เป็นข่าวใหญ่อยู่พักหนึ่งครับว่าทางรัฐบาลประเทศจีนนั้นได้แบนการซื้อสินค้าของ Apple บางส่วน(เฉพาะในส่วนของรัฐบาล) ซึ่งแน่นอนว่าการที่ตลาดใหญ่ระดับประเทศจีนออกมาแบนการสั่งซื้อของจาก Apple นั้นย่อมส่งผลที่ไม่ดีกับประเทศจีนมากนักสักเท่าไร
งานนี้ทาง Apple จึงอยู่เฉยไม่ได้หล่ะครับ ล่าสุดนั้นทาง CEO ของ Apple อย่าง Tim Cook นั้นได้เดินทางไปที่ประเทศจีนเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้โดยตามกำหนดการนั้นมีการระบุเอาไว้ว่า Tim Cook จะเข้าพบรองนายกรัฐมนตรีอย่าง Zhang Gaoli เพื่อสนทนาเกี่ยวกับโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตภายในประเทศจีนครับ
ตามรายงานของ The Wall Street Journal และสื่อของประเทศจีนอย่าง CCTV นั้นพบว่าในการสนทนาครั้งนี้นั้นทาง Apple เตรียมลงทุนในประเทศจีนครั้งใหญ่ซึ่งการลงทุนนี้นั้นรวมไปถึงการสร้างศูนย์พัฒนาและวิจัยขึ้นในแรเทศจีนซึ่งถือว่าเป็นแห่งแรกของ Apple ในประเทศจีนโดยจะเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้ นอกจากนั้นแล้วทาง Apple ยังได้ประกาศออกมาอีกด้วยว่า Apple มีความประสงค์ที่จะมุ่งเน้นให้ผู้จัดจำหน่ายกระจกหน้าจอแบบสัมผัสรายใหญ่ของจีน(ซึ่งมีเทคโนโลยีทางด้านเลนส์ที่ดีอยู่) ให้จัดจำตัวกระจกให้กับ Apple ปริมาณมากสำหรับอุปกรณ์สวมใส่พลังงานต่ำที่จะเปิดตัวในช่วงสิ้นปี 2018 นี้
อย่างไรก็ตามแต่ในรายงานนั้นไม่ได้ระบุเอาไว้ครับว่าทาง Apple จะไปสร้างศูนย์พัฒนาและวิจัยในประเทศจีนที่เมืองใดและจำนวนเงินการลงทุนนั้นจะอยู่ที่เท่าไร ทว่าในครั้งแรกที่ Cook ยืนจีนช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้นทาง Apple ได้ประกาศออกมาไว้ ณ ตอนนั้นว่าทาง Apple จะลงทุนในประเทศจีนด้วยเงินกว่า $1 billion หรือประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาทสำหรับการขับเคลื่อนแอปพลิเคชัน Didi Chuxing โดยเฉพาะ ซึ่ง ณ ตอนนั้นทาง Apple ให้เหตุผลเอาไว้ว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นเหตุผลเชิงกลยุทธ์รวมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะเข้าสู่ตลาดประเทศจีนมากขึ้นครับ
จริงๆ แล้วในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานั้นการจำหน่ายสินข้าดิจิทัลผ่านทางแอปพลิเคชันอย่าง iTunes movies และ iBookstore นั้นถือว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียวแต่ทว่าท้ายที่สุดก็ต้องปิดตัวลงไปจากการสั่งการของผู้มีอำนาจในประเทศจีน แถมช่วงปีนี้ที่ผ่านมานั้นยอดขายผลิตภัณฑ์ของ Apple ในประเทศจีนนั้นก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด(โดยเฉพาะในช่วง 2 ไตรมาสหลังที่ผ่านมา) งานนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยครับที่ทาง Tim Cook จะต้องดำเนินการอะไรสักอย่างเพื่อที่จะสามารถสร้างโอกาสในการเจาะตลาดประเทศจีนในระยะยาวครับ
ที่มา : theverge