สำหรับทุกท่านที่ได้ตามข่าวการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของทาง Apple ในคืนวันที่ 21 มีนาคมหรืองานที่มีชื่อว่า Apple Special Event 2016 กันไปอย่างเป็นทางการแล้วนั้นน่าจะได้พบกับ iPhone SE (หรือตอนแรกลือกันในชื่อ iPhone 5SE) iPhone ขนาดหน้าจอ 4 นิ้วใหม่ล่าสุดของทาง Apple ที่หยิบเอา iPhone 5S มาปัดฝุ่นให้มีสเปคเหมือนกับ iPhone 6S(ที่เรียกว่าปัดฝุ่นก็เพราะดีไซน์ของมันนั้นคล้ายกับ iPhone 5S มากครับ…จริงๆ แล้วถ้ามองชัดๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนดีไซน์ด้วยต่างหากแค่นำลักษณะการเล่นสีของ iPhone 6S บวกกับวัสดุของ iPhone 6 มาใช้เท่านั้น) แถมด้วยราคาเปิดตัวที่บอกได้คำเดียวว่าต่ำกว่าที่คิดไว้คือเริ่มต้นที่ $399 หรือประมาณ 13,920 บาทเท่านั้น(ในรุ่นที่มาพร้อมกับแหล่งเก็ข้อมูลขนาด 16 GB)
หลายๆ ท่านอาจจะถูกใจและรู้ศึกตื่นเต้นกับราคาของ iPhone SE เริ่มต้นที่ถูกกว่าคาดครับ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ Apple สามารถที่จะสร้าง Viral ได้สำเร็จอย่างเป็นทางการแล้ว เหตุผลหนึ่งที่ทาง Apple ได้เปิดราคาเริ่มต้นของ iPhone SE ในระดับที่ต่ำกว่า iPhone 5C(ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็น iPhone รุ่นราคาถูกที่วัสดุเป็นพลาสติกด้วยซ้ำ) นั้นก็เนื่องมาจากว่าด้วยราคาดังกล่าวนี้จะทำให้ Apple มีโอกาสในการเข้ารุกตลาดประเทศจีนและอินเดีย ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีการเติบโตของการจำหน่ายสมาร์ทโฟนค่อนข้างสูงได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม(เหมือนกับที่ Xiaomi เคยทำได้กับตลาดในประเทศอินเดีย) นอกเหนือไปจากนั้นแล้วนี่ยังเป็นการสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่สมาร์ทโฟนฝั่ง Android ไม่เคยทำมาก่อนกับสมาร์ทโฟนขนาดหน้าจอไม่ใหญ่มากแต่สเปคอยู่ในระดับสูงครับ
หมายเหตุ – จริงๆ แล้วสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android นั้นทำมาก่อนแล้วและนานมากแล้วตัวอย่างเช่น Samsung Galaxy S รุ่นแรกที่เป็นเรือธงที่มาพร้อมขนาดจอ 4 นิ้วแต่ ทว่าในปัจจุบันนั้นสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android สเปคในระดับเรือธงจะเน้นไปที่หน้าจอขนาดใหญ่กว่า 5 นิ้วขึ้นไป โดยในปัจจุบันนั้นสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android สเปคดีๆ ในขนาดจอ 4 นิ้วถือว่าหายากแล้วครับ
การตีตลาดด้วยราคาเปิดตัว $399 หรือประมาณ 13,920 บาทนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายครับ(สมัย iPhone 5C Apple ตั้งราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ $549 หรือประมาณ 19,160 บาท) แถมในงานเปิดตัวนั้นทาง Apple ยังได้มีคำพูดกำกวมที่กำกับไว้ตอนการเปิดตัว iPhone SE ซึ่งนั่นก็คือ “let us loop you in”(คำที่อยู่บนสไลด์ก่อนที่จะเข้าสู่การเปิดตัว iPhone SE) ดังนั้นแล้วจึงค่อนข้างจะมีความเป็นไปได้ครับว่า Apple อาจจะกลับมาใช้โมเดลของการจำหน่ายเครื่องด้วยราคาต่ำมาก(หรืออาจจะฟรี) แต่คุณต้องทำสัญญาระยะยาวเป็นเวลา 2 ปีเหมือนเดิมอีกครับ(อย่างในตอน iPhone 5C นั้นก็มีโปรแบบเดียวกันนี้คือราคาจำหน่ายเครื่องเริ่มต้นอยู่ที่ $99 หรือประมาณ 3,455 บาท แต่ผู้ใช้จะติดสัญญายาว 2 ปีและต้องจ่ายเงินในแต่ละเดือนเป็นค่าบริการค่อนข้างแพงครับ)
หมายเหตุ – ในบ้านเรานั้น Apple เคยใช้โมเดลนี้มาแล้วเหมือนกันโดยร่วมกับเครือข่ายผู้ให้บริการ ทว่าใช้ได้เพียงแค่ปีเดียวก็เลิกไปเนื่องจากบ้านเรานั้นเรียกได้ว่าพอเปิดให้เข้าไปรับเครื่องจากที่ต่อคิวยาวๆ กันดีอยู่ก็กลายเป็นม็อบขนาดย่อมครับ) ในปัจจุบันนั้นมี Samsung ที่กล้าใช้โมเดลนี้กับ Galaxy S7 และ S7 Edge ร่วมกับ AIS โดยจ่ายเงินค่าเครื่องก่อน 5,000 บาท แล้วจายรายเดือน 2,xxx บาทเป็นระยะเวลา 1 ปีแถมยังได้สิทธิ์ในการอัพเกรดเป็นเรือธงรุ่นปีหน้าฟรีด้วยแต่ว่าก็ต้องจายรายเดือนในระดับ 2,xxx ต่อไปอีกปีเช่นกันครับ
Touch ID ที่ในตอนแรกข่าวลือบอกว่าจะตัดทิ้งไปปรากฎว่ามีให้ใช้งานด้วย
แผนการของ Apple นั้นถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ เพราภายใต้สถานการณ์ตลาดสมาร์ทโฟนที่เริ่มจะนิ่งๆ ทรงๆ นั้น ดูเหมือน Apple จะรู้ช่องทางในการเพิ่มยอดจำหน่ายของตัวเองได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 2 ตลาดใหญ่อย่างที่กล่าวไปได้แก่จีนและอินเดียที่ยังคงมีกำลังซื้ออยู่และนั่นหมายความว่าใน 2 ตลาดนี้นั้น Apple จะสามารถที่ทำการเพิ่มยอดจำหน่าย iPhone ให้สูงขึ้นได้
ดูได้จากการที่ผู้ที่ทำการพรีเซนต์ในงานอย่าง Greg Joswiak ซึ่งพูดออกมาค่อนข้างที่จะชัดเจนครับว่าตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศจีนนั้นให้ค่ากับสมาร์ทโฟนที่มีขนาดหน้าจอเล็กมากกว่าสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่(ซึ่งเจ้าสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่หรืออย่างซีรีส์ Plus ที่มีขนาดจออยู่ที่ 5.5 นิ้วนั้นทาง Apple เปิดเพื่อที่จะเอาใจตลาดเอเชียในส่วนอื่นๆ และดึงผู้ใช้ที่ชื่อชอบ phablet เป็นหลักครับ)
นอกเหนือไปจากนั้นแล้วสิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรค์ให้ทาง Apple ไม่สามารถที่จะทำการเจาะตลาดจีนและอินเดีย(ซึ่งถือว่าเป็นตลาดใหญ่ในเอเชียเนื่องจากมีจำนวนประชากรมาก) เป็นเพราะว่าใน 2 ประเทศดังกล่าวนั้นผู้บริโภคส่วนใญ่จะเซนซิทีฟกับเรื่องราคาค่อนข้างจะมากเลยทีเดียวครับ อย่างในประเทศจีนที่คุณอาจจะเห็นว่ามีผู้สนใจ iPhone เยอะมาก แต่หากเทียบจำนวนยอดขาย iPhone ต่อประชากรทั้งหมดของประเทศจีนแล้วนั้นถือว่าต่ำมาก ดังนั้นแล้วเรื่องของราคาของ iPhone ในยุคเก่าที่เปิดตัวออกมาค่อนข้างจะสูงนั้นถือว่าเป็นสิ่งกีดขวางที่ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ที่ Apple จะสามารถเจาะตลาดจีนและอินเดียได้ครับ
หมายเหตุ – ถึงแม้ว่ายอดจำหน่ายของ iPhone ในจีนหากจะว่าไปแล้วนั้นก็ไม่ได้ดูด้อยเท่าไร แต่อย่างที่บอกครับว่าเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในจีนนั้น iPhone ของ Apple มียอดจำหน่ายน้อยมาก แถมส่วนใหญ่แล้ว iPhone มักจะจำหน่ายได้เฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เท่านั้นเช่นปักกิ่งหรือฮ่องกงซึ่งเป็นเมืองที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ตรงจุดนี้นั้นไม่ได้ต่างอะไรกับในประเทศอินเดียเลยหล่ะครับ
ณ จุดๆ นี้นั้น iPhone SE ถือว่าเป็นการแสดงถึงความประนีประนอมมากที่สุดที่ทาง Apple ส่งออกมาเพื่อที่จะบุกตลาดผู้บริโภคที่ต้องการ iPhone ในราคาถูกหล่ะด้วยสเปคระดับเรือธงหล่ะครับ iPhone SE นั้นค่อนข้างจะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากเรือธงจริงๆ ในปัจจุบันอย่าง iPhone 6S / 6S Plus อย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ทาง Apple เลือกใช้วัสดุแบบเดียวกับ iPhone 6/6 Plus, การตัดฟีเจอร์ 3D Touch ออกไป, การยังคงใช้หน้าจอรุ่นเดียวกับ iPhone 5S และเหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือราคาที่ในรอบนี้นั้น iPhone SE แตกต่างอย่างชัดเจนจาก iPhone 6S / 6S Plus ครับ(มีความเป็นไปได้ด้วยนะครับว่าไม่แน่ Apple อาจจะออก iPhone SE รุ่นที่มาพร้อมกับแหล่งเก็บข้อมูลขนาด 8 GB ออกมาด้วย)
Apple ในปัจจุบันนั้นถือว่าเปลี่ยนไปพอสมควรครับ(จริงๆ แล้วก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนที่ Steve Jobs จากไปแล้ว Tim Cook ขึ้นมาเป็น CEO แทนหล่ะครับ) โดยจากที่ในอดีตที่ผ่านมานั้นจะเห็นได้ว่า Apple มีแนวทางในการปล่อยผลิตภัณฑ์อย่าง iPhone หรือ iPad ออกมาปีละรุ่นและมีเพียงรุ่นเดียวเท่านั้นให้เลือกซื้อ ในปัจจุบันนั้น Apple ค่อนข้างจะเอาใจผู้บริโภคมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรุ่นให้หลายหลาย เพิ่มตัวเลือกให้ผู้ใช้ได้สามารถทำการเลือกซื้ออุปกรณ์ของ Apple ได้มากขึ้น ทว่าสิ่งหนึ่งที่ Apple ยังคงความเหมือนเดิมไว้ก็คือการปล่อยผลิตภัณฑ์แบบปีต่อปีที่มีดีไซน์เหมือนเดิมแค่แค่อัพเกรดสเปค ซึ่งแน่นแนหล่ะครับว่าเรื่องดังกล่าวทำให้ Apple ดูกลายเป็นบริษัทที่ทำให้สมาร์ทโฟนระดับเรือธงมีราคาถูกลงด้วยดีไซน์ของมันเอง
การเดินเกมครั้งนี้ของ Apple จะถูกหรือผิดนั้นก็คงต้องคอยดูกันต่อไปหล่ะครับ ทว่าในปี 2015 ที่ผ่านมานั้น Apple ยังคงสามารถที่จะจำหน่าย iPhone ที่ขนาดจอ 4 นิ้วได้สูงถึง 30 ล้านเครื่องซึ่งด้วยปริมาณยอดขายที่น่าพอใจขนาดนี้นั้นทำให้เป็นเรื่องที่ไม่แปลกเลยครับหาก Apple จะยังคงจำหน่าย iPhone ขนาดจอ 4 นิ้วอยู่ต่อไป สิ่งที่ Apple ต้องการนั้นก็มีเพียงแค่การหยิบเอา iPhone ขนาดจอ 4 นิ้วเก่า(หรือ iPhone 5S นั่นแหละครับ) มาทำการปัดฝุ่นให้ใหม่ขึ้นเพื่อที่จะดึงดูดใจผู้บริโภคมากขึ้นนั่นเองครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ Apple (อาจจะ)ทำให้สำเร็จขึ้นมาได้อย่างจริงจังพร้อมๆ กับการเปิดตัว iPhone SE นี้ก็คือการเพิ่มยอกผู้ใช้งานบริการ Apple Pay ให้มากขึ้นกว่าเดิมเพราะใน iPhone 5S นั้นไม่รองรับบริการดังกล่าวนี้ ดังนั้นแล้วก็พูดได้อย่างเต็มปากหล่ะครับว่า iPhone รุ่นใหม่ทั้งหมดในตลาดนั้นจะรองรับกับการใช้บริการ Apple Pay อย่างเป็นทางการ ทำให้ในจุดนี้นั้นนอกจากจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับ iPhone SE ได้แล้ว(นอกเหนือไปจากเรื่องของสเปค) Apple ยังสามารถที่จะเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ Apple Pay ได้อีกด้วยต่างหาก ทว่าเรื่องนี้ก็ต้องรอดูกันต่อไปนะครับว่า iPhone SE จะช่วยให้ Apple สมหวังในเรื่องยอดจำหน่ายหรือไม่
หมายเหตุ – ช่วงนี้ทาง AIS และ DTAC เริ่มโฆษณาว่าเตรียมพบกับ iPhone SE ได้ในเร็วๆ นี้ รวมไปถึง Apple Store Online ของไทยเองนั้นก็มีรายละเอียดของ iPhone SE ขึ้นแล้ว ถึงประเทศไทยจะไม่ใช่ประเทศในกลุ่มแรกที่มีการจำหน่าย iPhone SE อย่างเป็นทางการแต่คาดว่าในกลุ่มที่ 2 นั้นต้องมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วยแน่ๆ ครับ ดังนั้นท่านใดที่สนใจ iPhone SE ก็รอกันนิดนะครับ(ข่าวแว่วๆ มาว่าน่าจะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมนี้ครับ)
ที่มา : theverge