หนึ่งในฟีเจอร์ของ iPhone 6s/6s Plus ที่ไม่น่าจะมีใครได้ใช้กันมากเท่าไรก็คือ 3D Touch ครับ อย่างไรก็ตามแต่แล้วด้วยความที่มันเป็นเทคโนโลยีใหม่เลยอาจจะทำให้ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งถึงจะสามารถทำให้นักพัฒนาเริ่มสนใจและพัฒนาแอปพลิเคชันที่รองรับกับฟีเจอร์ดังกล่าวนี้กันออกมามากขึ้น จะว่าไปแล้วหากจะว่ากันจริงๆ แล้วนั้นส่วนหนึ่งที่ 3D Touch ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมมากนักเท่าไรอาจจะเนื่องมากจากว่ามันถูกจัดกัดการใช้งานให้อยู่เฉพาะบน iPhone เท่านั้นหล่ะครับ
ทว่าหลังจากนี้นั้นเรื่องดังกล่าวน่าจะเปลี่ยนไปแล้วครับเมื่อทางนักวิจัยทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ของทาง University of Michigan ได้ออกมาเผยว่าพวกเขานั้นได้ทำการพัฒนาระบบที่คล้ายๆ กับ 3D Touch ออกมาได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกเหนือไปจากนั้นแล้วที่เจ๋งกว่า 3D Touch ก็คือระบบตอบสนองต่อแรงกดของนิ้วมือที่พวกเขาพัฒนาขึ้นนั้นอยู่ในรูปของซอฟต์แวร์ที่ไม่จำเป็นจะต้องมีฮาร์ดแวร์พิเศษเสริมเข้ามาบนสมาร์ทโฟนแต่อย่างใดและซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังสามารถที่จะนำไปใช้งานกับสมาร์ทโฟนในทุกๆ เครื่องได้อีกด้วย ซอฟต์แวร์ดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกว่า “ForcePhone” ครับ
จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้นั้นเราเคยเห็นเทคโนโลยีในลักษณะเดียวกันจากบริษัท Synapse แต่ทว่าจนกระทั่งเกือบ 1 ปีผ่านไปได้ตั้งแต่ที่ทาง Synapse เปิดตัวเทคโนโลยีดังกล่าวออกมานั้นเราก็ยังไม่เคยได้เห็นมีบริษัทใดนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้สักที(มีแต่ข่าวลือที่บอกเอาไว้ว่า Samsung และ Xiaomi สนใจที่อยากจะใช้) เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าทั้งด้านการประยุกต์ใช้งานฮาร์ดแวร์ลักษณะ 3D Touch ให้เข้ากับซอฟต์แวร์อย่างมีประสิทธิภาพนั้นอาจจะทำได้ค่อนข้างยากครับ(เรื่องดังกล่าวนี้ Apple เป็นผู้ออกมาบอกเองด้วยซ้ำไปครับ)
นักวิจัยกลุ่มนี้ใช้เทคนิคกับการตรวจวัดแรงกดของนิ้วที่สัมผัสกับหน้าจอด้วยไมโครโฟนและลำโพงที่มีติดตั้งอยู่บนสมาร์ทโฟนทุกเครื่องแล้วนั่นเองครับ(นั่นเลยกลายเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเทคโนโลยีดังกล่าวจึงสามารถที่จะใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนได้ทุกรุ่น) จากคลิปทางด้านบนนี้ที่แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างการใช้งาน ForcePhone นั้นจะเห็นได้ว่ามันน่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ งานนี้ทางนักวิจัยได้บอกเอาไว้ว่าแอปลพิเคชัน ForcePhone รุ่นทดสอบจะถูดปล่อยออกมาให้ผู้ใช้และนักพัฒนาได้ทำการทดสอบกันในช่วงเดือนมิถุนายนนี้แล้ว คงต้องรอดูกันหล่ะครับว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นจะน่าสนใจและถูกนำมาใช้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
ที่มา : cultofmac