จากที่ก่อนหน้านี้ทาง NBS เราเคยนำเสนอข่าวเรื่อง [Tesla] ประกาศเข้าซื้อ SolarCity ซึ่งทั้ง 2 บริษัทนี้เป็นของ Elon Musk ทั้งคู่…อัฐยายซื้อขนมยาย!!! ไปและได้บอกเอาไว้ครับว่าอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาดประจำบ้านอย่าง Solarcity นั้นค่อนข้างที่จะเป็นอุปกรณ์สำหรับอนาคตที่อาจจะต้องใช้เวลาสักพักจึงจะสามารถที่จะทำตลาดและทำเงินกับผู้ถือหุ้นได้
ทว่าล่าสุดหากอ้างอิงจากบริษัทวิจัยการตลาดอย่าง IHS ที่พึ่งจะมีการเผยแพร่เอกสารวิจัยการตลาดชุดใหม่เกี่ยวกับตลาดพลังงานสะอาดระดับครัวเรือนเมื่อไม่นานมานี้นั้นความคิดดังกล่าวอาจจะต้องเปลี่ยนไปแล้วหล่ะครับ
อ้างอิงจากเอกสารของ IHS พบว่าในอีกช่วงทศวรรษข้างหน้าต่อจากนี้ไปนั้นแบตเตอรี่แบบ lithium-ion (Li-ion) จะก้าวเข้ามาเป็นเทคโนโลยีสำหรับจัดเก็บพลังงานแบบหลักของผู้ใช้งานทั่วโลก โดยจากเอกสารของ IHS นั้นระบุเอาไว้ว่าประชากรทั่วโลกนั้นจะใช้แบตเตอรี่ชนิดดังกล่าวนี้มากกว่า 80% ภายในปี 2025 นี้ทั้งอุปกรณ์แบบเคลื่อนที่ไปจนถึงอุปกรณ์ขนาดใหญ่อย่างเช่นบ้านเรือนกันเลยทีเดียว และจากเอกสารของ IHS ยังได้ระบุเอาไว้อีกด้วยครับว่าเฉพาะในปีนี้ปีเดียวนั้นตลาดอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บพลังงานของโลกนั้นจะเติบโตมากขึ้นถึง 2 เท่าตัวคือจาก 1.4 GWh ไปเป็น 2.9GWh
หมายเหตุ – หน่วย GWh เรียกอีกอย่างว่า billion watt hours
และภายในปี 2025 นั้นอัตราความจุของอุปกรณ์สำหรับจัดเก็บพลังงานที่อยู่ตามบ้านเรือ(หรือสำนักงานที่เป็นตึกต่างๆ) จะสู้งมากถึง 21 GWh เลยทีเดียวครับ งานนี้เรียกว่าภายใน 10 ปีต่อจากนี้ไปไม่ว่าเราจะไปที่บ้านไหนๆ ก็จะเห็นอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาด(ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นพลังงานจาก Solar cell หรือพลังงานแสงอาทิตย) ติดตั้งอยู่ภายนอกบ้านเรือนรวมไปถึงโรงงานอุตสาหกรรมทั้งขนาดเล็กใหญ่ ซึ่งจากเอกสารของ IHS นั้นบอกเอาไว้ครับว่าเกินกว่าครึ่งของอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาดนี้จะถูกติดตั้งไว้ตามบ้านเรือนและร้านธุรกิจขนาดเล็กครับ
สาเหตุที่อุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาดนี้จะเติบโตขึ้นอย่างมากเรื่อยๆ นั้นก็เนื่องมาจากว่าแหล่งพลังงานจากแสงอาทิตย์อย่างแผงเซลล์แสงอาทิตย์(solar photovoltaic) เป็นพลังงานที่ได้รับความนิยมมากขึ้นและเติบโตขึ้นเร็วอย่างมากตลอดในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาโดยในปัจจุบันนั้นก็เริ่มที่จะมีผู้เล่นลงมาเล่นในตลาดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ(ที่สำคัญผู้เล่นเหล่านั้นต่างก็เป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งทั้งสิ้น) โดยจะเห็นได้จากทั้งบริษัทผลิตรถยนต์(อันนี้น่าจะหมายถึง Tesla โดยตรง), บริษัทจำหน่ายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติไปจนกระทั่งบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าทั่วไปก็เริ่มเข้าสู่ตลาดนี้กันครับ
โดยส่วนใหญ่แล้วรายได้ของตลาดอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาดนั้นเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะแค่ 2 ประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นนั้นก็สามารถที่จะสร้างมูลค่าการซื้อขายในตลาดได้มากกว่า 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมดแล้ว(ปัจจุบันคิดเป็นมากกว่า $50 billion หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท) ทาง IHS ได้บอกเอาไว้ว่าในออสเตรเลียและญี่ปุ่นจะมีการจัดเก็บพลังงานเกินกว่า 5% ของกำลังการผลิตพลังงานทั้งหมดภายในปี 2025 นี้เพื่อให้พลังงานไฟฟ้ามีความเสถียรในการใช้งาน
หมายเหตุ – ทาง IHS ยังบอกอีกว่าบางประเทศในแอฟริกาใต้อย่างแคนย่าหรือประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างฟิลิปปินส์เองนั้นก็จะมีการซื้ออุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นเหมือนกันด้วยสาเหตุที่ว่าราคาของแบตเตอรี่ดังกล่างนั้น(ในที่นี้คือ Li-ion) ราคาลดต่ำลงทุกวันครับ
ในปัจจุบันนี้ถึงแม้ว่าอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาด(แบตเตอรี่ขนาดใหญ่แบบ Li-ion) จะยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไรนักทว่าบริษัทอย่าง Tesla นั้นก็ลงขันไปกับแบตเตอรี่ชนิดนี้มากเลยทีเดียวครับ ดังจะเห็นได้ว่าทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและระบบจัดเก็บพลังงานไฟฟ้าของ Tesla นั้นต่างก็ใช้แบตเตอรี่แบบนี้ทั้งนั้น(นี่ยังรวมไปถึงการเข้าซื้อบริษัทอย่าง SolarCity เข้ามาไว้ในครอบครองด้วยอีก)
นอกไปจากตัวแบตเตอรี่แล้วทาง Tesla เองก็ได้มีการประกาศออกมาเมื่อไม่นานนี้ว่าทางบริษํทได้เปิดโรงงานไฟฟ้าราคา $5 billion หรือประมาณ 1.8 แสนล้านบ้าทซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดนอก Reno, Nevada ครับ(โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่จริงๆ แล้วตอนนี้พึ่งจะเสร็จไปแค่ 14% เท่านั้น) ทาง Tesla ตั้งเป้าหมายไว้ว่าภายในปี 2018 ที่จะถึงนี้ทางโรงงานไฟฟ้าจะสามารถผลิต battery packs จำนวนมากพอสำหรับที่จะให้พลังงานรถยนต์ไฟฟ้า 500,000 ต่อวัน
หมายเหตุ – ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น Tesla ก็เตรียมที่จะเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่อย่าง Model 3 ออกมาวางจำหน่ายด้วยครับ
ภายในปี 2020 ทาง CEO ของ Tesla อย่าง Elon Musk เชื่อว่าโรงงานๆฟฟ้าของทาง Tesla นั้นจะสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 35 GW ของความจุแบตเตอรี่ทั้งหมด โดยทางบริษัทคาดว่าจะนำพลังงานไฟฟ้าดังกล่าวนั้นไปแบ่งให้อยู่ในหน่วย kWh สำหรับการลดต้นทุนของแบตเตอรี่พลังงานสะอาดให้ลดลงจากเดิมอีก 30% เพื่อให้เป็นไปตามกลไกทางด้านเศรษฐกิจ
เมื่อไม่นานมานี้ทาง Tesla ได้เปิดเผยแผนการส่วนที่ 2 ของแผนการธุรกิจหลักสำหรับการจำหน่ายอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาด(แบตเตอรี่ขนาดใหญ่แบบ Li-ion) ออกมาด้วยครับว่าในขั้นตอนแรกนั้นจะเกี่ยวข้องกับการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์(Solar cell) บนดาดฟ้าของบ้านเรือนหรืออาคารธุรกิจโดยการติดตั้งดังกล่างนั้นจะมีความลงตัวกับแบตเตอรี่เพื่อให้ตัวบ้านสามารถที่จะผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ด้วยแสงอาทิตย์และจัดเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้ประโยชน์อื่นๆ
สิ่งหนึ่งที่น่าจะเข้ามาสนับสนุนเรื่องดังกล่างนี้ก็คืองานวิจัยของทาง Navigant Research ที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา โดยตัวงานวิจัยนั้นได้บอกเอาไว้ครับว่าในอนาคตนั้นอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาด(แบตเตอรี่ขนาดใหญ่แบบ Li-ion) ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมากในอนาคตและน่าจะกลายมาเป็นระบบจัดเก็บพลังงานหลักของสหรัฐอเมริกาเพื่อใช้ในการป้องกันไฟตก ด้วยสาเหตุที่ว่าหากไม่มีระบบสำรองพลังงานดังกล่าวแล้ว วิธีการผลิตพลังงานไฟฟ้าในตอนนี้ที่ต้องพึ่งทรัพยากรธรรมชาติอย่างน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติที่มีวันหมดไปได้นั้นอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดไฟฟ้าขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้เองแหละครับที่ในปี 2015 ที่ผ่านมานั้นจะเห็นได้ว่าอัตราการขายพลังงานไฟฟ้าจากทาง Tesla ให้กับหน่วยงานต่างๆ นั้นจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับไม่ว่าจะเป็นการขายให้กับรัฐบาลหรือแม้กระทั่ง Tesla ขายให้กับ SolarCity เอง(ซึ่งในท้ายที่สุดทาง Tesla ก็เข้าซื้อ SolarCity ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานสะอาด(แบตเตอรี่ขนาดใหญ่แบบ Li-ion) ที่ติดตั้งตามบ้านเรือนมาเป็นของตัวเองซะเลย แบบนี้จะเรียกว่าธุรกิจเบ็ดเสร็จก็น่าจะได้เหมือนกันครับ)
ตามแผนภาพการใช้แบตเตอรี่ทางด้านบนของ Navigant Research นั้นพบว่าแบตเตอรี่แบบ Li-ion นั้นถูกใช้งานอย่างกว้างขวางมากโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาเหนือและโซนเอเชียแปซิฟิก(ที่ไม่ใช้แบตเตอรี่แบบอื่นเลย) ทำให้ตรงจุดนี้นั้นคาดการณ์ได้ว่าอนาคตของแบตเตอรี่แบบ Li-ion นั้นน่าจะยังไปอีกได้ไกลมากเลยทีเดียวครับ
ว่าแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือในโซนอื่นๆ นั้นเริ่มหันมาเป็นโรงงานไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กันแล้วเพราะนอกจากจะสะอาดแล้วยังสามารถผลิตได้เรื่อยๆ โดยไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง(หรือคุณจะซื้อแสงอาทิตย์หล่ะครับ) สำหรับบ้านเรานั้นเคยมีข่าวเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ออกมาได้สักพักแต่ทว่าก็เงียบหายไป งานนี้ก็คงได้แต่เฝ้ารอหล่ะครับว่าทางผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเรานั้นจะมีแนวคิดอย่างไรก็เรื่องนี้(งานนี้น่าจะได้ Tesla เข้ามาช่วยหน่อยเพราะ Tesla เขามาตั้งโรงงานในบ้างเราแต่ว่าจะช่วยได้มากหรือน้อยนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไปครับ)
ที่มา : computerworld