ตามปกติแล้ว Samsung นั้นจะทำการเปิดตัวสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของตัวเองประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ครับ(และวางจำหน่ายในเดือนมีนาคม) ดังนั้นในช่วงนี้นั้นเราจึงได้ข่าวลือของสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวออกมาอย่างหนาหูมากเลยทีเดียว หลังจากที่ล้มไม่เป็นท่ากับ Galaxy S5 ไปในช่วงปี 2014 นั้น Samsung กลับมาด้วยการเปิดตัวเรือธงของตัวเองถึง 2 แบบคือสมาร์ทโฟนหน้าจอแบนราบปกติอย่าง Galaxy S6 และสมาร์ทโฟนหน้าจอโค้งพับแบบ Galaxy S6 Edge ซึ่งถือว่าทำให้สถานการณ์ของทาง Samsung กลับมาดีขึ้นบ้าง(แต่ก็เล็กน้อย) ในปีนี้ตามข่าวลือนั้น Samsung จะยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง 2 รุ่นเช่นเดิมส่วนจะมีอะไรเพิ่มเติมนั้นไปติดตามกันเลยครับ
ส่วนของหน้าจอ
อย่างที่บอกไปในตอนต้นครับว่าในปีนี้นั้นข่าวลือที่ออกมาของ Galaxy S7 ในส่วนของโมเดลนั้นจะแบ่งเป็น 2 รุ่นเช่นเดิมคือรุ่น Galaxy S7 ที่มาพร้อมกับหน้าจอแบนราบแบบธรรมดาโดยจะมีขนาดอยู่ที่ 5.1 นิ้วเท่ากับ Galaxy S6 ส่วนอีกรุ่นหนึ่งนั้นก็คือ Galaxy S7 Edge ที่จะมาพร้อมกับหน้าจอแบบพับโค้งเล็กน้อยโดยในคราวนี้นั้น Galaxy S7 Edge จะมีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นไปอยู่ที่ 5.5 นิ้ว(ในตอนแรกนั้นมีรายงานจากบางสื่อบอกว่า Galaxy S7 Edge นั้นจะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.7 นิ้วเท่ากับ Galaxy S6 Edge+ แต่ทาง VentureBeat บอกว่าแหล่งข่าวภายในบอกว่า Galaxy S7 Edge จะมีหน้าจอแค่ 5.5 นิ้วเท่านั้นครับ)
ในส่วนของหน้าจอของทั้ง 2 รุ่นนั้นจะยังคงใช้ panel แบบ Super AMOLED ที่มาพร้อมกับความละเอียด 1440 x 2560 pixels หรือ quad HD เช่นเดิมแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นก็คือหน้าจอของ Galaxy S7 ทั้ง 2 รุ่นนั้นจะมาพร้อมกับฟังค์ชัน always-on display (AOD) ที่จะทำให้มีการแสดงผลบนหน้าจอแบบ glanceable screen สำหรับใช้ในการแสดงผลสื่อที่ดาวน์โหลดต่างๆ ได้อยู่ตลอดเวลาและเทคโนโลยีนี้นั้นจะใช้พลังงานของแบตเตอรี่เพียง 1% ต่อชั่วโมงเท่านั้นอีกด้วยครับ
ส่วนของแบตเตอรี่
ทาง VentureBeat ได้รับข้อมูลในส่วนนี้จากแหล่งข่าวภายในว่า Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นจะกลับมาใช้แบตเตอรี่แบบที่ผู้ใช้งานสามารถถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองแทนแบบเดิมที่ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้บน Galaxy S6 แล้วครับ(ซึ่งน่าจะทำให้แฟน Samsung นั้นกลับมาชื่นชอบ Galaxy S7 ได้เหมือนเดิม) แถมในส่วนขนาดความจุแบตเตอรี่นั้นก็จะเพิ่มขึ้นโดยในรุ่น Galaxy S7 นั้นจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 3,000 mAh(จากเดิมใน Galaxy S6 อยู่ที่ 2,550 mAh) ส่วน Galaxy S7 Edge นั้นจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 3,600 mAh(จากเดิมใน Galaxy S6 Edge อยู่ที่ 2,600 mAh) ครับ
หมายเหตุ – Galaxy S7 ทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมกับความสามารถในการชาร์จแบบไร้สายเช่นเดิมโดยในรุ่น Galaxy S7 นั้นจะใช้เวลาในการชาร์จแบบไร้สายให้แบตเตอรี่เต็มอยู่ที่ 2 ชั่วโมง ส่วน Galaxy S7 Edge นั้นจะใช้เวลาในการชาร์จแบบไร้สายให้แบตเตอรี่เต็มอยู่ที่ 2.2 ชั่วโมงครับ
ส่วนขององค์ประกอบฮาร์ดแวร์ภายใน
แน่นอนครับว่าในทุกๆ ปีนั้น Samsung จะเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ใหม่และแรงที่สุดกับ Galaxy S(ก่อนที่จะอัพเกรดอีกครั้งกับรุ่น Galaxy Note) โดยทาง VentureBeat ได้รับข้อมูลในส่วนนี้จากแหล่งข่าวภายในว่า Galaxy S7 ทั้ง 2 รุ่นนั้นจะมาพร้อมกับชิปเซ็ทรุ่นใหม่ของทาง Samsung เองอย่าง Exynos 8 Octa 8890 ซึ่งจะยังคงเป็นชิปเซ็ทที่มาพร้อมกับแกนการประมวลผล 8 แกนเท่าเดิมและจะแบ่งเป็น 4 แกนสำหรับการประมวลผลประสิทธิภาพสูงที่จะมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 2.3 GHz และอีก 4 แกนสำหรับการประหยัดพลังงานที่จะมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 1.6 GHz โดยหากแอปพลิเคชันใดต้องการการประมวลผลหนักๆ นั้นแกนการประมวลผลทั้ง 8 แกนก็สามารถที่จะทำงานพร้อมๆ กันได้ครับ
หมายเหตุ – ชิปเซ็ท Exynos 8 Octa 8890 จะมาพร้อมกับชิปกราฟิก Mali-T880 MP12 ครับ
สำหรับชิปเซ็ท Exynos 8 Octa 8890 นั้นจะมีการเพิ่มชิปโมเด็มเข้ามาภายในตัวด้วยเลยโดยชิปโมเด็มที่อยู่บน Exynos 8 Octa 8890 นั้นจะรองรับเครือข่ายสูงสุดแบบ 4G LTE Category 9 ที่มีความสามารถในการโหลดข้อมูลผ่านคลื่นสัญญาณได้พร้อมกัน 3 คลื่นความถี่ทำให้มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด(ตามทฤษฎี) อยู่ที่ 450 Mbps และความเร็วในการอัพโหลดสูงสุด(ตามทฤษฎี) อยู่ที่ 75 Mbps ครับ
หมายเหตุ – โมเด็มตัวดังกล่าวนี้น่าจะเป็นรุ่นเดียวกันกับที่ใช้บน Galaxy Note 5 และ Galaxy S6 Edge+ ครับ
อย่างไรก็ตามในครั้งนี้นั้นเป็นไปได้ครับว่าทาง Samsung จะกลับมาใช้แผนการตลาดในการใช้ชิปเซ็ทของ Qualcomm ในรุ่น Snapdragon 820 กับ Galaxy S7 และ S7 Edge ทั้ง 2 รุ่นด้วยอีกครั้งโดยจะทำการแยกจำหน่าย Galaxy S7 และ S7 Edge ที่ใช้ชิปเซ็ทที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาค(น่าจะจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ) ซึ่งงานนี้คงต้องคอบรอดูกันต่อไปครับว่าจะเป็นอย่างไร(และจะเกิดดราม่าขึ้นอีกครั้งในเมืองไทยของเราเหมือนสมัย Galaxy Note 3 หรือไม่)
ในส่วนขององค์ประกอบฮาร์ดแวร์อื่นๆ นั้น Galaxy S7 และ S7 Edge จะมาพร้อมกับหน่วยความจำ(RAM) ขนาด 4 GB และแหล่งเก็บข้อมูลภายในนั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ความจุเหมือนเดิมคือ 32 GB และ 64 GB(ทั้งนี้ทาง VentureBeat ได้บอกเอาไว้ว่าถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อมูลของแหล่งเก็บข้อมูลความจุ 128 GB หลุดออกมาแต่ก็มีความเป็นไปได้ครับว่าทาง Samsung อาจจะมีรุ่นที่มาพร้อมกับแหล่งเก็บข้อมูลความจุ 128 GB ด้วยแต่จะวางจำหน่ายเฉพาะบางภูมิภาคเท่านั้น)
นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว Galaxy S7 และ S7 Edge จะมาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 และอีกหนึ่งความสามารถที่น่าจะเรียกเสียงของแฟน Samsung กลับมาได้อีกครั้งหนึ่งก็คือ Galaxy S7 และ S7 Edge จะมาพร้อมกับ microSD slots เหมือนเดิมแล้วหลังจากที่ในปี 2016 นั้น Samsung ได้ตัดความสามารถนี้ออกไปบนสมาร์ทโฟนระดับเรือธงทุกรุ่น โดยการกลับมาในครั้งนี้นั้นแหล่งข้อมูลบอกเอาไว้ว่า microSD slots ที่เพิ่มเข้ามานั้นจะรองรับการ์ดที่ความจุสูงสุด 200 GB ครับ
ส่วนของกล้อง
ท้ายที่สุดแล้วในส่วนของกล้องที่จะว่าไปแล้วนั้นกับ Galaxy S6 และ Galaxy Note 5 นั้นถือได้ว่า Samsung ทำได้ดีพอสมควรแล้ว มาในครั้งนี้นั้นกลับเป็นเรื่องแปลกนิดหน่อยครับเนื่องจากแหล่งข้อมูลบอกเอาไว้ว่า Samsung จะเลือกใช้เซ็นเซอร์กล้องที่ความละเอียดระดับ 12 MP เท่านั้นจากเดิมที่ใน Galaxy S6 ใช้เซ็นเซอร์ความละเอียด 16 MP ทว่าในส่วนของรูรับแสงของเลนส์ที่ทาง Samsung จะเลือกใช้นั้นจะเล็กลงกว่าเดิมคืออยู่ที่ f/1.7(จากเดิมใน Galaxy S6 อยู่ที่ f/1.9) ดังนั้นแล้วในส่วนของการถ่ายรูปนั้นกล้องของ Galaxy S7 น่าจะมีความสามารถในการใช้งานถ่ายภาพสถานการณ์ที่มีแสงน้อยได้ดีกว่าเดิมครับ ในส่วนของกล้องหน้านั้น Samsung จะยังคงใช้เซ็นเซอร์ความละเอียดเท่าเดิมกับ Galaxy S6 ซึ่งก็คืออยู่ที่ 5 MP ครับ
สรุป
อย่างที่ได้บอกไปครับว่าตลอดเวลา 6 ปีที่ผ่านมานั้น Samsung ใช้โอกาสในงาน Mobile World Congress ที่จัดขึ้นที่ Barcelona ในช่วงกลางไปจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ในการเปิดตัว Galaxy S มาโดยตลอดหลังจากนั้นไม่นานมากนั้นในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายนก็จะมีการวางจำหน่าย Galaxy S อย่างเป็นทางการ ตัวจริงของ Galaxy S7 และ S7 Edge นั้นจะเป็นไปตามข่าวลือหรือไม่อีกไม่นานนี้เราน่าจะได้ทราบกันแล้วครับ
หมายเหตุ – สำหรับในครั้งนี้นั้น Galaxy S7 และ S7 Edge จะมีให้เลือกด้วยกัน 3 สี คือสีดำ, สีขาวและสีทองครับ
หมายเหตุ 2 – ทาง Samsung ได้มีการร่อนบัตรเชิญเข้างาน Unpack แล้วในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้ครับ
ที่มา : venturebeat