ผ่านไปแล้วกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของทาง Samsung ประจำปี 2016 ที่ยังคงสไตล์เดิมคือมา 2 รูปแบบดีไซน์ในชื่อ Galaxy S7 ที่มีหน้าจอแบนและ Galaxy S7 Edge ที่มีหน้าจอแบบพับโค้ง 2 ด้านซึ่งไม่เหมือนใคร โดยหลังจากที่มีการเปิดตัวไปแล้วนั้นทาง Samsung ก็ได้มีการจัดให้สื่อหลายๆ สำนักได้ทำการทดสอบเครื่องตัวจริงแบบถึงพริกถึงขิงกันด้วยอีกต่างหาก สำหรับในวันนี้นั้นทาง NBS ได้เลือกบทความการพรีวิวของ Dan Seifert สื่อของทาง The Verge ที่เขียนเกี่ยวกับ Samsung Galaxy S7 และ S7 Edge ได้ไว้อย่างดีเลยทีเดียวจะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลยครับ
ในปี 2015 ที่ผ่านมานั้น Samsung พยายามทำการพิสูจน์ในสิ่งที่ลูกค้าเรียกร้องมาตลอดซึ่งนั่นก็คือสมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่มีคุณภาพวัสดุในระดับพรีเมียมสมราคาจริงๆ พร้อมกับดีไซน์ที่ดูแล้วแตกต่างไปจากเดิม โดยทั้ง 2 สิ่งนี้นั้นทาง Apple และ HTC เคยทำมาก่อนได้แล้วหลายปีมาก ซึ่งพูดกันตรงๆ แล้วหล่ะก็กับ Galaxy S6 และ S6 Edge ในปีที่ผ่านมานั้นทาง Samsung ถือว่าสามารถพิสูจน์เรื่องของการออกแบบดีไซน์และการใช้วัสดุได้เป็นอย่างดีและถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ดูดีที่สุดเท่าที่ Samsung เคยออกแบบมาก็ว่าได้ครับ(โดยเฉพาะกับ S6 Edge ที่ค่อนข้างจะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง)
อย่างไรก็ตามแต่แล้ว Galaxy S6 และ S6 Edge ที่ได้มีการปรับปรุงเรื่องดีไซน์และวัสดุเป็นระดับพรีเมียมได้อย่างลงตัวนั้นกลับมาพร้อมกับข้อบกพร่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่น่าให้อภัยครับ ไม่ว่าจะเป็นราคาที่สูงมากขึ้นกว่าเรือธงในรุ่นก่อนๆ เป็นอย่างมาก, ความสามารถในการเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลแบบสามารถย้ายได้หายไป, ความสามารถในการกันน้ำที่เคยมีบน S5 ก็หายไปแถมที่หนักที่สุดก็คือการที่แบตเตอรี่มีความจุน้อยแถมยังไม่สามารถที่จะทำการเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองได้ด้วยนั้นทำให้นักรีวิวหลายๆ คนรวมไปถึงแฟนๆ Samsung ได้แต่หันหลังให้กับ Galaxy S6 และ S6 Edge ครับ
ในปี 2016 นี้นั้นตามที่ทุกท่านได้เห็นจากการเปิดตัวไปแล้วนั้นคงไม่มีใครปฎิเสธเรื่องหนึ่งครับว่าดีไซน์ของ S7 และ S7 Edge สมาร์ทโฟนระดับเรือธงของปีนี้นั้นยังคงใช้ดีไซน์แบบเดียวกันกับของเดิม แต่ในดีไซน์และวัสดุพรีเมียมแบบเดิมนั้นทาง Samsung ได้จัดการกับข้อเสียของรุ่นเดิมไปอย่างงดงามพร้อมทั้งปรับปรุงในส่วนต่างๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นหากว่ากันตามตรงแล้ว Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นถือได้ว่าเป็นสมาร์ทโฟนระดับเรือธงที่ดีที่สุดเท่าที่ Samsung เคยผลิตออกมาก็ว่าได้ครับ
หมายเหตุ – ขึ้นกับมุมมองของผู้ที่ได้จับและพรีวิวครับ
ในส่วนของดีไซน์นั้นถึงแม้ว่าจะมองจากภายนอกแล้วไม่ได้แตกต่างไปจาก S6 และ S6 Edge มากเท่าไรนัก แต่ถ้าได้จับแล้วคุณจะสามารถรับรู้ได้ทันทีว่ามันมีการพัฒนาขึ้นมาจากในส่วนของเดิมอยู่โดยที่ S7 และ S7 Edge นั้นสามารถที่จะจับได้สบายมือมากขึ้นกว่าเดิม, หยิบขึ้นมาจากโต๊ะที่วางเอาไว้ง่ายขึ้นกว่าเดิม, ปุ่มสแกนลายนิ้วมือที่ราบเรียบกว่าเดิมและที่เด็ดสุดๆ คงหนีไม่พ้นเรื่องของตัวกล้องที่ในตอนนี้นั้นได้แบนราบติดไปกับตัวเครื่องดูสวยงามไม่ได้นูนออกมาแล้วครับ
Galaxy S7 นั้นยังคงมาพร้อมกับหน้าจอขนาดมาตรฐานเท่ากับ Galaxy S6 คืออยู่ที่ 5.1 นิ้วใช้หน้า panel แบบ Super AMOLED รองรับความละเอียดที่ระดับ Quad HD เช่นเดิม ส่วน Galaxy S7 Edge นั้นมีการพัฒนาอัพเดทปรับปรุงขึ้นจากเดิมโดยได้มีการใช้ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นไปอยู่ที่ 5.5 นิ้วโดยที่สเปคของหน้าจอในส่วนอื่นนั้นจะไม่ได้ต่างไปจาก Galaxy S7 เลย ทว่าด้วยความที่ S7 Edge นั้นมีหน้าจอแบบพับโค้งซึ่งเป็นแบบฉบับที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครแล้ว(นอกจากของก๊อปนะครับ) ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นมาอยู่ที่ 5.5 นิ้วนั้นทำให้ Galaxy S7 Edge ดูลงตัวเป็นอย่างมากเวลาเทียบกันแบบจะๆ กับสมาร์ทโฟนที่มีขนาดหน้าจอเท่ากันอย่างเช่น iPhone 6S Plus แถมตัวขนาดของเครื่องโดยรวมทั้งหมดนั้นยังดูเล็กกว่าพอควรด้วยอีกต่างหากครับ
ปัญหาของสมาร์ทโฟนที่มีหน้าจอใหญ่กว่า 5.5 นิ้วขึ้นไปในปัจจุบัน(ซึ่งจริงๆ แล้วมีมาตั้งแต่ในอดีต) นั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของขนาดตัวเครื่องที่ถือใช้งานหนึ่งมือไม่ได้สะดวกเท่าไรนักในมือเดียวครับ ซึ่งตรงจุดนี้นั้น Galaxy S7 Edge นั้นๆม่มีปัญหาดังกล่าวอีกต่อไปแล้วอาจจะด้วยความที่มันมาพร้อมกับหน้าจอแบบพับโค้งลงทั้ง 2 ด้านทำให้เข้ากับรูปมือและใช้งานสะดวกมากขึ้นด้วยฟีเจอร์ Edge ที่ทาง Samsung เพิ่มเข้ามาซึ่งใน Galaxy S7 Edge นั้นในส่วนของซอฟต์แวร์ Edge ก็ได้รับการแก้ไขปรับปรุงให้ใช้งานได้ดีขึ้นและน่าใช้มากขึ้นเป็นกองครับ
โดยรวมแล้ว Galaxy S7 Edge นั้นให้ความรู้สึกถือกระชับมือใช้งานได้ในมือเดียวและดูสวยงามมีระดับเหมาะสมกับคำว่าสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่ดูดีและวัสดุที่อยู่ในระดับพรีเมียมได้สักทีครับ
ความเปลี่ยนแปลงภายในของทั้ง Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นจะเหมือนกันทั้งคู่ ส่วนที่ต่างกันจะมีก็แต่ในส่วนของแบตเตอรี่(ซึ่งยังคงไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้เองทั้งคู่เนื่องจากรูปแบบการออกแบบของตัวเครื่องที่ใช้วสุดเป็นตัวเดียวทั้งบอดี้) ที่ S7 นั้นจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh ส่วน Galaxy S7 Edge จะมีขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่กว่าคือ 3,600 mAh ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากว่า Galaxy S7 Edge นั้นมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าทำให้พื้นที่เหลือในตัวเครื่องมากกว่าจนสามารถมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ได้นั่นเองครับ
ในส่วนของสเปคอื่นๆ ที่ไม่ได้แตกต่างกันในสมาร์ทโฟนทั้งคู่นั้นก็เป็นสเปคที่ถือว่าอยู่ในระดับบน ในปี 2016 นี้นั้น Samsung เลือกที่จะใช้ชิปเซ็ตของตัวเองกับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงอีกครั้งด้วย Exynos 8890 สำหรับรุ่นที่วางข่ายทั่วโลกและเลือกใช้ชิปเซ็ตที่แตกต่างกันอย่าง Qualcomm Snapdragon 820 กับเครื่องที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเหนือ ซึ่งตรงจุดนี้นั้นเท่าที่มีข้อมูลหลุดมาจากสื้อหลายๆ สำนักต่างบอกว่า รุ่น Exynos มีประสิทธิภาพที่สูงกว่า Snapdragon 820 พอสมควรแต่สำหรับการใช้งานจริงนั้นเรายังไม่สามารถแน่นอนได้ว่าจะต่างกันมากน้อยแค่ไหน(สาเหตุหลักเลยที่ทาง Samsung เลือกเครื่องที่ต่างกันแบบนี้น่าจะมาการชิปโมเด็มที่ฝังอยู่บนชิปเซ็ททั้ง 2 รุ่นรองรับเครือข่าย 4G LTE ที่แตกต่างกันครับ)
หมายเหตุ – ตรงส่วนนี้นั้นตามความคิดของผู้แปลพรีวิวนี้คาดว่าน่าจะมีเรื่องของชื่อเสียงของชิปเซ็ตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพราะโดยส่วนใหญ่แล้วสมาร์ทโฟนระดับบนที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเหนือจะใช้ชิปของทาง Qualcomm มากกว่าครับ
ในขณะที่ Galaxy S6 และ S6 Edge ได้ตัดเอาความสามารถในการเพิ่มแปล่งเก็บข้อมูลแบบภายนอกอย่าง MicroSD Card ออกไปแล้วใช้วิธีวางจำหน่ายตัวเครื่องที่มาพร้อมกับแหล่งเก็บข้อมูลภายในแบบหลายๆ ความจุแทน(เหมือนอย่างที่ Apple ทำ) นั้นทำให้ Galaxy S6 และ S6 Edge โดนด่าเป็นอย่างมากถึงการทอ้งจุดเด่นของตัวเองไปครับ โชคดีที่ Samsung รับเอาคำวิจารณ์ของทางผู้บริโภคมาปรับปรุงกับ Galaxy S7 และ S7 Edge แล้วทำให้ทั้งคู่นั้นสามารถที่จะทำการเพิ่ม MicroSD Card เข้าไปได้เหมือนเดิมแล้วโดยใช้วิธีการวาง MicroSD Card ร่วมไปกับถาด SIM ครับ
ไม่รู้ว่าจะเป็นข้อเสียรึเปล่านะครับ เพราะหลังจากที่ทาง Samsung ได้นำเอาความสามารถในการเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลแบบ microSD Card กลับเข้ามาใน Galaxy S7 และ S7 Edge แล้ว ปรากฎว่าทาง Samsung ได้ทำการลดขนาดของแหล่งเก็บข้อมูลหลักที่อยู่ในตัวเครื่องลงเหลือแค่ 32 GB เท่านั้น(จากเดิมที่จะมีให้เลือกทั้ง 32 GB, 64 GB และ 128 GB) ซึ่งการที่ Samsung ทำเช่นนี้นั้นเป็นไปได้ว่าเพื่อที่จะลดราคาของ Galaxy S7 และ S7 Edge ไม่ให้สูงมากจนเกินไป(เพราะแน่นอนว่าถ้าอัดมาเต็มแล้วตั้งราคาสูงอีกก็อาจจะทำให้แฟนๆ ไม่กล้ากลับมาเล่นด้วยเหมือนกันครับ)
หมายเหตุ – ทาง Samsung บอกว่าในบางภูมิภาคนั้นจะมีเครื่องที่มาพร้อมกับแหล่งเก็บข้อมูลหลักขนาด 64 GB ออกวางจำหน่ายด้วย แต่ยังคงไม่มีการระบุไว้ครับว่าจะเป็นภูมิภาคใด ทว่าสำหรับสหรัฐอเมริกาเหนือนั้นจะมีเฉพาะรุ่นที่มาพร้อมกับแหล่งเก็บข้อมูลหลัก 32 GB วางจำหน่ายเท่านั้นครับ)
ในส่วนของหน่วยความจำนั้น Galaxy S7 และ S7 Edge ยังคงมาพร้อมกับหน่วยความจำขนาด 4 GB เท่ากับ S6 Edge Plus และ Galaxy Note 5 ซึ่งหากจะว่าไปแล้วหน่วยความจำระดับนี้ก็ถือว่าเยอะและเพียงพออยู่แล้ว แถมด้วยความที่ในครั้งนี้นั้นทาง Samsung ได้ทำการปรับแต่งซอฟต์แวร์ครอบ Android ของตัวเองอย่าง TouchWiz เสียใหม่ให้เบาบางลงกว่าเดิมทำให้มันรับประทานทรัพยากรของเครื่องน้อยลงกว่าเดิมมากซึ่งเป็นอีกจุดหนึ่งครับที่ทาง Samsung ได้รับนำเอาคำแนะนำของผู้บริโภคไปใช้งานครับ
อีกหนึ่งในความสามารถที่กลับเข้ามาอยู่บน Galaxy S7 และ S7 Edge อีกครั้งก็คือความสามารถในการกันน้ำได้ซึ่งมันมาพร้อมกับการได้รับมาตรฐาน IP68 หรือสามารถที่จะลงไปใช้ในน้ำลึก 1.5 เมตรได้เป็นระยะเวลา 30 นาทีอย่างสบายๆ โดยผู้ใช้ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใดเนื่องด้วยพอร์ทต่างๆ นั้นได้รับกับปิดกันมาอย่างเรียบร้อย
ส่วนที่อาจจะทำให้ Galaxy S7 และ S7 Edge เสียคะแนนไปสักนิดหน่อยก็คือการที่มันมาพร้อมกับพอร์ท microUSB แบบเดิมไม่ใช่ USB Type-C ตามสมัยนิยมที่เราได้พบเห็นกันในสมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นตั้งแต่กลางปี 2015 ที่ผ่านมาครับ อย่างไรก็ตามแต่เหตุผลที่ทาง Samsung ยังคงเลือกใช้ microUSB กับ Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นน่าจะมาจากการที่ทาง Samsung คงต้องการให้ Galaxy S7 และ S7 Edge ยังคงสามารถใช้งานร่วมกันกับ Gear VR headset ที่พึ่งปล่อยออกมาเมื่อปีที่แล้วได้อยู่นั้นเอง(แถมหากจะว่าไปแล้ว USB Type-C นั้นก็ยังไม่ค่อยที่จะจำเป็นมากเท่าไรนัก)
ในส่วนของกล้องนั้น Galaxy S7 และ S7 Edge ดูเหมือนจะลดความสามารถลงถ้าคุณตัดสินจากขนาดเซ็นเซอร์ของกล้องที่เหลือแค่ 12 MP จาก 16 MP แต่ครับแต่ ลดลงใช่ว่าจะไม่ดีเนื่องจากว่าการที่เซ็นเซอร์ลดลงนี้ทาง Samsung บอกว่ากล้องบน Galaxy S7 และ S7 Edge สามารถปล่อยให้แสงผ่านเข้ามาในเลนส์ได้มากกว่าเดิมถึง 56%ในกรณีที่ถ่ายภาพในที่ๆ มีแสงต่ำ นอกไปจากนั้นแล้วรูรับแสงของ Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นก็มีขนาดอยู่ที่ f/1.7 ซึ่งสามารถที่จะรับแสงเข้ามาในเลนส์ได้มากกว่าเดิมถึง 25% ด้วยกัน โดยรวมแล้วเซ็นเซอร์และเลนส์ของกล้อง Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นสามารถที่จะปล่อยให้แสงเข้ามาได้มากกว่าเดิมถึง 95% ทำให้ภาพที่ถ่ายได้มีคุณภาพมากขึ้นกว่าเดิมและการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อยก็สามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่าเดิมครับ
หมายเหตุ – แต่ผลจากการเปลี่ยนขนาดเซ็นเซอร์ในครั้งนี้ก็คือรูปทรงของเซ็นเซอร์ได้เปลี่ยนไปด้วยจากแบบกว้างที่อยู่ที่ 16 : 9 กลายเป็นแบบธรรมดาที่ 4 : 3 ครับ
ยังไม่หมดแค่นั้นนะครับ ทาง Samsung บอกว่ากล้องบน Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นสามารถที่จะจับโฟกัสได้เร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัวด้วยระบบ dual-pixel ที่นำมาใช้งานทำให้ในทุกๆ pixel ทั้งบน 12 MP ของเซ็นเซอร์นั้นสามารถที่จะทำหน้าที่เป็นจุดโฟกัสได้ทั้งหมด(เหมือนกับระบบบนกล้อง DSLR ราคาแพงๆ อย่างของ Canon) ตัวแอปพลิเคชันกล้องก็สามารถที่จะรันขึ้นมาได้เร็วกว่าเดิมมาก เอาเป็นว่าจากการทดสอบนั้นระยะเวลาที่เรียกแอปกล้องขึ้นมาของ Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นทำเอา Nexus 6P และ iPhone 6S Plus อายได้เลยครับ
อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่าในครั้งนี้ทาง Samsung ได้ทำการปรับปรุงข้อเสียทุกอย่างของ Galaxy S6 และ S6 Edge ไปแล้ว(เว้นก็แต่ยังคงไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่เองได้) ซึ่งผลพลอยได้ดังกล่าวนั้นได้ลามไปถึงในส่วนของซอฟต์แวร์ที่ครอบทับ Android ของทาง Samsung เองอย่าง TouchWiz ได้มีการปรับแต่งให้ลื่นไหลมากขึ้นและใช้ทรัพยากรของเครื่องน้อยลงมาก โดยส่วนที่ตัดไปนั้นถือได้ว่าเป็นข้อเสียที่มีมาโดยตลอดและ Samsung เองก็ได้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาให้ผู้ใช้ด้วยครับ
สำหรับฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มเข้ามาใน Galaxy S7 และ S7 Edge นี้ก็คือฟีเจอร์ always-on display ซึ่งจะทำหน้าที่ในการแสดงเนื้อหาบางส่วนเช่นเวลา, ปฎิธิน ฯลฯ(ตามที่ผู้ใช้ตั้งค่าไว้) ตลอดเวลาซึ่งจะว่าไปแล้วฟีเจอร์นี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากฟีเจอร์ Active Display ของทาง Motorola และ ambient display ของทาง Google แต่ว่าทาง Samsung บอกว่าฟีเจอร์ดังกล่าวนั้นได้รับการปรับแต่งในเรื่องการประหยัดพลังงานมาเป็นอย่างดีโดยมันจะใช้พลังงานแบตเตอรี่เพียง 0.5% ในระยะเวลาการใช้ฟีเจอร์ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
สำหรับ Galaxy S7 Edge นั้น ฟีเจอร์ edge-swipe ที่เคยดูไร้ค่าบน Note Edge และ S6 Edge ได้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นอย่างมากน่าใช้งานมากกว่าเดิมไม่ว่าจะเป็นความสามารถที่คุณสามารถจะเพิ่มแอปพลิเคชันใดๆ ก็ได้เพื่อเรียกดใช้งานได้จากฟีเจอร์นี้แล้วคุณยังสามารถเข้าถึงการติดต่อกับบุคคลที่คุณต้องการและได้ตั้งค่าเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมด้วยอีกต่างหาก นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องความสามารถในการแสดงผลการแจ้งเตือนต่างๆ ผ่านบนส่วนของหน้าจอ Edge ที่ทำได้ดีกว่าเดิมเป็นอย่างมาก เรียกว่าในครั้งนี้นั้น Samsung ใส่ใจกับข้อติชมของผู้บริโภคแล้วนำไปพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเองจนออกมาดีมาจริงๆ ครับ
ทั้งนี้ตามข้อมูลนั้นทาง Samsung จะวางจำหน่าย Galaxy S7 และ S7 Edge ในหลายๆ ภูมิภาคร่วมกับผู้ให้บริการโอเปอเรเตอร์ในช่วงวันที่ 11 มีนาคมนี้(ซึ่งยังคงไม่แน่ใจว่าเมืองไทยเรานั้นจะโชคดีด้วยหรือไม่แต่ที่มีจำหน่ายแน่นอนคือในสหรัฐอเมริกาครับ) สำหรับเรื่องของราคานั้นก็แว่วมาว่าจะมีราคาเท่ากับ Galaxy S6 และ S6 Edge เดิมตอนเปิดตัว ซึ่งหาเป็นเช่นนี้จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีพอสมควรเนื่องจากฟีเจอร์และการปรับปรุงของ Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นมีเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก(นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวภายในตัวเครื่อง)
ในส่วนของสีที่จะวางจำหน่ายนั้น Galaxy S7 จะมีให้เลือก 2 สีคือดำและทองส่วน S7 Edge จะมีให้เลือกถึง 3 สีคือดำ, ทองและเงิน โดยมีข่าวแว่วๆ มาด้วยครับว่าผู้ที่ซื้อ Galaxy S7 และ S7 Edge ในช่วงแรกๆ นั้นจะได้รับ Gear VR ไปใช้งานร่วมด้วย(แต่ข้อมูลตรงนี้ยังไม่แน่ชัดมากเท่าไรนัก) งานนี้คงต้องรอดูกันครับว่า Galaxy S7 และ S7 Edge จะสามารถกลับมากู้สถานการณ์ทางการเงินให้กับ Samsung ได้หรือไม่ เพราะหากว่ากันตามตรงแล้ว Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นไม่ได้มีนวัตกรรมใหม่ๆ เลยจะมีก็เพียงการปรับปรุงสเปคและปรับปรุงข้อผิดพลาดของรุ่นก่อนหน้าเท่านั้น ถ้า Galaxy S7 และ S7 Edge ยังคงไม่สามารถกูสถานการณ์ให้ทาง Samsung ได้อีก ในปี 2017 นี้ Samsung คงต้องทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิมแล้วหล่ะครับ
หมายเหตุ – แต่ถึงกระนั้นราคาเปิดตัวของ Galaxy S6 และ S6 Edge ก็ใช่ว่าจะถูกนะครับ เป็นไปได้ว่าอาจจะมีแฟนๆ หลายๆ คนคิดว่ามันยังคงแพงไปด้วยซ้ำกับสมาร์ทโฟนของ Samsung แถมอีกข้อเสียของสมาร์ทโฟน Samsung ก็คือการลดราคาค่าเครื่องตามกลไกตลาดเมื่อมีรุ่นใหม่ๆ ท๊อปๆ จากคู่แข่งออกมาชน ซึ่งนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แฟนๆ ของ Samsung ไม่ค่อยพอใจในเรื่องของการตั้งราคาของทาง Samsung สักเท่าไร(ที่หนักไปกว่านั้นก็คือสมาร์ทโฟนของคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Apple นั้นราคาของสมาร์ทโฟนในแต่ละรุ่นจะไม่มีการลดลงเลยจนกระทั่งมีการเปิดตัวรุ่นใหม่ออกมาครับ)
หมายเหตุ 2 – ราคาสมาร์ทโฟนของ Apple จะลดลงในกรณีที่มีการจัดโปรโมชันกับทางผู้ให้บริการเครือข่ายโอเปอเรเตอร์ครับ
หมายเหตุ 3 – บทความนี้เป็นพรีวิวของ Dan Seifert จากสื่อ The Verge โดยรูปภาพทั้งหมดมาจากการถ่ายรูปของทาง Sean O’Kane และคลิปวีดีโอพรีวิวหลังสุดเป็นของ Phil Esposito และ Mark Linsangan จากทาง The Verge เช่นกันครับ
ที่มา : theverge