ถึงแม้ว่าจะยังคงความเป็นบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่มียอดจำหน่ายอยู่ในอันดับที่หนึ่งของโลกอยู่นั้น ทว่าเมื่อดูในส่วนของกำไรของทาง Samsung ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา(เดือนตุลาคม – ธันวาคม ปี 2015) แล้วกลับพบว่าลดลงเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง แถมยังไม่ใช่เฉพาะธุรกิจส่วนสมาร์ทโฟนเท่านั้นนะครับ ตามรายงานของนักวิเคราะห์นั้นพบว่าส่วนธุรกิจอื่นๆ ของทาง Samsung เองอย่างเช่นธุรกิจการผลิตชิปและหน้าจอนั้นก็มีกำไรหดตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน เหตุผลนั้นก็เนื่องมาจากว่าความต้องการในตลาดของผู้ใช้ลดลงครับ
สำหรับตลาดสมาร์ทโฟนนั้นคงไม่น่าแปลกใจเท่าไรมากนักครับเนื่องจากว่าในปัจจุบันนั้นทาง Samsung เจอคู่แข่งจากประเทศจีนที่เน้นปล่อยสมาร์ทโฟนราคาถูกแต่สเป็คสูงออกมาตีตลาดมากมายไม่ว่าจะเป็น Xiaomi หรือ Huawei อย่างไรก็ตามในตลาดสมาร์ทโฟนนั้นทาง Samsung ก็ยังมีกำไรอยู่บ้างเนื่องด้วยยอดขายของสมาร์ทโฟนซีรีส์ Galaxy ที่เน้นตลาดระดับกลางและล่างอย่าง Galaxy A และ Galaxy J ได้เข้ามาเติมเต็มรายได้ของซีรีส์ Galaxy S และ Galaxy Note ที่เน้นตลาดระดับบนและมีราคาจำหน่ายค่อนข้างที่จะสูงครับ
ในส่วนของธุรกิจการผลิตชิปและหน้าจอนั้นเหตุผลที่กำไรของทาง Samsung ลดลงนั้นเนื่องมาจากว่าบริษัทคู่ค้ารายใหญ่ๆ ของทาง Samsung สั่งของน้อยลงครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดเลยก็คือบริษัท Apple ที่ลดปริมาณของชิปและหน้าจอจากทาง Samsung ลง แถมทาง Apple เองนั้นก็มียอดขายของ iPhone ลดลงด้วยเนื่องจากความต้องการในตลาดลดลงไปอย่างมาก(จากที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ว่าทาง Apple เองก็มีคำสั่งให้ Foxconn ลดกำลังการผลิตลงไป 2 เดือนกว่าได้แล้ว) ความต้องการลดลงมากขนาดไหนนั้นก็ดูได้จากการที่หุ้นของ Apple เองตกมาต่ำกว่า $100 หรือประมาณ 3,600 บาทต่อหุ้นในรอบหลายๆ ปีครับ(ต่ำสุดเมื่อวัดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2014)
ทางด้านธุรกิจการผลิตชิปนั้นนอกจากความต้องการในตลาดจะลดลงด้วยแล้วทาง Samsung ยังต้องผจญกับปัญหาที่ราคาส่งออกของชิปหน่วยความจำตั้งแต่ต้นปี 2015 ที่ผ่านมานั้นลดลงอย่างต่อเนื่องแบบที่ดูแล้วเหมือนกับว่าจะหาทางกลับไปขึ้นยากแล้วครับ(ตามภาพทางด้านบนที่เป็นราคาส่งออกของชิปหน่วยความจำแบบ DDR3) ถึงแม้ว่าทาง Samsung จะพยายามติดต่อคู่ค้าจนมีคู่ค้าที่สั่งซื้อชิปหน่วยความจำจากทาง Samsung หลายเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม ทว่าจำนวนคู่ค้าที่เพิ่มเข้ามานั้นก็ไม่สามารถทดแทนกันได้กับราคาส่งออกของชิปที่ลดลงเรื่อยๆ นี้ครับ
ทาง Samsung ได้วางแผนในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ด้วยการโฟกัสไปที่การหาคู่ค้าภายนอกเพิ่มเติมให้มากขึ้นไปอีกสำหรับธุรกิจหน้าจอและชิปหน่วยความจำครับ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะนำรายได้ในส่วนนี้มาทดแทนความต้องการจากผู้บริโภคในผลิตภัณฑ์ของทาง Samsung เองไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนและโทรทัศน์ลดลงไปค่อนข้างมาก(แต่ก็เป็นไปตามกลไกทางตลาด) เพื่อเป็นการกระตุ้นให้คู่ค้าเห็นถึงความสำคัญและความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการผลิตชิปหน่วยความจำและหน้าจอนั้นทาง Samsung ได้ลงทุนเพิ่มกว่า 15.6 trillion won หรือประมาณ 4.7 แสนล้านบาทในการสร้างโรงงานผลิตใหม่ในเกาหลีใต้ครับ
ทั้งนี้คงต้องรอดูกันต่อไปครัยว่าหลังจากที่ทาง Samsung เปลี่ยนผู้นำในส่วนธุรกิจอุปกรณ์เคลื่อนที่ไปเมื่อเดือนธันวาคม 2015 ที่ผ่านมาเป็นคุณ Lee Jae Yong นั้นจะช่วยให้สถานการณ์ของทาง Samsung กลับมาดีได้เหมือนเดิมหรือไม่ หรือว่าในท้ายที่สุดแล้ว Samsung จะหายไปจากตลาดสมาร์ทโฟนภายในเวลา 5 ปีเหมือนที่เคยมีนักวิเคราะห์รายหนึ่งได้ทำนายไว้ครับ
ที่มา : bloomberg