ข่าวนี้ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มองแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD(solid-state drives) อยู่ก็ว่าได้ครับ เพราะในช่วงหลังมานี้นั้นราคาของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD นั้นตกลงเรื่อยๆ ซึ่ง ณ เวลาปัจจุบันนี้ราคาของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD นั้นลดลงจากเดิมเพิ่มอีกถึง 12% แล้วเมื่อดูข้อมูลจากในไตรมาสที่ 4 ของปี 2015 ที่ผ่านจนถึงในช่วงปัจจุบันนี้ทำให้ราคาจำหน่ายของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD นั้นใกล้เคียงกับ HDD หรือฮาร์ดดิสแบบจานหมุนเข้ามาเรื่อยๆ แล้วครับ
Samsung TLC SSD
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2016 นี้นั้นราคาของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ใช้มาตรฐานแบบ MLC-based และ TLC-based นั้นลดลงเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด โดยแหล่งเก็บข้อมูล SSD ที่ใช้มาตรฐาน MLC-based นั้นมีราคาลดลงถึง 10% – 12% ส่วนแหล่งเก็บข้อมูล SSD ที่ใช้มาตรฐาน TLC-based นั้นมีราคาลดลงถึง 7% – 12%(อ้างอิงข้อมูลจากทาง DRAMeXchange ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของบริษัทสำรวจตลาดชื่อดังอย่าง TrendForce ครับ) ตามข้อมูลนั้นระบุไว้ครับว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ความจุ 128 GB นั้นมีวางจำหน่ายอยู่ในช่วงราคา $38 – $49 หรือประมาณ 1,370 – 1,770 บาท(อ้างอิงจาก Amazon) ส่วนแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ความจุ 250 GB นั้นมีวางจำหน่ายอยู่ในช่วงราคา $52 – $81 หรือประมาณ 1,870 – 2,920 บาท(อ้างอิงจาก Amazon) ครับ
เมื่อเทียบกับในเดือนมิถุนายนของปี 2015 ที่ผ่านมานั้นแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ความจุ 128 GB นั้นมีวางจำหน่ายอยู่ในช่วงราคาเฉลี่ย $91.55 หรือประมาณ 3,300 บาท ส่วนแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ความจุ 240 GB – 256 GB นั้นมีวางจำหน่ายอยู่ในช่วงราคาเฉลี่ย $165.34 หรือประมาณ 5,955 บาท หากอ้างอิงข้อมูลจากทาง DRAMeXchange ที่เก็บข้อมูลมาโดยตลอด(ตามภาพที่แสดงด้านบน) นั้นคุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยครับว่าตั้งแต่ในปี 2012 เป็นต้นมานั้นราคาของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ความจุ 128 GB มีราคาลดลงมาโดยตลอดจน ณ เวลาปัจจุบันนี้ราคาของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ความจุ 128 GB เท่ากันกับแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ความจุ 500 GB แล้วครับ
จากการวิเคราะห์ของทาง DRAMeXchange นั้นจะเห็นได้ครับว่าราคาของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ความจุ 128 GB ลดลงมาเท่ากับแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ความจุ 500 GB ในช่วงเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น ซึ่งทำให้ในตลาดจริงๆ แล้วในช่วงปีนี้นั้นราคาของหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ความจุ 128 GB กับแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ความจุ 500 GB ห่างกันเพียงประมาณ $3 หรือประมาณ 110 บาทและสำหรับราคาของหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ความจุ 256 GB กับแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ความจุ 1 TB ห่างกันเพียงประมาณ $7 หรือประมาณ 252 บาทเท่านั้น ซึ่งดูแล้วถึงราคาของแหล้งเก็บข้อมูลแบบ SSD จะยังแพงกว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD แต่ว่าส่วนต่างของราคานั้นก็ลดลงมาเรื่อยๆ จนอยู่ที่ประมาณ 4 เท่าตัวเท่านั้น(หากคิดที่ขนาดความจุเท่ากัน)
จุดที่คุ้มที่สุดของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ในปัจจุบันอยู่ที่ไหน
ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์นั้นระบุเอาไว้ครับว่าตลาดแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ในปัจุบันที่ความจุช่วงระหว่าง 250 GB – 500 GB นั้นน่าจะมียอดส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้นเนื่องจากความต้องการของผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2016 – 2022 นี้ และด้วยเหตุผลที่ว่าราคาของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาตรฐาน TLC (triple-level cell) นั้นจะไม่ลดลงมากเท่ากับราคาที่ลดลงของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาตรฐาน MLC (multi-level cell) เนื่องจากว่าทางผู้ผลิตแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD หลายๆ เจ้านั้นพึ่งจะส่งแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาตรฐาน TLC ลงตลาดได้ไม่นานมากเท่าไรนักทำให้ราคาของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาตรฐาน TLC น่าจะยังสูงกว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาตรฐาน MLC อยู่สักหน่อยครับ(ยกเว้นทาง Samsung ครับ)
หมายเหตุ – แหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาตรฐาน TLC นั้นจะใช้หลักการในการเก็บข้อมูลขนาด bit จำนวน 3 bits ต่อ 1 NAND flash cell ในทางกลับกันแล้วแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาตรฐาน MLC นั้นจะใช้หลักการในการเก็บข้อมูลขนาด bit จำนวน 2 bits ต่อ 1 NAND flash cell
อ้างอิงจากทาง DRAMeXchange นั้นจะพบว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD นั้นจะนิยมนำมาใช้งานบนโน๊ตบุ๊คมากขึ้นในช่วงปี 2016 นี้โดยคิดแล้วมากถึง 30% เลยทีเดียวครับ เมื่อรวมตลาดคอมพิวเตอร์ PC ทั้งหมดนั้นก็มีการคาดการณ์เอาไว้ว่าจะมีการใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD เติบโตขึ้นถึง 9.5% ภายในปี 2022 นี้โดยมูลค่าของตลาดจาก $13.29 billion หรือประมาณ 4.785 แสนล้านบาทไปเป็น $25.3 billion หรือประมาณ 9.108 แสนล้านบาท(อ้างอิงข้อมูลจากทาง MarketandMarket ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจตลาดภายในอินเดียครับ)
ทาง MarketandMarket ได้วิเคราะห์ปัจจัยใหญ่ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ไว้ได้แก่การแพร่หลายของบริการประเภท cloud computing, ประสิทธิภาพโดยรวมระหว่าง SSD กับ HDD ที่เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน, จำนวนของ data centers ที่เพิ่มมากขึ้นและการเติบโตของขนาดข้อมูลของแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์ที่นับวันนั้นจะมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ
Intel ถึงขั้นเปลี่ยนโรงงานผลิตใน ต้าเหลียนประเทศจีนสำหรับการผลิตชิป 3D NAND flash โดยเฉพาะ
อินเตอร์เฟซแบบ SATA จะอยู่อีกนานแค่ไหน
เป็นที่รู้กันมาอย่างเนิ่นนานครับว่าอินเตอร์เฟซ SATA นั้นถูกพัฒนาและนำมาใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ PC ตั้งแต่ในปี 2003 ที่ผ่านมาแล้ว โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นอินเตอร์เฟซแบบ SATA ก็ได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึง SATA 3.0 หรือ SATA 6 Gb (6 Gbit/s หรือ 600 MB/s) ในปี 2008 และเริ่มใช้งานตั้งแต่ในปี 2009 จนแพร่หลายกระทั่งในปัจจุบันและถือว่ายังคงเป็นมาตรฐานที่มีใช้อยู่นั้นดูๆ ไปแล้วก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ ทว่าในความเป็นจริงแล้วเจ้าอินเตอร์เฟซแบบ SATA 3.0 นั้นเริ่มไม่รองรับกับความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ในปัจจุบันนั้นนับวันจะยิ่งเร็วขึ้นเรื่องๆ ครับ
ถึงแม้ว่าอินเตอร์เฟซแบบ SATA นั้นจะมีการพัฒนาเวอร์ชัน 3.1 และ 3.2 (ที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ 16 Gbit/s หรือ 1969 MB/s) ออกมาตามลำดับในช่วงปี 2013 แต่ในความเป็นจริงนั้นรูปแบบของช่องทางที่ SATA เวอร์ชันใหม่ใช้ในการโอนถ่ายข้อมูลนั้นได้เปลี่ยนไปใช้แบนด์วิดธ์จาก SATA และ PCI Express buses รวมกันครับ ซึ่งรูปแบบการใช้งานแบบนี้นั้นก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่ครับ
กระทั่งเมื่อทาง Apple ได้ใช้การเชื่อมต่อแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD เข้ากับอินเตอร์เฟซ PCIe เพียงอย่างเดียวทำให้เราสามารถที่จะนำเอาส่วนของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ Flash(ซึ่งเป็นส่วนประกอบในแหล่งเก็บข้อมูล SDD อีกที) เชื่อมเข้ากับเมนบอร์ดได้โดยตรงและทำให้พบว่าประสิทธิภาพในการโอนถ่ายข้อมูลนั้นเร็วกว่าเดิม, ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในส่วนการอ่านข้อมูลลดน้อยลง ฯลฯ เรียกได้ว่าดีกว่าการเชื่อมต่อแบบเดิมๆ ทำให้ในปัจจุบันนั้นแฟล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD หันมาใช้อินเตอร์เฟซ PCIe กันมากขึ้นทว่าข้อเสียที่สุดของมันก็คือราคาของแหล่งเก็บข้อมูล SSD ที่มาพร้อมกับอินเตอร์เฟซ PCIe นี้ยังโหดมากอยู่ครับ(แต่ความต้องการในการใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ใช้อินเตอร์เฟซ PCIe ทั้งในส่วนของผู้บริโภคทั่วไปและองค์กรก็มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
3D NAND chip stacks 48-layers แบบใหม่ของทาง Micron
อ้างอิงจากทาง TrendForce นั้นทาง Samsung ได้มีการครอบงำตลาด SSD อย่างต่อเนื่องและจะยังคงเป็นต่อในปีนี้ด้วยการเป็นผู้จัดจำหน่ายแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD มาตรฐาน TCL ที่ใช้ 3D-NAND flash เป็นรายแรกๆ ของโลก(และผลิตเองพร้อมจำหน่าย 3D-NAND flash ให้ผู้ผลิตรายอื่นเอาไปใช้งานด้วยต่างหาก) โดยในตอนนี้นั้นแหล่งเก็บข้อมูล SSD ส่วนมากของทาง Samsung จะใช้ Flash แบบ V-NAND stacks silicon cells สูงถึง 48-layers เพื่อเป็นการเพิ่มขนาดความจุของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ให้มากขึ้นไปอีกในขณะที่สามารถลดต้นทุนได้มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
หมายเหตุ – ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นทาง Samsung ได้ประกาศข้อมูลเรื่องการจัดส่งแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ความจุมหาศาลที่มากถึง 15.36 TB ในชื่อรุ่น PM1633a ใช้อินเตอร์เฟซแบบ Serial Attached SCSI (SAS) ซึ่งนิยมใช้กันในระดับองค์กรณ์มากกว่าโดยความเร็วในการอ่านข้อมูลนั้นสูงถึง 12 Gb/s หรือประมาณ 1,500 MB/s และใช้เทคโนโลยีหน่วยเก็บข้อมูลแบบ V-NAND TLC flash memory ครับ(ทาง Samsung บอกว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD รุ่น PM1633a นี้สามารถที่จะทำการเขียนและอ่านข้อมูลแบบลำดับได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 1,200 MB/s)
สำหรับผู้ผลิตแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD รายอื่นในตลาดเช่น anDisk, Liteon, Toshiba และ SK Hynix นั้นพยายามที่จะใช้กระบวนการผลิต TLC SSD ที่ขนาดกระบวนการผลิตระดับ 15 nm และ 16 nm ในการเร่งตาม Samsung ให้ทัน กระทั่งบางบริษัทเองนั้นก็ได้มีการพัฒนา 3D NAND ของตัวเองขึ้นมาด้วยอีกต่างหาก(อย่างเช่น Micron) แต่ทว่าในปัจจุบันนี้ก็มีเพียงแค่ Samsung เพียงรายเดียวเท่านั้นครับที่สามารถจะทำการผลิต 3D NAND เพื่อออกวางจำหน่ายและส่งให้ผู้ผลิตรายอื่นไปใช้งานได้ ทั้งนี้ทาง TrendForce ได้คาดเดาเอาไว้ครับว่าผู้ผลิตรายอื่นๆ นั้นคงจะยังไม่ส่งแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่ใช้ 3D NAND ออกมาแข่งกับทาง Samsung จนกระทั่งจะถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2016 นี้(อย่างเร็วที่สุดนะครับ)
สรุป
ดังนั้นหากถามว่าในปัจจุบันนี้แหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD นั้นมีราคาเหมาะสมแล้วรึยังที่จะทำการซื้อมาใช้งาน บอกได้เลยครับว่าถ้าคุณอยากได้แหล่งเก็บข้อมูลสำหรับรันระบบปฎิบัติการและแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์เร็วๆ แล้วหล่ะก็ ในปัจจุบันนี้แหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ที่มาพร้อมกับความจุ 128 GB ถึง 256 GB นั้นมีราคาอยู่ในระดับที่รับได้(ไม่แพงจนเกินไป) ในขณะที่ความเร็วในการใช้งานที่คุณจะได้รับจากการใช้แหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD นั้นจะแตกต่างไปจากแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ที่เป็นแบบจานแม่เหล็กหมุนเป็นอย่างมาก แต่ถ้าคุณมองความจุที่ระดับสูงกว่านี้อย่างเช่น 320 GB ขึ้นไปแล้วหล่ะก็ตอนนี้ดูท่าจะยังไม่เหมาะกับการลงทุนมากเท่าไรครับ