หากจะว่าไปแล้วนั้น USB Type-C ถือว่าเป็นพอร์ตแห่งอนาคตอย่างแท้จริงที่มาพร้อมกับแบนด์วิดธ์ที่กว้างแต่มีขนาดของตัวพอร์ตเล็กซึ่งทำให้มันรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ได้หลากหลายรูปแบบเรียกได้ว่าเป็น “universal port” อย่างแท้จริง
เอาเป็นว่าในปัจจุบันนั้นเราได้เห็นพอร์ท USB Type-C ในอุปกรณ์ต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นโน๊ตบุ๊คไปยันสมาร์ทโฟน และที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ USB Type-C นั้นยังเป็นพอร์ตที่ใช้รูปแบบของการเชื่อมต่อ(หัวการเชื่อมต่อ) ร่วมกับพอร์ตมาตรฐาน Thunderbolt 3 อีกดังนั้นด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงดูแล้วไม่น่าจะยากเลยครับที่ USB Type-C นั้นจะแจ้งเกิดได้อย่างสบายๆ
ดูเหมือนว่า USB Type-C น่าจะสดใสมากเลยใช่ไหมครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นครับ อ้างอิงรายงานล่าสุดของทาง DigiTimes ได้บอกเอาไว้ครับว่าอัตรการเปลี่ยนไปใช้ USB Type-C เป็นมาตรฐานนั้นช้ากว่าที่ควรจะเป็นพอสมควร โดยเหตุผลก็มีด้วยกัน 2 ประการดังต่อไปนี้ครับ
- USB Type-C จำเป็นที่จะต้องใช้กระแสไฟฟ้ามากกว่าพอร์ตการเชื่อมต่อแบบอื่นๆ ซึ่งเป็นผลทำให้อุปกรณ์ที่ใช้พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ USB Type-C นั้นจะมีความร้อนสะสมในการใช้งานสูงการพอร์ตแบบอื่นๆ แถมยิ่งถ้าใช้งานพอร์ตผ่าน Docking แล้วนำไปเชื่อมกับอุปกรณ์อีกหลายตัวแล้วพอร์ต USB Type-C จะร้อนมากๆ
- USB Type-C มีต้นทุนในการผลิตค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็น USB Type-C Gen.2 หรือ Thunderbolt 3 นั้นต้นทุนจะเพิ่มขึ้นมากไปใหญ่เพราะว่าจะต้องมีทั้งคอนโทรลเลอร์และชิปเซ็ทที่รองรับซึ่งในปัจจุบันนั้นยังคงมีราคาที่แพงอยู่พอสมควรเมื่อนำมาติดตั้งกับอุปกรณ์ยิ่งทำให้อุปกรณ์มีราคาสูงขึ้น(ตรงนี้เลยอาจจะเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ถึงมี USB Type-C มาแค่พอร์ตเดียวเท่านั้น)
สาเหตุทั้ง 2 ดังกล่าวถือว่าเป็นข้อเสียอย่างรุนแรงที่ทำให้บรรดาผู้ผลิตยังไม่กล้าที่จะลงทุนกับ USB Type-C กับผลิตภัณฑ์ของตัวเองมากนักสักเท่าไรครับ ดังนั้นแล้วช่วงนี้เราจึงมักจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ระดับบนที่มีราคาแพงเท่านั้นที่มาพร้อมพอร์ต USB Type-C ซึ่งตรงจุดนี้นั้นคงจะต้องรอกันต่อไปจนกระทั่งราคาของชุดติดตั้ง USB Type-C (คอนโทรลเลอร์และชิปเซ็ท) ถูกลงกว่าเดิมเราคงได้เห็นพอร์ต USB Type-C แพร่หลายกันมากขึ้น โดยทาง DigiTimes ก็ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะช่วงปี 2017 นู่นเลยครับ
ที่มา : notebookcheck