เปิดตัวไปแล้วอย่างเป็นทางการกับอีกหนึ่งงานเทคโนโลยีที่หลายๆ คนเฝ้ารอคอยของทาง Apple โดยในวันนี้นั้นทาง NotebookSPEC เราก็มีสรุปรวบยอด 13 สิ่งที่ยิ่งใหญ่จากงานวันเปิดตัววันแรกของ WWDC 2016 รวบรวมมาให้เพื่อนๆ ได้รู้กันในบทความเดียวจบว่าจนกว่าจะจบงาน WWDC 2016 นี้ไปและอนาคตของ Apple จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นมาให้ทุกท่านได้พิจารณากันครับ ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าครับว่า 13 สิ่งใหญ่ๆ ที่ได้รับการพูดเปิดตัวเบื้องต้นในงาน WWDC 2016 วันแรกจะมีอะไรและน่าสนใจขนาดไหนกันบ้าง
1. macOS ระบบปฎิบัติการสำหรับเครื่อง Mac รุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นอย่างผู้ช่วยดิจิทัล Siri
อย่างแรกที่ถือได้ว่าเป็นเรื่่องที่เด็ดที่สุดในงาน WWDC 2016 นี้(แต่ก็ไม่ได้เกินไปจากความคาดหมายก่อนหน้านี้ของสื่อ) นั่นก็คือการเปลี่ยนชื่อของระบบปฎิบัติการสำหรับ Mac อย่าง OS X ที่ใช้มายาวนานถึง 15 ปีให้กลายเป็น macOS เพื่อที่จะสื่อถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของอุปกรณ์จากทาง Apple ที่สามารถจะทำการเชื่อมต่อสั่งการข้ามไปมาระหว่างกันได้ไม่ว่าจะเป็น iOS, tvOS หรือ watchOS ผ่านทาง iCloud ครับ(คุ้นๆ ไหมครับว่ากลยุทธ์แบบนี้เคยได้ยินมาจากที่ไหน ไม่ต้องตกใจถ้าคุณจะพบว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่ Microsoft และ Google ใช้มาก่อนหน้านี้แล้วครับ)
นอกจากการเปลี่ยนชื่อระบบปฎิบัติการแล้ว บน macOS รุ่นใหม่นี้ยังจะมาพร้อมกับฟีเจอร์อีกมากมาย(ซึ่งจะได้รับการเปิดเผยต่อไป) โดยฟีเจอร์ที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือการมาถึงของผู้ช่วยดิจิทัลอย่าง Siri ที่ทาง Apple ได้บอกเอาไว้ว่าได้ทำการผนวกเข้ากับแกนหลักของระบบปฎิบัติการเลยทำให้ Siri บน Mac นั้นมีความสามารถที่ค่อนข้างจะมากกว่า Siri บนระบบปฎิบัติการของอุปกรณ์อื่นๆ อยู่พอสมควรครับ
2. Apple Pay เตรียมเปิดใช้งานบนเว็บไซต์ได้แล้วในเร็วๆ นี้
สำหรับคนไทยแล้วฟีเจอร์ใหม่นี้อาจจะไม่ค่อยน่าสนใจมากเท่าไรนัก แต่สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศ US, UK, Canada, Australia และ Singapore(จากนั้นจะตามมาด้วย Switzerland, France และ Hong Kong) น่าจะเป็นฟีเจอร์ที่น่าใช้งานมากเลยทีเดียวครับกับการใช้งาน Apple Pay เพื่อการจ่ายเงินออนไลน์ผ่านเว็ยไซต์ต่างๆ(ผ่านทางเบราว์เซอร์ Safari) ได้แล้ว โดยหลักการทำงานนั้นก็ง่ายๆ ครับไม่มีอะไรยากเลยเพราะตัวเครื่อง Mac ที่มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ macOS ใหม่นั้นจะสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่สามารถใช้ Apple Pay ได้(เช่น iPhone ที่มี TouchID หรือ Apple Watch) แล้วก็ใช้การระบุตัวตนผ่านทางอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านั้นเพื่อทำการจ่ายเงินนี่แหละครับ
3. Apple Watch จะใช้งานได้เร็วมากขึ้นกว่าเดิมและมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาเพียบ
ถึงจะไม่มี Apple Watch เวอร์ชันใหม่ออกมาเปิดตัวในงาน WWDC 2016 นี้ ทว่าด้วยการเปิดตัวของ watchOS 3 ที่เรียกได้ว่าน่าจะได่รับการอัพเดทแบบยกเครื่องมาใหม่ทั้งหมดนั้นน่าจะทำให้ใครหลายๆ คนชอบใจได้ครับ เรื่องแรกสุดเลยที่น่าดีใจมากๆ ก็คือมันมาพร้อมกับการอัพเกรดตัวระบบให้สามารถที่จะทำการรันแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เร็วขึ้นกว่าเดิมได้ถึง 7 เท่าตัวเมื่อเทียบกับระบบปฎิบัติการ watchOS รุ่นก่อนหน้านี้(เนื่องจากว่าใน watchOS 3 นั้นได้ทำการเปลี่ยนรูปแบบการรันแอปพลิเคชันใหม่ให้อยู่ในลักษณะรันอยู่ที่พื้นหลังถึงแม้ว่าเราจะเปลี่ยนแอปพลิเคชันไปใช้แอปอื่นแล้วมันก็จะยังไม่ปิดตัวเองไปทันทีถ้าหน่วยความจำบน Apple Watch ยังคงเหลืออยู่ครับ)
นอกไปจากนั้นแล้ว watchOS 3 ยังมาพร้อมกับวิธีการควบคุมการทำงานแบบใหม่ที่จะเปลี่ยนให้ปุ่มทางด้านข้างของตัวเครื่องสามารถที่จะใช้เพื่อทำการเข้าสู่สิ่งที่เรียกว่า “dock” ซึ่งเจ้า “dock” นี่แหละครับมันจะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะควบคุมการทำงานเพื่อเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ง่ายขึ้นด้วยการเลื่อนไปมาระหว่างแอป แถมด้วยฟีเจอร์จาก iPhone ที่เมื่อผู้ใช้ทำการลากหน้าจอขึ้นจากด้านล่างไปข้างบนแล้วก็จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะเข้าถึงการเลือกโหมด airplane mode หรือ Do Not Disturb ได้อย่างรวดเร็วทันใจกว่าเดิมครับ
อีกฟีเจอร์หนึ่งที่น่าสนใจก็คือฟีเจอร์คีย์บอร์ดรูปแบบใหม่ที่มีชื่อว่า “Scribble” โดยเจ้า “Scribble” จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถตอบโต้กับข้อความต่างๆ บน Apple Watch ได้ง่ายดายกว่าเดิมแทนที่จะต้องใช้วิธีการพิมพ์หรือการสั่งการด้วยเสียงแบบคัดตามคำพูด(ที่ถ้าไม่ใช่เจ้าของภาษาก็อาจจะเจอกับปัญหาสุดหินเข้าให้เหมือนกัน) ด้วยการเปลี่ยนมาเป็นการวาดตัวอักษรต่างๆ บนหน้าจอของ Apple Watch แทนแล้ว watchOS 3 ก็จะแปลงสิ่งที่วาดนั้นให้กลายเป็นตัวอักษรเพื่อทำการตอบสนองต่อข้อความนั้นๆ อีกทีหนึ่งครับ
หมายเหตุ – ณ ตอนนี้คีย์บอร์ดแบบ “Scribble” ยังรองรับการใช้งานแค่ภาษาอังกฤษและภาษาจีนเท่านั้น
สำหรับอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหญ่ๆ สุดท้ายที่น่าสนใจบน watchOS 3 ก็คือ ณ ตอนนี้นั้น watchOS 3 ได้มาพร้อมกับฟีเจอร์การแจ้งขอความช่วยเหลือโดยอัตโนมัติแล้วเพียงแค่คุณกดปุ่มด้านข้างค้างไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งและทำการโทรไปยัง 911 ตัวระบบ watchOS 3 จะทำการส่งสถานที่ ณ เวลานั้นของคุณไปยังหน่วยช่วยเหลือพร้อมกันนั้นก็จะยังส่งข้อมูลทางด้านสุขภาพของคุณไปยังศูนย์ช่วยเหลือเพื่อที่จะได้ทำให้ทีมรักษาพยาบาลสามารถประเมินอาการและทำการรักษาคุณได้อย่างทันท่วงทีครับ
หมายเหตุ – นอกนั้นยังมีการเปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่เกี่ยวกับด้านสุขภาพอย่าง “Breathe” ที่จะช่วยให้คุณสามารถแชร์กิจกรรมทางด้านสุขภาพและกิจกรรมการออกกำลังกายต่างๆ กับเพื่อนๆ ของคุณได้อีกด้วยครับ
4. iOS 10 ที่มาพร้อมความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่
Craig Federighi ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของทาง Apple ได้ออกมากล่าวครับว่าการเปลี่ยนแปลงใน iOS ครั้งนี้นั้นถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็น Music และ Maps ที่ได้รับการดีไซน์ใหม่แบบยกเครื่อง, การแจ้งเตือนแบบใหม่และการขยายบทบาทการใช้งาน 3D Touch ที่โดนคนบ่นว่าไม่ค่อยจะมีประโยชน์มากเท่าไรบน iOS 9 ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า “raise and wake” ซึ่งจะทำให้หน้า lockscreen เปิดขึ้นมาให้คุณเตรียมสำหรับใช้งานทันทีเมื่อมีการยกเครื่องขึ้นมา ฯลฯ
5. Apple News ดีไซน์ใหม่รองรับการสมัครรับข้อมูลเฉพาะที่ต้องการ
ทาง Apple ได้ออกมาประกาศว่า ณ ตอนนี้นั้่น Apple News ได้มีการรับข่าวจากสื่อกว่า 2000 สำนักมาตีพิมพ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วและในแต่ละเดือนนั้นยังมีผู้อ่านข่าวผ่าน Apple News มากกว่า 60 ล้านคนอีกด้วย ดังนั้น Apple จึงให้ความสำคัญกับ Apple News ที่มีอัตราการเติบโตของการใช้งานมากเป็นพิเศษด้วยการปรับดีไซน์รูปแบบใหม่ทั้งหมดในแต่ละส่วนไม่ว่าจะเป็น Top News, Trending และ Sports
ที่เด็ดที่สุดคงหนีไม่พ้นการเพิ่มความฉลาดของตัว Apple News ด้วยการจดจำว่าคุณชอบอ่านข่าวประเภทใดบ้างและทำการแยกส่วนสำหรับแสดงข่าวที่เชื่อว่าคุณจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษเฉพาะออกมาต่างหากทำให้คุณสามารถที่จะอ่านข่าวตามความสนใจของคุณได้ทันทีผ่านทางหน้าจอส่วนแยกเดียวไม่ต้องกดไปมาหลายรอบ นี่ยังไม่รวมไปถึงการแจ้งเตือนเมื่อมีข่าวใหม่ๆ ที่คุณสนใจรวมไปถึงฟีเจอร์ที่ตอนนี้คุณสามารถกำหนดให้แสดงผลข่าวบนหน้าจอ lockscreen ได้แล้วด้วยครับ
6. Apple Music ปรับดีไซน์ใหม่ทั้งหมดให้คุณสามารถเข้าถึงเพลงในแบบที่ต้องการได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
ช่วงแรกของการเปิดบริการ Apple Music นั้นดูเหมือนว่าบริการนี้จะได้เสียงตอบรับไม่ค่อยดีมากสักเท่าไร ซึ่งทาง Apple เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและได้ทำการใช้เวลากว่าปีเก็บเกี่ยวประสบการณ์และเสียงตอบกลับของผู้ใช้งานเพื่อทำการปรับปรุง Apple Music นี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ Apple Music ที่เปลี่ยนไปจนเหมือนกับเป็นคนละแอปพลิเคชันไปเลย แถมยังมีการเพิ่มส่วนของการใช้งานใหม่ลงไปอีกอย่าง “discovery mix” ที่ทาง Apple ได้ร่วมกับ Spotify เพื่อที่จะนำเข้ารายการเพลงที่คุณฟังบ่อยๆ บน Spotify มายัง Apple Music ได้อย่างง่ายดาย อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ผู้ใช้ที่ชอบฟังเพลงเพื่อฝึกภาษาน่าจะชอบมากๆ เลยก็คือตอนนี้ Apple Music สามารถที่จะโชว์เนื้อเพลงของเพลงที่คุณกำลังฟังอยู่ไปด้วยได้แล้วครับ
7. Maps ถูกดีไซน์ใหม่ทั้งหมดโดยคำนึงถึงเรื่องของการใช้งานเพื่อนำทางมากขึ้นกว่าเดิม
Maps เป็นอีกแอปพลิเคชันหนึ่งที่ได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ให้สามารถใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม โดยในครั้งนี้นั้นการดีไซน์ทั้งหมดถูกทำขึ้นภาพใต้การคำนึงถึงเรื่องการใช้งานเพื่อนำทางเป็นหลักและมีการเพิ่มเส้นทางที่มากขึ้นกว่าเดิม นอกไปจากนั้นแล้วผู้ใช้ยังสามารถที่จะทำการจองร้านอาหารที่อยู่บนเส้นทางและทำการจ่ายเงินผ่าน Apple Pay เพื่อเป็นค่าอาหารได้เลยทันทีโดยไม่ต้องไปให้ถึงร้านก่อนก็ได้ด้วย
จุดเด่นที่เหนือกว่าเดิมมากๆ ก็คือการดีไซน์ที่ถูกคำนึงเรื่องของการใช้งาน Maps ผ่านทาง CarPlay ซึ่งตรงนี้นั้นผู้ใช้งานจะสามารถมองเห็นการจราจรตลอดแนวของทางที่ได้ทำการเลือกนำทางไว้ว่ารถติดหรือไม่อย่างไรพร้อมทั้งยังสามารถที่จะสั่งการให้ Maps ปรับเปลี่ยนเส้นทางให้เกิดความเหมาะสมกับความต้องการแบบทันทีทันใดเพื่อการย่นเวลาในการไปถึงที่หมายได้เร็วกว่าเดิมด้วยครับ
8. แอปพลิเคชัน Messages เจ๋งกว่าเดิม
iMessage ถูกปรับโฉมใหม่ให้เก๋ เท่ห์และเจ๋งมากกว่าเดิม(แต่ในความคิดผมแล้วนั้นก็ยังคงตามหลังแอปพลิเคชันลักษณะคล้ายๆ กันอยู่) ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเพิ่ม emoji สำหรับการแสดงผลที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม การสุ่มหา emoji ด้วยคำเฉพาะ ผู้ใช้สามารถที่จะทำการแชร์หลายๆ อย่างให้กันผ่าน Message ได้แล้วไม่ว่าจะเป็นการแชร์เพลงจาก Apple Music, การแชร์ข้อความจากแอปพลิเคชัน Notes รวมไปถึง Message ยังรองรับการเขียนด้วยลายมือแล้วครับ
บน Message เวอร์ชันใหม่นี้นั้นผู้ใช้สามารถที่จะส่งกลุ่มรูปภาพที่เป็น animated effects ไปยังผู้ใช้รายอื่นๆ ได้(ซึ่งแอปพลิเคชันอื่นมีมานานแล้ว) แต่ที่เด็ดจริงๆ คงหนีไม่พ้น Invisible ink! หรือฟีเจอร์การซ่อนข้อความที่ถูกส่งไปและจะแสดงก็ต่อเมื่อผู้ใช้ที่ได้รับข้อความดังกล่าวได้ทำการลากเพื่อดูเท่านั้น(ทว่าตรงจุดนี้ยังไม่แน่ชัดว่า Invisible ink! นั้นจะมีรูปแบบของการลากเพื่อแสดงเฉพาะตัวเพื่อใช้เป็นการซ่อนข้อความเฉพาะเลยหรือไม่ครับ)
9. Photos แอปพลิเคชันจัดการรูปภาพที่หนึ่งเดียวจบ
แอปพลิเคชัน Photos ของทาง Apple ในตอนนี้ก็ได้รับการปรับปรุงด้วยเช่นเดียวกันโดยมันสามารถที่จะช่วยให้คุณทำการจัดการและจัดระเบียบรูปภาพให้เข้าตามกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตามสถานที่ถ่าย, วันที่ถ่าย, รูปของบุคลคลแบบอัตโนมัติ(ด้วยฟีเจอร์การจดจำหน้าตา) ฯลฯ คุณสามารถที่จะใส่ข้อความเพื่อเพิ่มเรื่องราวต่างๆ ไปยังรูปภาพของคุณได้(ซึ่งตรงนี้นั้นยังหมายรวมไปถึงเพลงที่เอาไว้ใช้แสดงความรู้สึกของรูปภาพนั้นๆ ด้วย) เอาเป็นว่าหากจะพูดกันตามตรงแล้ว Photos ของทาง Apple นั้นเริ่มมีฟีเจอร์เข้าใกล้ Google Photos ไปทุกทีแล้วหล่ะครับ
10. iOS 10 จะมาพร้อมกับฟีเจอร์การเปลี่ยน Voicemail ให้กลายเป็นตัวอักษร
ลืมแอปพลิเคชัน Whocall ไปได้เลยครับเพราะบน iOS 10 นั้นคุณจะสามารถทำการจัดการกับเบอร์โทรเข้าที่ไม่ได้การได้เรียบร้อยด้วยตัวเองแล้ว(เป็น API ที่จะคอยเตือนคุณว่าเบอร์ที่โทรเข้าเป็น spam call หรือไม่คล้ายๆ กับการทำงานของแอปพลิเคชัน Whocall) แต่ส่วนที่เด็ดนั้นไม่ได้อยู่ที่การจัดการดังกล่าวครับทว่า iOS 10 จะสามารถทำการฟัง voicemail ที่ทางผู้โทรโทรมาหาคุณแล้วคุณไม่ได้รับแล้วฝากเอาไว้แปลงให้กลายมาเป็นข้อความสำหรับการแสดงผลบนหน้าจอ แน่นอนว่าเรื่องนี้จะทำให้คุณได้รับความสะดวกมากขึ้นหากคุณเข้าประชุมและไม่ว่างรับสายแต่คุณก็ยังสามารถที่จะดูได้ว่าข้อความที่ถูกฝากเอาไว้คือข้อความอะไรครับ
11. tvOS กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทาง Apple ได้บอกเอาไว้ครับว่าในเวลาไม่ถึง 1 ปีได้ดีนั้น tvOS ที่ถูกใช้งานบน Apple TV นั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมากโดย ณ เวลานี้นั้นมันมีช่องสำหรับการดูวีดีโอมากกว่า 1,300 ช่องแล้วและก็ยังมีแอปพลิเคชันที่รองรับ tvOS โดยเฉพาะมากถึง 6,000 แอป แถม Siri บน tvOS เองก็จะมาพร้อมกับฉลาดมากกว่าเดิมในการค้นหาวีดีโอหรือภาพยนตร์ที่คุณต้องการเรียกได้ว่าการสั่งการ Siri ด้วยเสียงผ่านไปยัง tvOS นั้นจะทำให้คุณไม่ต้องใช้รีโมทเพื่อการควบคุมอีกต่อไป(ถ้าคุณสำเนียงดีมากพอนะครับ)
หมายเหตุ – ที่น่ายินดีที่สุดสำหรับผู้ที่ดูคลิปผ่าน YouTube เป็นหลักเลยก็คือ Siri สามารถที่จะทำการค้นหาวีดีโอคลิปผ่านทาง YouTube ให้คุณได้แล้วหล่ะครับ
หมายเหตุ 2 – Apple ได้ทำการเปิดตัวชุดเครื่องมือช่วยเหลือสำหรับนักพัฒนาที่สนใจจะพัฒนาแอปพลิเคชันลง tvOS ใหม่ถึง 2 ชุดด้วยกันคือ ReplayKit ซึ่งชุดนี้นั้นจะถูกใช้ในส่วนของการถ่ายถอดการเล่นเกมหรือบันทึกไว้เพื่อดูภายหลัง กับ HomeKit ที่จะช่วยให้ tvOS กลายเป็นอุปกรณ์สำหรับการควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ในบ้านของคุณทั้งหมดครับ
12. นักพัฒนาแอปพลิเคชันจะสามารถเข้าถึง Siri ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
เรื่องนี้น่าจะเป็นข่าวดีสำหรับนักพัฒนาแอปพลิเคชันครับเนื่องจากว่าทาง Apple จะเปิดเผย API ของ Siri ให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันได้สามารถนำไปใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชันของตัวเองได้แล้ว ตัวอย่างประโยชน์ของแอปพลิเคชันที่ถ้าหากนักพัฒนานำเอา Siri ไปผนวกเข้ากับแอปพลิเคชันของตัวเองก็อย่างเช่นผู้ใช้สามารถสั่ง Siri ให้ทำการจองรถผ่านทาง Uber ให้ได้โดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจออีกต่อไปเป็นต้นครับ
13. การทำนายคำที่พิมพ์ถูกทำให้มีความอัจฉริยะมากขึ้นกว่าเดิม
QuickType เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ Siri นั้นฉลาดมากขึ้นกว่าเดิมในการรับข้อมูลจากการพิมพ์โดยใช้หลักการ deep learning ครับ โดย QuickType นั้นจะช่วยให้ Siri สามารถที่จะทำนายคำ, เรียนรู้คำ ฯลฯ เพื่อการใช้งานในอนาคตได้มากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับทางผู้พัฒนาหล่ะครับว่าจะหยิบความสามารถตรงจุดนี้ไปใช้หรือ ข้อดีของ QuickType ที่ต่างจากทาง Google ก็คือระบบของ QuickType นั้นจะเก็บข้อมูลทั้งหมดจากผู้ใช้หลายๆ คนขึ้นไปสู่ระบบ cloud เพื่อการประมวลผลให้ฉลาดมากยิ่งขึ้นไปอีกแต่ทว่า Google นั้นจะไม่เก็บข้อมูลขึ้น cloud ไปครับ
สรุป
ดูๆ ไปแล้วนั้นส่วนใหญ่การอัพเกรดต่างๆ ที่มีการเปิดตัวออกมานั้นจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้ใช้อย่างเราท่านๆ มากเท่าไรนักแต่จะไปเกี่ยวเนื่องกับนักพัฒนามากกว่า(ตามชื่องานหล่ะครับ) ซึ่งอย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นหากมองเจาะลึกไปที่แต่ละระบบปฎิบัติการนั้นจะเห็นได้ว่ามีการเพิ่มเติมอะไรเข้ามาแค่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแบบยิ่งใหญ่แบบเห็นได้ชัดเจนอย่างไร
ทว่าเมื่อเอาทุกสิ่งทุกอย่างมารวมเข้าด้วยกันแล้วนั้นจะเห็นได้ชัดเจนเลยครับว่า Apple กำลังมีความพยายามที่จะสร้าง ecosystem ของทาง Apple เองอยู่และความสามารถต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาในแต่ละระบบปฎิบัติการแย่างละเล็กละน้อยนั้นก็สามารถที่จะช่วยในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี งานนี้หากเรามองกันแบบตรงๆ แล้วนั้นไม่ว่า Microsoft และ Google หรือแม้แต่กระทั่งบริษัทในประเทศจีนอย่าง Xiaomi หรือ Huawei เองนั้นก็พยายามสร้าง ecosystem ของตัวเองอยู่เหมือนกัน คงต้องรอดูกันหล่ะครับว่าหลังจากนี้ต่อไปแล้วนั้นใครจะกลายเป็นผู้ที่ครองโลกดิจิทัลหล่ะครับ
ที่มา : theverge