เปิดตัวออกมาแล้วกับ MacBook Pro ทั้งรุ่นหน้าจอขนาด 13 นิ้วและ 15 นิ้ว โดยจุดที่น่าจะทำให้หลายๆ ท่านสนใจ MacBook Pro รุ่นใหม่นั้นก็คือ Touch Bar ที่มีการใช้งานค่อนข้างจะแปลกใหม่ไปจากเดิมครับ อย่างไรก็ตามแต่แล้วหากท่านได้มีโอกาสแวะเวียนเข้าไปที่หน้าเว็บ Apple Store แล้วหล่ะก็น่าจะพอเห็นว่าจะมี MacBook Pro รุ่นขนาดจอ 13 นิ้วที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar ด้วย แน่นอนว่าราคาของรุ่นที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar นั้นจะค่อนข้างต่ำกว่ารุ่นที่มี Touch Bar พอสมควร วันนี้เรามาดูกันดีกว่า MacBook Pro รุ่นที่ไม่มี Touch Bar จะน่าใช้งานแค่ไหนครับ
MacBook Pro รุ่นที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar นั้นก็ได้รับการรีเฟรชมาเช่นเดียวกัน ดังนั้นแล้วภาพลักษณ์ภายนอกจึงไม่ได้แตกต่างไปจาก MacBook Pro รุ่นที่มาพร้อมกับ Touch Bar ขนาดหน้าจอ 13 นิ้วเลยครับ มันยังคงมีความบางแหละน้ำหนักเบาเหมือนกับ MacBook Air ที่น้ำหนักนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 1.36 kg เท่านั้นและในส่วนของขนาดตัวเครื่องนั้นก็ดูเล็กว่า MacBook Air รุ่นเก่าพอควรเลยทีเดียว ทั้งนี้จุดที่ MacBook Pro รขนาดจอ 13 นิ้วที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar นั้นเหมือนกับรุ่นที่มาพร้อมกับ Touch Bar ก็คือคีย์บอร์ดและ Touch Pad ที่ดีไซน์มาใหม่ครับ
จุดที่แตกต่างกันระหว่างรุ่นที่มี Touch Bar และรุ่นที่ไม่มี Touch Bar ที่เห็นได้ชัดเจนจุดหนึ่งนั้นก็คือการโดนตัดพอร์ตการเชื่อมต่อแบบมีสายไปจากในรุ่นที่มี Touch Bar ครับ โดย MacBook Pro รุ่นที่ไม่มี Touch Bar นั้นและถือว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นนั้นจะมาพร้อมกับพอร์ต Thunderbolt 3 เพียง 2 พอร์ตเท่านั้น(อย่างไรก็ตามจะมีรุ่นที่ไม่มี Touch Bar แต่มาพร้อมกับพอร์ต Thunderbolt 3 จำนวน 3 พอร์ตและสเปคในส่วนอื่นที่สูงขึ้นวางจำหน่ายด้วยโดยราคาจะต่างกับรุ่นเริ่มต้นที่ 7,000 บาทครับ)
MacBook Pro 2016 13″ without Touch Bar : MacBook Air
เมื่อทำการเปรียบเทียบระหว่าง MacBook Pro 2016 13″ ที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar กับ MacBook Air รุ่นเก่า(ตามภาพด้านบน) แล้วนั้นจะเห็นได้ชัดเจนเลยครับว่า MacBook Pro 2016 13″ ที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar เล็กกว่า MacBook Air ค่อนข้างจะมาตั้งแต่ส่วนของจอที่เห็นได้ชัดเจนว่าขอบของหน้าจอMacBook Pro 2016 13″ ที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar นั้นจะหน้าน้อยลง คีย์บอร์ดที่ดีไซน์มาใหม่นั้นก็เล็กกว่าเดิม จะเว้นก็แต่ในส่วนของ Touch Pad ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อการใช้งานที่สะดวกกว่าเดิมครับ
นอกจากเรื่องของขนาดที่เล็กกว่าแล้วนั้น MacBook Pro 2016 13″ ที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar ก็มีน้ำหนักที่เล็กกว่า MacBook Air รุ่นเก่าด้วย แต่ในส่วนของน้ำหนักนั้นไม่ได้ต่างกันมากจนถึงกับรู้สึกได้เพราะมันต่างกันเพียง 0.027 kg เท่านั้นเรียกได้ว่าน้อยมากๆ อย่างไรก็ตามเรื่องน้ำหนักนี้หากไปแข่งกับผู้ผลิตรายอื่นอย่าง Dell XPS 13 นั้นทาง MacBook Pro 2016 13″ ก็สูสีกันหล่ะครับ ตรงจุดนี้ทำให้เราเห็นได้ครับว่าโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13 นิ้วในระดับบนนั้นเริ่มจะมีน้ำหนักต่ำกว่า 1.36 kg แล้วทั้งนั้นครับ
เรื่องความหนาของตัวเครื่องนั้นเป็นอีกจุดหนึ่งที่ MacBook Pro 2016 13″ ที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar ทำได้ดีกว่า MacBook Air ครับเพราะความหนาของมันนั้นอยู่ที่ 14.9 mm เท่านั้นเรียกได้ว่าบางกว่า MacBook Air ถึง 12% แถมการดีไซน์นั้นโดยรวมแล้ว MacBook Pro 2016 13″ ที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar ก็ไม่ได้ดูแล้วอึดอัดยัดเยียดเหมือนกับที่เป็นบน MacBook Air ตรงนี้ต้องยกข้อดูให้กับทีมออกแบบที่ถึงแม้ว่า MacBook Pro 2016 13″ ที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar จะมีความบางกว่าและขนาดเล็กกว่าทว่าเรื่องของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของมันนั้นมีประสิทธิภาพดีกว่า MacBook Air ครับ
หมายเหตุ – แต่ข้อเสียหลักๆ ที่สังเกตได้เลยก็คือ MacBook Pro รุ่น 2016 ถูกละทิ้งพอร์ตเชื่อมต่อแบบเก่าอย่างเช่น USB 2.0 หรือ USB 3.0 ไปทั้งหมดเลยและให้มาเฉพาะพอร์ตรุ่นใหม่อย่าง Thunderbolt 3 ที่มีขนาดบางกว่า ดังนั้นแล้วตรงนี้จึงไม่น่าแปลกใจมากเท่าไรนักที่ MacBook Pro 2016 13″ จะมาพร้อมกับความบางและเบากว่า MacBook Air รุ่นเก่าครับ
หมายเหตุ 2 – ความลำบากของผู้ใช้งานอีกอย่างที่ต้องคำนึงก่อนจะซื้อ MacBook Pro 2016 ทุกรุ่นนั้นก็คือคุณจะต้องซื้อ Dongle ทำหลับเปลี่ยนจากพอร์ต Thunderbolt 3 ไปเป็นพอร์ตรุ่นเก่าอื่นๆ(อย่างเช่น USB 2.0 หรือ 3.0) เพื่อจะใช้งานด้วยเพราะว่า Dongle นั้นทาง Apple ไม่ได้แถมมาให้เพราะฉะนั้นท่านที่กำลังจะตัดสินใจซื้อ MacBook Pro 2016 ทุกรุ่นนั้นคุณต้องเตรียมงบตรงนี้ไว้ด้วยนะครับ
สำหรับรูปลักษณะภาพนอกของ MacBook Pro 2016 นั้นเมื่อดูโดยรวมแล้วค่อนข้างที่จะให้ความรู้สึกเหมือนกับ MacBook Pro รุ่นเก่าครับ ไม่ว่าจะวัสดุรูปแบบ unibody aluminum หรือการมาพร้อมกับสีที่วางจำหน่าย 2 สีอย่าง silver และ space gray นั้น รูปลักษณ์ภาพนอกของมันจึงดูไม่ค่อยจะต่างจากเดิมเท่าไร หากไม่สังเกตกันจริงๆ(หรือเอามาวางเทียบกัน) ก็คงจะไม่สามารถมองออกได้แบบทันทีทันใด ความรู้สึกที่คุณจะสัมผัสได้ว่ามีความแตกต่างระหว่าง MacBook Pro รุ่นเก่ากับรุ่น 2016 13″ ไม่มี Touch Bar ก็คือเมื่อมีการเปิดใช้เครื่องดังนี้ครับ
- ส่วนของหน้าจอ MacBook Pro 2016 13″ ที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar นั้นถึงแม้จะมาพร้อมกับความละเอียด 2,560 x 1,600 pixel เท่าเดิม แต่ทว่าตัวหน้าจอนั้นจะมาพร้อมกับความสวางมากกว่าเดิมคือเพิ่มขึ้นเป็น 500 nits ซึ่งมากกว่าเดิมถึง 67% และในส่วนของ contrast นั้นก็เพิ่มมากขึ้นถึง 67% ทำให้สามารถแสดงสีสันได้มากกว่าเดิม 25% ครับ
- ส่วนของคีย์บอร์ดที่ไม่มี Touch Bar ทำให้เมื่อเปิดขึ้นดูนั้นคุณจะยังเห็นปุ่ม Esc และ FN รวมถึงปุ่มปรับลดความส่วางของหน้าจอและเสียงเหมือนเดิม(เพิ่มเติมคือมีการจัดเรียงที่ไม่เหมือนเดิม) และเมื่อคุณกดลงไปบนแป้นคีย์บอร์ดนั้นคุณจะพบว่ามีความรู้สึกเปลี่ยนไปเพราะทาง Apple ได้ใช้ปุ่มคีย์บอร์ดแบบ “butterfly” mechanism เหมือนกับที่ใช้บน MacBook 12″ ครับ
ถามว่า MacBook Pro 2016 13″ รุ่นเริ่มต้นที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar นั้นน่าใช้ไหม ส่วนหนึ่งบอกได้เลยครับว่ามันยังคงน่าใช้งานอยู่แล้วสามารถที่จะใช้ชื่ออยู่ในรุ่น Pro ได้อย่างไม่ยากเย็นนั้นเพราะส่วนขององค์ประกอบอื่นๆ ของมันนั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับ MacBook Pro 2016 ที่มาพร้อมกับ Touch Bar แต่ถ้าคุณงบถึงแล้วหล่ะก็ MacBook Pro 2016 ที่มาพร้อมกับ Touch Bar ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่คุณจะตัดสินใจเลือกใช้
และจากการเปลี่ยนเทียบ MacBook Pro 2016 13″ รุ่นเริ่มต้นที่ไม่ได้มาพร้อมกับ Touch Bar กับ MacBook Air ตามที่ได้กว่าไปแล้วนั้น มีความเป็นไปได้เหลือเกินครับว่าทาง Apple อาจจะละทิ้ง MacBook ในซีรีส์ Air ไปจริงๆ ที่เหลือก็คงต้องรอดูหล่ะครับว่าทาง Apple จะทิ้ง MacBook Air ตามที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้หรือไม่
ที่มา : engadget