ผมเชื่อเลยครับว่าคุณผู้อ่านหลายๆ ท่านที่ไม่ได้ใช้หูฟังระดับเทพที่มีราคาแพงๆ ยี่ห้อดังๆ ยังไงก็ตามแต่แล้วคงต้องพยายามหาวิธีที่จะปรับเสียงที่ได้ให้ดีที่สุกเท่าที่จะสามารถทำได้(ภายใต้งบประมาณและหูฟังอันเก่านั้น) สิ่งหนึ่งที่ทุกท่านน่าจะลงเอยกันคือการปรับ EQ ผ่านทางโปรแกรมเพื่อการเปลี่ยนเสียงให้เหมาะสมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนทางซอฟต์แวร์เท่านั้นครับ หากจะให้ได้คุณภาพเสียงที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนแล้วทุกๆ ท่านจำเป็นที่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์เข้ามาเสริมซึ่งทาง BoomCloud 360 ก็ได้ทำการตอบสนองต่อความต้องการนั้นด้วยการเปิดตัว “BoomStick” ที่มีราคาอยู่ที่ $99 หรือประมาณ 3,570 บาทเท่านั้นครับ
เจ้า “BoomStick” ที่ได้มีการเปิดตัวในงาน CES 2016 นั้นมาในรูปแบบของอุปกรณ์เสริมที่ทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อระหว่างต้นกำเนิดเสียงกับชุดหูฟังอันเก่าของคุณโดยที่มันจะมีรูปร่างลักษณะดังรูปทางด้านบนครับ George Appling ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานของบริษัท BoomCloud 360 ได้บอกเอาไว้ว่าเจ้า “BoomStick” นั้นเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องเสียงที่มีคุณภาพแย่โดยเฉพาะครับ
ตรงจุดนี้ทาง George ได้พยายามสื่อให้เห้นว่าถ้าคุณนำเอา CD ไปเปิดกับเครื่องเสียงดีๆ ที่มีลำโพงกำลังขับมากๆ กับการเปิดเพลงที่สตรีมมิ่งมาจาก Spotify บน iPhone แล้วใช้หูฟัง EarPod ของทาง Apple ในการฟังนั้น คุณน่าจะสามารถรับรู้ได้เป้นอย่างดีเลยว่าคุณภาพของเสียงที่ได้มันต่างกันมากแค่ไหน แต่เดี่ยวนี้ๆ อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปหมดครับผู้คนเลือกที่จะมีความสะดวกสบายมากกว่าด้วยการเปิดเพลงจากบริการสตรีมมิ่งแทน(เพราะคุณสามารถจะฟังเพลงที่ไหนเมื่อไรก็ได้) ดังนั้นแล้วทาง BoomCloud 360 ก็เลยต้องตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตแบบนั้นด้วย “BoomStick” ครับ
“BoomStick” นั้นจะมีขนาดที่ค่อนข้างเล็กและเบามากครับ แต่ทว่าภายในของ “BoomStick” นั้นก็ไม่ใช่วงจรโหวงๆ ที่ไม่มีอะไรเลย เนื่องจากมันประกอบไปด้วยวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการโปรแกรมข้อมูลขั้นตอนวิธีของการทวนเสียงเฉพาะตัวของทาง BoomCloud 360 ทำให้เมื่อคุณทำการเชื่อมต่อแล้วกดที่ปุ่มวงกลมบน “BoomStick” คุณภาพของเสียงเพลงแบบสตรีมมิ่งที่คุณเคยฟังบนหูฟังเดิมๆ นั้นจะเปลี่ยนไปจากเดิมแบบที่คุณไม่มีวันจะอยากย้อนกลับไปใช้หูฟังแบบเดิมๆ โดยไม่มี “BoomStick” อีกเลยครับ
George บอกเอาไว้ว่า “BoomStick” นั้นก็เป็นเสมือนกับอุปกรณ์ “bass boost” เวอร์ชันขนาดเล็กที่คุณสามารถพกพาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก และที่สำคัญเลยคือมันไม่ได้แค่ทำให้เสียงที่คุณได้ยินดังขึ้นเท่านั้นแต่คุณจะได้ยินรายละเอียดต่างๆ ของเสียงมากขึ้นหว่าเดิมอีกมากมาย ซึ่งขั้นตอนวิธีการเพิ่มรายละเอียดของเสียงที่คุณได้รับบน “BoomStick” นั้นมาจากการออกแบบและเขียนโปรแกรมเข้าไปในตัว “BoomStick” ของ CTO บริษัทอย่าง Alan Kraemer ซึ่งเคยมีประวัติในการทำการกับ SRS Labs(บริษัทเบื้องหลังเทคโนโลยีทางด้านเสียงที่ทาง Samsung, Toshiba, LG และอื่นๆ อีกมากมาย ซื้อไปใช้กันครับ) มาหลายปีครับ
หมายเหตุ – จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ 2 – 3 ปีได้บริษัท SRS Labs ก็ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่คล้ายๆ กับ “BoomStick” ออกมาครับ
การใช้ “BoomStick” กับการฟังเพลงในลักษณะปกตินั้นอาจจะไม่ได้ทำให้คุณได้สังเกตในเรื่องของคุณภาพเสียงที่เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไร(ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจฟังจริงๆ + เวลาที่ฟังคุณอยู่ท่ามกลางความรีบเร่งที่ไม่สามารถเปิดเสียงเพลงให้ดังๆ อย่างเช่นบนรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วน) แต่ถ้าคุณได้ลองใช้ “BoomStick” กับหูฟังเดิมๆ ในการฟังเพลงต้นฉบับที่มีการผสมผสานต้นกำเนิดเสียงมากมายกว่าเพลงอย่างเช่นตัวอย่างภาพยนตร์หรือภาพยนตร์แล้วนั้นคุณไม่จำเป็นต้องสังเกตคุณก็จะรู้ได้เลยทันทีครับว่าคุณภาพและรายละเอียดเสียงที่คุณได้ยินนั้นมันเป็นคนละเรื่องกับของเดิมเลยจริงๆ
หมายเหตุ – ถ้าใครได้มีโอกาสใช้ “BoomStick” แนะนำให้ลองกับตัวอย่างภาพยนตร์ Star Wars – The Force Awakens ครับคุณจะเห็นความแตกต่างทันทีเลย
จุดขายที่แท้จริงของ “BoomStick” นั้นอยู่ที่มันมีความยืดหยุ่นครับ เพราะคุณสามารถจะนำมันไปใช้กับอุปกรณ์ชนิดใดก็ได้ขอเพียงแค่ให้ใช้ช่องเชื่อมต่อแบบ 3.5 audio jack ก็พอเท่านั้นและที่สำคัญก็คือมันไม่เลือกด้วยครับว่าคุณจะเอาไปใช้กับหูฟังรุ่นอะไรเพราะไม่ว่าคุณจะใช้หูฟังแบบกากๆ หรือว่าเทพมากขนาดไหนมันก็สามารถที่จะทำการเพิ่มคุณภาพของเสียงและรายละเอียดของเสียงให้คุณได้หมดครับ
จุดที่น่าเสียดายไปหน่อยก็คือ “BoomStick” นั้นจะต้องใช้แบตเตอรี่ภายในในการเลี้ยงวงจรที่มีขั้นตอนวิธีการทวนเสียงของตัวเองอยู่ ซึ่งทาง BoomCloud 360 บอกว่าคุณจะทำการใช้งาน “BoomStick” ได้ราวๆ 14 ชั่วโมงต่อเนื่องจากการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง(และสามารถที่จะทำการชาร์จใหม่ได้ผ่านทางช่อง micro USB) ทั้งนี้ทาง BoomCloud 360 ยังได้บอกเอาไว้ครับว่า “BoomStick” นั้นเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของบริษัทที่มาพร้อมกับขั้นตอนวิธีการทวนเสียงของ Kraemer เท่านั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ทางบริษัทยังมีเป้าหมายในการใช้ขั้นตอนวิธีทวนเสียงดังกล่าวในการออกผลิตภัณฑ์ของตัวเองออกมาอีกมากมายครับ(หูฟัง, ลำโพง ฯลฯ)
ที่มา : theverge