Computex 2016 หรืองานแสดงนวัตกรรม เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็นงานยิ่งใหญ่อันดับ 3 ของโลก ทาง Acer เองที่เป็นแบรนด์ชั้นนำของประเทศนี้ก็เป็นเจ้าบ้านที่ดี และได้ขนโปรดักส์เจ๋งๆ แบบไม่น้อยหน้าใครมาจัดแสดงโชว์มากมายทั้งในส่วนของ โน๊ตบุ๊ค พีซี แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน รวมไปถึงอุปกรณ์สวมใส่ ที่แต่ละโปรดักส์มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งจะมีราย ละเอียดอย่างไรไปดูกันต่อได้เลย
ในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คในงาน Computex 2016 ทาง Acer จะเน้นหนักมาหในกลุ่มของโน๊ตบุ๊ครุ่นล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะดีไซน์ใหม่ที่ดูบางเบาและทันสมัยยิ่งกว่าด้วยสเปกล่าสุด ทั้งในส่วนของ Predator และ Aspire รุ่นต่างๆ ตั้งแต่ขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว, 14 นิ้ว , 15.6 นิ้ว ไปจนถึง 17 นิ้วกันเลยทีเดียว ส่วนสเปคเองก็มาพร้อม Intel Core i Gen 6 พ่วงด้วยการ์ดจออย่าง NVIDIA GT 9xx จัดว่าน่าสนใจทีเดียว
หลายๆคนรู้จักกันดีอย่าง Acer Predator ในฐานะของเกมมิ่งโปรดักส์ แต่ในคราวนี้ Acer ดูจะเอาจริงเอาจังกับเกมมิ่งมากยิ่งขึ้นด้วยการแยกบูธ Predator ออกมาเลย และได้ปล่อยโปรดักส์ที่น่าสนใจออกมาหลายตัวทีเดียว เช่น Predator Gaming PC , Predator Gaming Notebook และ Predator Gaming Projector รุ่นปี 2016 ซึ่งมีการจัดเต็มในการนำเสนอ ด้วยการจำลองการใช้งานจริง การนำอุปกรณ์ VR มาให้สาธิต นอกจากนี้ยังแกะเครื่องกันให้ดูภายนอกอีกด้วย ว่ามีความเจ๋งขนาดไหน
ซึ่งก่อนหน้านี้ในส่วนของ Predator เราคงได้เห็นกันมาบ้างแล้ว ซึ่งรองรับกับเทคโนโลยี NVIDIA GeForce VR-Ready เป็นหลักหมดทุกผลิตภัณฑ์ครับ ดังนั้นแล้วหากจะว่าไปซีรีส์ Predator ที่เปิดตัวมาทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์นั้นน่าจะถูกใจผู้ใช้ที่เป็นแฟนๆ ของข่าย NVIDIA ได้เป็นอย่างดี นอกไปจากนั้นแล้วทาง Acer ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพของตัวผลิตภัณฑ์ให้รองรับการใช้งานร่วมกับระบบปฎิบัติการ Windows 10 ได้เป็นอย่างดี ลองมาดูกันดีกว่าครับว่าโน๊ตบุ๊ค Predator 17 X, คอมพิวเตอร์ PC Desktop Predator G1 (G1-710) และมอนิเตอร์ Predator Z1 จะมีสเปคน่าสนใจแค่ไหน ส่วนของรายละเอียดตามไปอ่านที่นี่ได้เลย
อีกโซนนึงได้ถูกแบ่งออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ Acer ที่นอกเหนือจาก Predator ซึ่งก็ต้องบอกว่ามีอะไรมากมายจริงๆ อีกทั้งตามภาพผู้คนก็ให้ความสนใจกันเยอะทีเดียว
โน๊ตบุ๊คสุดบางรุ่นใหม่อย่าง Aspire S13ที่เน้นการผสมผสานของดีไซน์และประสิทธิภาพพร้อมอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานในเครื่องเดียว ที่ต้องบอกว่าน่าสนใจมากๆ ด้วยหน้าจอขนาด 13 นิ้วใช้ panel แบบ IPS รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ FHD หรือ 1920 x 1080 pixelsโดยจะมีตัวเลือกให้ผู้ใช้เลือกหน้าจอรุ่นที่ไม่รองรับการสัมผัสหรือหน้าจอที่รองรับการสัมผัสแบบ 10 จุด หน่วยประมวลผลสถาปัตยกรรม Skylake ของ Intel รุ่น Core i3, i5 และ i7 โดยจะเป็นซีรีส์ที่ลงท้ายด้วยรหัสตัว U(ประหยัดพลังงงาน) ชิปกราฟิกแบบฝังในหน่วยประมวลผลรุ่น Intel HD Grapics 520 หน่วยความจำ(RAM) แบบ LPDDR3 สูงสุดที่ 8 GB RAMแหล่งเก็บข้อมูลภายในแบบ SSD สูงสุดที่ขนาดความจุ 512 GB
นอกเหนือจากนี้ยังรองรับพอร์ทการเชื่อมต่อ USB 3.0 Type C, USB 3.0 Type A จำนวน 2 พอร์ท, 3.5 mm Headphones, HDMI และ SD Slot รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย Bluetooth 4.0, 802.11ac 2×2 WLAN และ MU-MIMO wireless ด้วยขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 327 x 228 x 14.8 mm และน้ำหนักตัวเครื่อง 1.3 kg สำหรับเครื่องที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบไม่สามารถสัมผัสได้ และ 1.36 kg สำหรับรุ่นที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบสัมผัสได้
ซึ่งด้วยอายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุดที่ 11 ชั่วโมง(สำหรับรุ่นที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบไม่สามารถสัมผัสได้) และ 13 ชั่วโมงสำหรับรุ่นที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบสัมผัสได้ มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows 10 Home โดยตัวเครื่องจะมีวางจำหน่ายด้วยกัน 2 สีคือ Obsidian Black หรือ Pearl White (โดยทั้ง 2 สีจะมีการตัดเส้นดีไซน์ตัวเครื่องให้ดูหรูหราขึ้นด้วยสีทอง)
ส่วนนวัตกรรมที่น่าสนใจในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คอีกส่วนนึงก็จะเป็นในส่วนของ 2-in-1 หรือ Hybrid ที่โดนใจไม่น้อย เพราะมาพร้อมดีไซน์ปรับปรุงใหม่ถึงสองแบบหลักๆ ทั้งทั้งแบบถอดจอได้บน Acer Switch รุ่นต่างๆ หรือแม้แต่แบบพับจอได้บน Acer Aspire R ตัวใหม่ ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์ก็มาพร้อมหน้าตาที่สวยงามหน้าใช้ บนสเปคที่จัดว่าแจ่มไม่แพ้หน้าตา
ตรงนี้ต้องบอกว่าเด่นสะดุดตาจริงๆ กับโน๊ตบุ๊คที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน กับโน๊ตบุ๊คลวดลาย Line Brown และ Kitty ในรุ่น Acer Aspire V13 ที่จัดได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบา แต่สเปกคุ้มค่าในราคาที่ไม่แพง ซึ่งที่เห็นอยู่คือโดดเด่นด้วยลวดลิขสิทธิ์สุดน่ารัก พร้อมด้วยฝาหลังเป็นกระจกที่ดูแตกต่าง อันนี้เชื่อได้ว่าหลายคนคงชอบ แต่ไม่แน่ใจว่าจะเข้าไทยหรือเปล่า
ในกลุ่มของโน๊ตบุ๊ค Aspire Series รุ่นล่าสุดที่ได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับในส่วนของคีย์บอร์ดที่มีเลย์เอาท์ทีดีขึ้นมาก รวมไปถึงในด้านของสีสันที่มาให้เลือกกันถึง 6 สี ในขนาดตั้งแต่ 14 นิ้ว , 15.6 นิ้ว ไปจนถึง 17 นิ้วกันเลยทีเดียว ส่วนสเปคเองก็มาพร้อม Intel Core i รุ่นล่าสุด พ่วงด้วยการ์ดจออย่าง NVIDIA รุ่นใหม่ จัดว่าน่าสนใจทีเดียว ซึ่งตรงนี้จะถูกแบ่งออกเป็นหลายรุ่น หลายสเปก หลายราคา
ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวได้ไม่นานเท่าไรก็พร้อมที่จะวางจำหน่ายแล้วครับกับ Acer Liquid Zest Plus สมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ขนาดของแบตเตอรี่นั้นสูงมากถึง 5,000 mAh ทำให้มันสามารถที่จะใช้งานยาวนานต่อเนื่องได้ถึง 3 วันแบบสบายๆ (ตามคำอ้างอิงของ Acer) โดย Liquid Zest Plus นั้นพึ่งจะเปิดตัวไปในงาน Next@Acer ณ เมืองนิวยอร์กในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาโดย ณ เวลานั้นได้
ราคาต้องบอกว่าไม่แพงนักแต่สเปคของ Acer Liquid Zest Plus นั้นก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใดครับ โดยสเปคของ Liquid Zest Plus มีดังต่อไปนี้ครับ
- หน้าจอขนาด 5.5 นิ้วใช้ panel แบบ IPS LCD รองรับความละเอียดที่ระดับ 720 x 1280 pixels โดยมีความหนาแน่นของจุด pixels อยู่ที่ ~267 PPI
- ชิปเซ็ท Mediatek MT6735 แบบ Quad-core Cortex-A53 ที่ความเร็วสูงสุด 1.3 GHz
- หน่วยความจำ(RAM) ขนาด 2 GB
- ชิปกราฟิก Mali-T720MP2
- แหล่งเก็บข้อมูลภายในขนาด 16 GB สามารถเพิ่มได้ผ่านทาง microSD Card
- กล้องหลังความละเอียด 13 MP พร้อม phase detection/laser autofocus และ LED flash รองรับฟีเจอร์ Geo-tagging, touch focus, face detection, HDR และ panorama โดยสามารถถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p@30FPS
- กล้องหน้าความละเอียด 5 MP
- ระบบเสียง DTS HD sound
- พอร์ทเชื่อมต่อแบบ microUSB 2.0
- แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh ซึ่งผู้ใช้ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้เอง(มีระบบชาร์จเร็วแต่ยังคงไม่ระบุว่าเป็นเทคโนโลยีใด)
- มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Android 6.0 Marshmallow
- วางจำหน่าย 2 สีคือขาวและน้ำเงิน
บูธ Acer ภายในงาน Computex 2016 ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมาย ไปชมกันได้เลย
ปิดท้ายด้วยทาง Acer เองยังได้มีการเปิดตัวมุมมองนวัตกรรมใหม่ที่ถือว่าเป็นการแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ “Internet of Things” ให้ก้าวไกลไปกว่าเดิมด้วยการวิวัฒนาการเป็น “Internet of Beings” หรือเปลี่ยนจากการที่อุปกรณ์ต่างๆ จะติดต่อผ่านอินเตอร์เน็ตเข้าสู่ระบบ Cloud เพื่อทำงานกลายมาเป็นมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ จะกลายมาเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายต่างๆ เหล่านั้นแทนด้วยความที่ทาง Acer เชื่อมั่นว่ามนุษย์เรานั้นมีความฉลาดล้ำลึกมากพอที่จะสามารถทำการควบคุมอุปกรณ์อัจฉริยต่างๆ ให้สามารถเกิดประโยชน์ได้มากที่สุดครับ
เพื่อที่จะทำให้เกิดความสำเร็จตามที่ Acer ได้วางไว้นั้นจะต้องมีส่วนประกอบสำคัญ 3 อย่างที่ทำงานไปพร้อมๆ กันครับ อย่างแรกเลยก็คือ “Things” หรือเจ้าอุปกรณ์ต่างๆ นั้นจะต้องสามารถที่ทำการเชื่อมต่อสื่อสารกับระบบ cloud ได้อย่างน่าเชื่อถือ(ผ่านทางแพลตฟอร์มของทาง Acer เองอย่าง BYOC) รวมไปถึงบริการต่างๆ จะต้องมีความพร้อมให้บริการตลอดเวลา และท้ายที่สุดนั้นก็คือแอปพลิเคชันที่จะเพิ่มขีดความสามารถเพื่อที่จะทำให้มนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ กลายเป็นศูนย์กลางของการสั่งการอุปกรณ์อัจฮริยะทั้งหมดครับ
ตัวอย่างของระบบสมบูรณ์แบบบนแพลตฟอร์ม BYOC ดังกล่าวที่ทาง Acer ได้ยกขึ้นมานั้นมีดังต่อไปนี้ครับ
- abMax01 โมดูล IoT สำหรับรถยนต์แบบใหม่ที่ทาง Acer พัฒนาขึ้นเพื่อที่จะเป็นช่องทางเชื่อมไปสู่ระบบ cloud จากบนรถยนต์ของผู้ใช้งาน โดยโมดูลดังกล่าวนี้จะส่งข้อมูลขึ้นไปยังระบบของทาง Acer เพื่อที่จะทำการประมวลผลต่างๆ แล้วส่งข้อมูลกลับมายังรถยนต์ของผู้ใช้เพื่อที่ว่าผู้ใช้จะสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบายมากที่สุด(ทั้งนี้ระบบฟีเจอร์และความสามารถต่างๆ ของโมดูล abMax01 นั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากโมดูลสำหรับขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติของผู้ผลิตรายอื่นสักเท่าไรครับ)
- ต่อกันที่ CloudProfessor IoT education kit(ซึ่งได้รับรางวัล “Best Mobile Innovation for Education” มาด้วยจากงาน MWC ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา) ซึ่งในครั้งนี้นั้น Acer ได้ออกมาทำการอัพเดทว่า CloudProfessor IoT education kit นั้นสามารถที่จะใช้งานบนระบบปฎิบัติการ Windows 10 ได้เรียบร้อยแล้วแถมมันยังได้ถูกปรับให้เหมาะสมกับนักเรียนนักศึกษามากขึ้นในการใช้งานเพื่อทำการพัฒนาและเขียนแอปพลิเคชันเพื่อที่จะเอามารองรับแพลตฟอร์ม BYOC ของทาง Acer
การประกาศร่วมงานอย่างเป็นทางการของ Acer เพื่อเข้าสู่วงการสร้างภาพสำหรับโลกเสมือนจริง(VR) ของทาง tarbreeze AB และ Acer Inc. ที่มีข่าวออกมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยในบูธของทาง Acer นั้นได้มีการประกาศเอาไว้ว่าทั้ง 2 บริษัทจะพยายามร่วมกันในการพัฒนา StarVR HMD(head mounted displays) ออกมาให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ครับ
ก็ถือได้ว่า Acer เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ใหญ่ที่นำนวัตกรรมต่างๆ มาจัดแสดงภายในงาย Computex 2016 ได้อย่างไม่น่าผิดหวังเลยละครับ ซึ่งโปรดักส์เกือบทั้งหมดที่เพื่อนๆ ได้เห็นข้างต้นนั้นผมรับรองได้เลยว่ากว่า 80% จะเข้ามาขายในไทยอย่างแน่นอน แน่นอนว่าแต่ละตัวก็การันตรีด้วยคุณภาพ ประสิทธิภาพ จากรางวัล Award มากมายตามภาพเลย