งาน USB Type-C Dongle เพื่อเปลี่ยนมาใช้งานเป็น USB Type-A สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายที่เหลือ และ Apple คงจะลืมนึกไปอีกด้วยหล่ะครับว่า DJ นั้นจะต้องใช้อุปกรณ์ที่มีสายจำนวนมากซึ่งการตัดการชาร์จแบบ MagSafe ทิ้งไปนั้นอาจจะทำให้งานล่มถ้า DJ หรือคนอื่นเดือนสะดุดสายที่ระโยงระยางกับ USB Type-C Dongle ได้ หนักสุดคือขนาดนิ้วมือของ DJ แต่ละคนก็ไม่เท่ากันด้วย ดังนั้นแล้ว DJ บางรายอาจจะไม่มีความสุขมากนักกับการใช้ Touch Bar หล่ะครับ
คีย์บอร์ดขนาดใหญ่สุดแบนและระยะห่างจากฐานสุดสั้นไม่ใช่สิ่งที่มือ Pro ต้องการ
ด้วยความที่ทาง Apple ต้องการให้เครื่อง MacBook Pro 2016 นั้นบางที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นคีย์บอร์ดของ MacBook Pro 2016 นั้นจึงทั้งแบนราบมากๆ แถมระยะห่างจากแป้นถึงฐานก็อยู่ที่ 0.55 mm ด้วยอีกต่างหาก แต่ทว่าสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้ระดับมืออาชีพต้องการครับ ที่ควรจะเป็นนั้นก็คือตัวแป้นของคีย์บอร์ดควรจะมีความบางและนูนมากกว่านี้เพื่อการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักเขียนแล้วนั้นการตอบสนองของแป้นเป็นสิ่งสำคัญทากๆ ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกสบายในการพิมพ์ ซึ่งนั่นทำให้ระยะจากแป้นถึงฐาน 0.55 mm นั้นไม่สามารถตอบสนองกลุ่มคนเหล่านี้ได้มากพอรับ
สรุป
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นคำถามที่ติดค้างในใจของผู้ใช้ระดับมืออาชีพที่ใช้ MacBook Pro(หรืออย่างน้อยก็ MacBook) มาโดยตลอดครับ ถึงแม้ว่านี่จะเป็นคำถามของผู้ใช้ในต่างประเทศ แต่เชื่อว่าผู้ใช้ระดับ Pro ในเมืองไทยเองหลายๆ ท่านนั้นก็คงจะมีข้อข้องใจบางอย่างไม่แตกต่างไปจากผู้ใช้ในต่างประเทศ งานนี้คงต้องให้ระยะเวลานั้นเป็นเครื่องพิสูจน์หล่ะครับว่า MacBook Pro 2016 นั้นจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ระดับ Pro อย่างชื่อรุ่นของมันจริงรึเปล่า หรือคำว่า Pro ของ Apple นั้นจะเป็นเพียงแค่คำที่เอาไว้ใช้สำหรับเพิ่มมูลค่าของ MacBook รุ่นนี้เท่านั้น
ที่มา : theverge