Connect with us

Hi, what are you looking for?

Mac Corner

[Preview] Apple MacBook Pro (late 2016) ดีไซน์บางเบาลง พร้อม Touch Bar, Touch ID และสีสันใหม่

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ ส่วนตัวแอดมินโป้งก็ใช้ MacBook Pro Retina 15 ตัวท็อปรุ่น late 2013 ที่ตกรุ่นไปแล้วพิมพ์อยู่ (ฮาๆ) เรียกได้ว่าสิ้นสุดการรอคอยกันเสียทีกับการมาของ Apple MacBook Pro รุ่นล่าสุด ที่วิวัฒิขึ้นไปอีกในหลายๆ เรื่อง (แต่ก็มีเรื่องน่าผิดหวัง) โดยก็เป็นไปตามข่าวหลุดข่าวลือบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจะติดตั้งคุณสมบัติ Touch Bar, Touch ID รวมไปถึง จะตัดพอร์ต USB-A ทิ้งไปหมดนั่นเอง ว่าแล้ว เดี๋ยวเรามาพรีวิว MacBook Pro รุ่น late 2016 ให้ได้ชมกันเลยดีกว่าครับ ในแต่ละหัวข้อ

Advertisement

screen-shot-2559-10-28-at-05-15-36

สเปกภายใน MacBook Pro (late 2016) ยกระดับ – เกือบทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของชิปประมวลผลที่ใช้รุ่นใหม่ล่าสุดเป็น Core i5 และ Core i7 ตามแต่ละรุ่น ทั้งที่เป็น Dual-core ตระกูล U หรือ Quad-core ที่เป็นตระกูล HQ สถาปัตยกรรม Gen 6 Skylake รวมไปถึงในส่วนของกราฟิกการ์ดก็ AMD รุ่นใหม่ (14 นาโนเมตร) ทั้งตัวเริ่มต้นและตัวท็อปของหน้าจอ 15″ อย่าง Radeon Pro 450 /Radeon Pro 455 ส่วนรุ่นขนาดหน้าจอ 13″ ก็ใช้เป็นออนบอร์ดมาตรฐานที่ติดมากับชิปประมวลผลอยู่แล้ว โดยเป็น Intel Iris Graphics 540 / Intel Iris Graphics 540 ส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้นเป็นเท่าตัว

ส่วน SSD ก็เป็นแบบ PCIe ที่ให้ความเร็วที่ดีขึ้นเท่าตัวเหมือนกัน โดยแรมติดตั้งมาให้เป็น DDR3 แบบออนบอร์ด ที่ความความเร็วบัส 2133MHz ขนาดสูงสุดที่ 16GB แน่นอนตรงจุดนี้ก็แปลกใจว่าทำไมไม่ให้เป็นมาตรฐาน DDR4 มาเลย เข้าใจว่าอาจจะยังไม่ถึงเวลาหรือเปล่าเพราะเอาเข้าจริงมาตรฐาน DDR3 ก็ยังใช้งานได้อยู่ (แต่มีผลกับจิตใจไง ฮา) รวมไปถึงชิปประมวลผลก็เป็น Gen 6 แทนที่ควรจะเป็น Gen 7 ตามแบรนด์อื่นๆ เค้าแล้ว  ปิดท้ายก็จะเป็นเรื่องของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ 10 ชั่วโมงตามมาตรฐาน MacBook

screen-shot-2559-10-28-at-05-16-21-copy

ดีไซน์การออกแบบตัวเครื่อง MacBook Pro (Late 2016)

ก็ต้องบอกว่าทำได้ดีขึ้นอย่างแน่นอนทั้งในส่วนของหน้าจอ 13″ และ 15″ เพราะมีความบางเบาลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในรุ่นใหม่นี้มีขนาดตัวเครื่องที่บางลงและการออกแบบดูสะอาดเรียบง่าย ซึ่งมีความบางจะบางลงอย่างมาก เทียบแล้วบางลงจากรุ่นเดิม 17% น้ำหนักตัวเบาลงจากเดิม 20% ที่หากดูเป็นขนาดหน้าจอ 13″ แล้วจะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.37 กก. ส่วนความบางจะอยู่ที่ 1.49 ซม.เท่านั้น ส่วนขนาดหน้าจอ 15″ จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.83 กก และมีความบางเพียง 1.55 ซม. เท่านั้นเอง

งานนี้ใครคาดหวังเรื่องการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ที่เยี่ยมกว่าเดิม ต้องชอบมันอย่างแน่นอน อ่อ ที่สำคัญคือไม่มีไฟโลโก้ Apple ด้านหลังอีกต่อไปแล้ว ก็คือฝาหลังก็จะเป็นโลโก้แวววาวเหมือน MacBook นั่นเอง รวมไปถึงมีสีตัวเครื่องให้เลือกแล้ว คือ สีเทาสเปซเกรย์ ส่วนสีเงินปกติก็มีเป็นมาตรฐาน

apple-macbookpro-6-800x500

Touch Bar, Touch ID ของใหม่ใครๆ ก็อยากได้ แต่เพิ่มหมื่นนึงนะ

ความล้ำไม่เคยปรานีใคร ยิ่งกับ Apple แล้วนั้นจัดเต็ม กับคุณสมบัติใหม่อย่าง Touch Bar, Touch ID โดยในส่วนของ Touch Bar จะเป็นเครื่องมือที่สอดคล้องกับการใช้งานต่างๆ ขมาไว้ใกล้ๆ มือ บนคีย์บอร์ด โดยจะเปลี่ยนไปตามสิ่งที่ทำในขณะนั้นโดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้สะดวกยิ่งขึ้น เอาเป็นว่าเห็นเมื่อไหร่ก็รู้ทันทีว่าจะใช้งานยังไง โดยแค่แตะเพียงครั้งเดียว ก็สามารถเลือกใช้ปุ่มลัด คำที่แนะนำ และอีกมากมายได้ง่ายๆ

อีกทั้งยังสามารถเลื่อนดู ไทม์ไลน์ของวิดีโอขณะใช้งานแบบเต็มหน้าจอ หรือจะแตะเพื่อเลือกดูและปรับแต่งรูปภาพ ก็ยังได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นครั้งแรกที่มี Touch ID บน Mac แล้วการล็อกอินเข้าใช้งานเครื่อง และอื่นๆ อีกมากมายก็ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่รวดเร็วทันใจ ตามสไตล์ iPhone, iPad ที่เราเคยใช้งานกันมาอยู่แล้ว

แต่ๆ นั่นก็ทำให้ MacBook Pro 13″ รุ่นที่มาพร้อมกับ Touch Bar, Touch ID ราคาสูงกว่า MacBook Pro 13″ รุ่นใหม่ธรรมดาที่ไม่มีกว่าหมื่นบาทเลยทีเดียว งานนี้ใครอยากได้อยากโดนก็ต้องจ่ายแพงกว่าหน่อยเท่านั้นเอง

touch-id-macbook-pro

หน้าจอ Retina Display บน Apple MacBook Pro (late 2016) สีสันยังเทพได้อีก

MacBook Pro มาพร้อมจอภาพใหม่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโน๊ตบุ๊ค Mac เลยทีเดียว เพราะมีแผงแบ็คไลท์ LED ที่สว่างขึ้นและมีอัตราส่วนคอนทราสต์ที่สูงขึ้น ทำให้ สามารถแสดงสีดำได้ดำสนิทยิ่งขึ้น และแสดงสีขาวได้สว่างสดใสยิ่งกว่าเดิม ส่วนรูรับแสงที่ใหญ่ขึ้นในแต่ละพิกเซลและอัตราการรีเฟรชแบบแปรผันก็ช่วยให้ จอภาพประหยัดพลังงานได้มากกว่ารุ่นก่อน

นอกจากนี้ยังเป็น MacBook รุ่นแรก ที่รองรับขอบเขตสีแบบกว้างอีกด้วย จึงสามารถแสดงสีเขียวและสีแดงได้สวยสด งดงามยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าภาพที่เห็นจะสวยงามสมจริงยิ่งกว่าเดิม และถ่ายทอดทุกรายละเอียดได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับ งานกราฟิกดีไซน์ ปรับสี และตัดต่อ สรุปคือ สว่างมากกว่าเดิม 67% มีค่า Contrast Ratio สูงกว่าเดิม 67% รองรับสีมากกว่าเดิม 25% ในความละเอียดเท่าเดิมทั้ง 13″ และ 15″

30568014476_434296117b_z

ปรับใหม่หมด ลำโพง, คีย์บอร์ด, แทร็คแพด Apple MacBook Pro (late 2016)

ถือว่าเป็นอะไรที่สำคัญทีเดียวสำหรับ ลำโพง, คีย์บอร์ด, แท็กแพด เพราะเรียกได้ว่ารื้อของเก่าทิ้งไปเลย เห็นได้ชัดๆ บนรุ่นขนาดหน้าจอ 13″ ที่ได้มีการย้ายช่องลำโพงขึ้นมาด้านบน โดยติดตั้งไว้ข้างๆ กับคีย์บอร์ด อีกทั้งยังเพิ่มช่วงไดนามิกให้กว้างขึ้น 2 เท่า และมีพลังเสียงสูงขึ้นถึง 58% พร้อมเสียงเบสที่ดังกระหึ่มเต็มพลังยิ่งกว่าเดิม ถึง 2.5 เท่า ที่สำคัญคือเชื่อมต่อโดยตรงกับอุปกรณ์จ่ายไฟของเครื่อง ซึ่งช่วยเพิ่ม กำลังขับสูงสุดอีกถึง 3 เท่า

ส่วนคีย์บอร์ดก็เรียได้ว่ายกมาจาก MacBook ที่เป็นกลไกแบบปีกผีเสื้อเลยก็ว่าได้ แต่ได้ถูกพัฒนามาเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว ผ่านการปรับแต่งอย่างพิถีพิถันในทุกรายละเอียดเพื่อให้ สามารถตอบสนองได้ดีขึ้น และช่วยให้พิมพ์ได้สบาย มั่งคงขึ้น ส่วนแทร็คแพด Force Touch นั้นก็ขยายกว้าง ขึ้นจากเดิมมากถึง 2 เท่า ทำให้นิ้วมีพื้นที่ในการคลิกและใช้งานคำสั่งนิ้วมากยิ่งขึ้น

screen-shot-2559-10-28-at-09-15-41

พอร์ตการเชื่อมต่อเสริม USB-C ตัด USB-A ออกทั้งหมด

ตอกย้ำการตัดใบไม่เหลือใยอีกครั้งด้วยการนำเสนอ USB-C ที่เป็น 3.1 พร้อมรองรับ Thunderbolt 3 สำหรับการเชื่อมต่อในทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะถ่ายโอนข้อมูล ชาร์จไฟ หรือส่งสัญญาณภาพ ก็สามารถทำได้จากช่องต่อเพียงช่องเดียวด้วยแบนด์วิดท์ในการถ่ายโอนข้อมูล สูงสุด 40 Gbps หรือสูงกว่า Thunderbolt 2 ถึงสองเท่า นอกจากนี้ MacBook Pro ทั้งสองขนาดยังมี Thunderbolt 3 มาให้ถึง 4 พอร์ต (แต่ 13″ เริ่มต้นให้มาแค่ 2 พอร์ต) ส่วนพอร์ตอื่นๆ ก็จะมีช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5มม.

แน่นอนว่ามีข้อดีในการใช้งานเป็น USB-C แต่ข้อเสียในตอนนี้ก็มากมาย เพราะไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อใดๆ ที่ไม่ใช่ USB-C ด้วยกัน เราจำเป็นต้องใช้อแดปเตอร์แปลงทั้งหมด ตรงนี้เราคงต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกเยอะเยอะ หรือใครจะซื้อ Docking ที่ครบๆ มาเลยอันนี้ก็ไม่ว่ากัน ซึ่งจะแม้แต่ต่อ SD Card ก็ยังต้องใช้ตัวแปลงเลยทีเดียว

สุดท้ายกับพระเอกของ MacBook ตลอดมาแต่ก็ได้จบลงแล้วในรุ่นล่าสุดนี้ โดยได้มีการตัด Magsafe กับช่องทางการชาร์จไฟแบบแม่เหล็กดูดออกไปเรียบร้อย ซึ่งมีการใช้งานการจ่ายไฟแบบ USB-C แทนที่นั่นเอง เหมือน MacBook ตัว Core m ก่อนหน้านั่นเอง

screen-shot-2559-10-28-at-09-15-14

ราคา MacBook Pro (late 2016) สูงสุดที่ 105,900 บาท

  • MacBook Pro 13″  : 256GB SSD  ราคา 56,900 บาท
  • MacBook Pro 13″ Touch Bar  :256GB SSD  ราคา 67,900 บาท / 512GB SSD  ราคา 74,900  บาท
  • MacBook Pro 15″ Touch Bar  : 256GB SSD  ราคา 89,900 บาท / 512GB SSD  ราคา 105,900 บาท

วันจำหน่าย MacBook Pro (late 2016) ไม่นานเกินรอ

โดย MacBook Pro 13″ รุ่นใหม่นี้จะพร้อมจำหน่ายทันที ส่วน MacBook Pro 13″ Touch Bar และ MacBook Pro 15″ Touch Bar จะพร้อมจำหน่ายจริงๆ ในอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ เรียกได้ว่าเก็บเงินหาตังค์กันแทบไม่ทันเลยทีเดียว (ฮา) หรือถ้าใครจะผ่อน 0% กี่เดือนก็ว่าไป ก็สามารถทำได้ตามเงื่อนไขของ Apple หรือร้านตัวแทนจำหน่ายต่างๆ

สรุปพรีวิว Apple MacBook Pro (late 2016)

ต้องยอมรับว่าโดยรวมแล้วหน่าประทับใจจริงๆ สำหรับการมาของ Apple MacBook Pro (late 2016) ที่เชื่อว่าหลายๆ คนรอคอยกันอย่างใจจดใจ่อสำหรับแฟนๆ Mac ที่นานๆ ที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซักครั้งนึง ซึ่งส่วนของฟีเจอร์ต่างๆ นานาทั้ง Touch Bar, Touch ID อันนี้ชอบหมด รวมไปถึงตัวเครื่องดีไซน์บางเบาก็โดนใจสุดๆ สีสันก็ชอบกับสีใหม่ แม้ไม่มีไฟโลโก้ฝาหลังแล้วก็ไม่เป็นอะไร แต่ก็แอบขัดใจกับสเปกที่ไม่ใส่รุ่นใหม่มาให้ทั้งชิปประมวลผล แรม ซึ่งก็มีเหตุผลว่า Kaby Lake Gen 7 ยังไม่ได้เปิดตัวเต็มที่ พลอยให้ DDR4 ก็ยังไม่มาด้วย

ที่สำคัญคือ MacBook Pro นั้นไม่ได้คอมพิวเตอร์พกพาสำหรับทุกคนแต่อย่างใด ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง รวมไปถึงราคาเองก็ถือว่าไม่ถูกเลย แต่ก็อาจจะไม่แพงสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อใช้งานแล้วเค้าได้เงินจากตรงนั้น ดีไม่ดีรับงานมาแค่ไม่กี่งานก็ได้ค่าเครื่องคืนแล้ว พร้อมใช้งานยาวๆ ไปได้อีกที 2-3 ปีทีเดียว ฉะนั้นคงจะไปเทียบกับโน๊ตบุ๊คแบรนด์อื่นๆ รวมไปถึงพวกพีซีไม่ได้ซักทีเดียว

ยังไงส่วนตัวถ้าไม่รีบให้รอรุ่นต่อไปก็ไม่เสียหายอะไร รวมไปถึงตัวค่าเงินของ Apple ที่คิดเป็นเงินไทยก็สูงเชียว เทียบกับอเมริกาหรือสิงคโปร์แล้วแพงกว่าประมาณหมื่นบาทได้ แต่ถ้าใครทนไม่ไหวจัดได้ก็จัดไปเลย แต่อย่าลืมเตรียมตังค์ซื้ออุปกรณ์เสริม USB-C ด้วยนะครับ

screen-shot-2559-10-28-at-09-18-21

จุดเด่น

  • ดีไซน์การออกแบบตัวเครื่องใหม่หมด
  • บางเบากว่าเดิมแบบเห็นได้ชัด
  • มีสีสันเทาสเปซเกรย์ มาให้เลือกเพิ่ม
  • ประสิทธิภาพดีขึ้นมากจากกราฟิกการ์ด เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
  • หน้าจอดีขึ้นพอตัว สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก
  • มี Touch Bar, Touch ID สุดล้ำ ที่ต้องแลกด้วยเงินหมื่นบาท
  • ลำโพง คีย์บอร์ด แทร็คแพดดีขึ้น
  • มีพอร์ต USB-C ให้พร้อมใช้งานแล้ว จำนวน 4 พอร์ตด้วยกัน
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง

ข้อสังเกต

  • สเปกไม่ล่าสุดทั้งชิปประมวลผลและหน่วยความจำแรม
  • มีเพียงพอร์ต USB-C ทำให้ต้องซื้ออแดปเตอร์ หากต้องการเชื่อมต่ออื่นๆ

สำหรับรายละเอียดอื่นๆ ของ  Apple MacBook Pro (late 2016) ตามต่อได้ที่นี่ <<<

ปิดท้ายด้วยวีดีโอโปรโมท Apple MacBook Pro (late 2016) จากทาง Apple แล้วกัน เป็นไปได้ยังไงแอดมินโป้งจะหามารีวิวให้ได้ชมกันตัวเป็นๆ อย่างแน่นอน !!!

ที่มา : Apple

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Buyer's Guide

รีบช้อปก่อนของหมด!! พาส่องโปร iPad ราคานักเรียน จากแคมเปญ Apple Back to School ทุกรุ่น เริ่มต้นแค่ 13,xxx บาท สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของ Apple นั้น นอกจากได้รับความนิยมแล้ว ก็ยังมีแคมเปญดีๆ ที่มาในทุกปีอย่าง Back to School ที่ให้เราได้ซื้อ iPad,...

CONTENT

เลือกซื้อ iPad Air และ iPad Pro 2024 รุ่นใหม่ แบบไหนดี สเปคสดใหม่ รุ่นเก่าราคาดี เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ iPad รุ่นใหม่ล่าสุดหลังจากที่เว้นวรรคมานานข้ามปี สำหรับรอบนี้ก็เริ่มที่ iPad Air 6 และ iPad Pro 2024 ที่มีการอัปเดตสเปคไปตามยุค จุดที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนชิปประมวลผลมาเป็น...

Buyer's Guide

แนะนำเคสไอโฟน ดีไซน์สวย ปกป้องเครื่องได้ น่าซื้อมาใช้งาน ในราคาหลักร้อย อัพเดท 2024 การเลือกเคสไอโฟนมาใช้งานนั้น เราควรเลือกอย่างไร และอะไรที่ต้องระมัดระวังบ้างในการเลือกเคส เพราะก็ต้องยอมรับว่าสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่อง โดยเฉพาะไอโฟนของเราก็ถือเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีราคาอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางสูง การดูแลรักษาจึงควรต้องดีในระดับหนึ่ง เคสที่เราใช้ นอกจากที่จะให้ความสวยงามแล้ว ก็อาจจะต้องมีอีกคุณสมบัติ นั่นก็คือ การปกป้องตัวเครื่องที่ดีอีกด้วย ทีมงาน NotebookSPEC ก็อยากมาแนะนำเคสไอโฟนที่น่าใช้งาน ในราคาหลักร้อย แต่มีดีไซน์สวย ปกป้องเครื่องได้ดี...

CONTENT

iPhone ตกน้ำ เปียกน้ำ โดนฝน 2024 แจ้งว่ามีของเหลวขณะเสียบสายชาร์จ แก้ไขเบื้องต้นใน 4 ขั้นตอน หนึ่งในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ก็คือมือถือเปียกน้ำ แม้มือถือส่วนใหญ่จะกันน้ำได้บ้าง แต่ก็อาจพบปัญหาตอนเสียบสายชาร์จ อย่างใน iPhone เองจะมีข้อความแจ้งว่าตรวจพบของเหลว และตัดการจ่ายไฟ ทำให้ไม่สามารถชาร์จไฟได้เลย โดยเฉพาะช่วงอากาศร้อนแบบนี้ หลายท่านคงมักหากิจกรรมที่เกี่ยวกับน้ำเพื่อคลายร้อน ไม่ว่าจะลงสระว่ายน้ำ หรือลงไปดำน้ำ เล่นน้ำทะเลเป็นต้น ที่สำคัญคือ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก