เรื่องการออกแบบ UI หรือส่วนต่อประสานรวมไปถึงเทคนิด Visual Effect(เอฟเฟคเสมือนจริง) ในภาพยนตร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ นั้นหากจะว่าจำไปแล้วหล่ะก็มีหลากหลายบริษัทมากมายเลยทีเดียวหล่ะครับ แต่ในวันนี้นั้นเราจะแนะนำให้คุณได้รู้จักกับบริษัทที่พึ่งฝากผลงานไว้กับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Avengers : Age of Ultron ครับ
หากท่านใดได้ดูภายนตร์เรื่องนี้น่าจะพอจำกันได้ว่ามีฉากสำคัญๆ อย่างเช่น Tony Stark ที่สวมบทเป็น Iron Man นั้นตอนที่เขาสวมชุดจะมีหน้าจอ UI ที่เอาไว้สั่งการ AI ที่ชื่อว่า Jarvis หรือในเรื่องจะมีฉากที่ Tony ใช้สมาร์ทโฟนที่ดูลักษณะเหมือนจะเป็นแก้วโปร่งใสเอาไว้สั่งการ Iron Man(รวมถึงใช้งาน) และมีโต๊ะกาแฟที่โปร่งใสแล้วมีเอฟเฟค UI เผยขึ้นมาให้เห็น รวมไปถึงฉากต่อสู้ปิดเรื่องที่มันอย่าบอกใคร ซึ่งบริษัทที่รับผิดชอบการทำเอฟเฟคเสมือนจริงของภาพยนตร์เรื่องนี้มีชื่อว่า “Perception” ครับ
Perception เป็นบริษัทที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์กซึ่งไม่เพียงแค่จะรับผิดชอบในการสร้างเอฟเฟคเสมือนจริงให้กับภาพยนตร์เท่านั้น ทว่าบริษัท Perception นั้นยังเป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบ UI รวมถึงเอฟเฟคเสมือนจริงให้กับบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Microsoft ไปจนกระทั่งบริษัทรถยนต์อย่าง Ford อีกด้วยครับ
จะว่าไปแล้วนั้น Perception ถือเป็นบริษัทหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากที่นำเอาเอเฟตเสมือนจริงที่ในอดีตกาลนั้นเรามักจะได้เห็นกันเฉพาะในภาพยนต์เท่านั้นมาสู่อุปกรณ์เครื่องใช้ของเราผ่านทางบริษัททางด้านเทคโนโลยีอย่างที่บอกครับ เพราะว่าวิธีการออกแบบ UI และเอฟเฟคเสมือนจริงของบริษัท Perception ไปเตะตาเข้าให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ดังกล่าวหลายบริษัทจนทำให้วงจรของการออกแบบนั้นครบวงจรคือจากภาพยนตร์ที่เราอาจจะเตะต้องไม่ได้ ได้เข้ามาสู่อุปกรณ์ยุคไฮเทคโดยมีแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ครับ
Perception นั้นก่อตั้งโดย Danny Gonzalez และ Jeremy Lasky ในปี 2001 โดยเป้าหมายหลักในตอนแรกของบริษัทนั้นก็เพื่อที่จะก้าวเข้ามาเป็นบริษัทสำหรับทำกราฟิกเคลื่อนไหวระดับสูง(high-end motion graphics) ซึ่งในตอนแรกนั้นงานของบริษัทจะเป็นการสร้างเอฟเฟคเสมือนจริงให้กับสตูดิโอออกอากาศทางโทรทัศน์และภาพยนตร์โฆษณาต่างๆ ภาพยนตร์เป็นส่วนใหญ่
หลังจากทีเก็บประสบการณ์ได้สักระยะหนึ่งแล้ววงการเอฟเฟคเสมือนจริงเริ่มมีการใช้ภาพโฮโลแกรมเข้ามาเพิ่มเติมในการสร้างเอฟเฟค ทางบริษัทก็เริ่มที่จะทำการพัฒนาตัวเองไปใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดย John LePore ผู้อำนวยการสร้างของบริษัท Perception ได้บอกเอาไว้ว่าเมื่อคุณได้เห็นโฮโลแกรมหรืออินเตอร์เฟซที่แปลกประหลาดในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ขอให้ทุกท่านรู้ได้เลยว่าเรื่องใสดก็ตามที่อยู่ภายใต้การทำงานของเรา เราได้นำเอาวิสัยทัศน์ของอนาคตไปใส่ไว้ในภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ และเรา(หมายถึงทางบริษัท) ยอมที่จะเสียเวลาครึ่งหนึ่งของการทำงานทั้งหมดเพื่อที่จะสร้างแนวคิดสำหรับเทคโนโลยีในยุคอนาคตสำหรับ UI หรือส่วนต่อประสานสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปอีกด้วยครับ
หลังจากที่ทาง Perception ได้เข้าร่วมงานกับทาง Marvel ในการทำหนังแผ่นภาพยนตร์การ์ตูน 2 – 3 เรื่อง ทางสตูดิโอก็ได้ความไว้วางใจจนได้รับมอบหมายให้ดูงานเอฟเฟคเสมือนจริงของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Iron Man 2 ซึ่งในตอนแรกนั้นทางบริษัทได้ถูกให้รับผิดชอบให้สร้างอินเตอร์เฟซสำหรับหน้าจอใหญ่ที่อยู่ในงาน Stark Expo ตอนช่วงเริ่มต้นของเรื่อง ทว่าหลังจากที่ทางทีมงานได้ประชุมกับทาง Marvel แล้ว ทางทีมงานก็ได้ยินบางอย่างเกี่ยวกับ “glass phone” ที่ Tony Stark อยากจะถือติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลาในภาพยนตร์ครับ
เริ่มต้นจากไอเดียหลักดังกล่าว ทางทีมงาน Perception ได้ทำการสร้างตัวต้นแบบตามวิสัยทัศน์ของ “glass phone” ในรูปแบบของตัวเอง(และแอบทำในสำนักงานของตัวเองไม่ได้ให้ทาง Marvel ได้รู้) จากคำพูดของ LePore ได้เผยออกมาว่าพวกเขาเลื่อยกระจกออกมาให้อยู่ในรูปแบบของมือถือเยอะมากและใช้มันในการสร้างวีดีโอสำหรับสาธิตให้ทาง Marvel ได้ดู ในท้ายที่สุดผลของการทำงานดังกล่าวก็ส่งผลให้ทาง Perception กลายเป็นบริษัทที่ได้รับผิดชอบในส่วนของการสร้างเอฟเฟคเสมือนจริงให้กับอุปกรณ์การใช้งานของ Tony Stark เกือบจะทั้งหมดซึ่งนั่นรวมไปถึงโต๊ะกาแฟแบบโปร่งแสงและหน้าจอการใช้งานที่ลอยไปมาทุกหนทุกแห่งเต็มบ้านของ Stark ครับ
หากคุณสังเกตดีๆ แล้วหล่ะก็คุณจะสามารถมองเห็นสไตล์ที่พบได้บ่อยทั่วทุกหนทุกแห่งผ่านอินเตอร์เฟซดังกล่าวข้างต้นครับ ซึ่งนั่นถือได้ว่าเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งเลยทีเดียวก็ว่าได้เพราะว่าอินเตอร์เฟซที่ทาง Perception ทำออกมานั้นช่างดูทรงพลังและค่อนข้างที่จะโอ้อวดไปบ้าง แต่นั่นก็สื่อถึง Tony Stark ชายผู้ร่ำรวยที่บ้าเทคโนโลยีและสร้าง Iron Man พร้อมกับมีปัญญาประดิษฐ์ใช้เป็นของตัวเองได้เป็นอย่างดีเลยครับ จากสิ่งที่ได้เห็นนั้น Perception ไม่เพียงแต่สร้างกราฟิกที่สวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกเขายังได้ใส่ข้อมูลเชิงลึกเข้าไปในอินเตอร์เฟซที่ทำให้ผู้ดูอย่างเราๆ ท่านๆ เมื่อเห็นแล้วเข้าถึงได้ทันทีว่าอินเตอร์เฟซดังกล่าวนั้นใครเป็นคนใช้งานครับ(ในที่นี้ก็คือเห็นปุ๊บรู้ว่าเป็นของ Tony Stark ปั๊บครับ)
Iron Man 2 เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นที่รุ่งเรืองของบริษัทครับ เพราะหลังจากนั้นมาแล้ว Marvel ก็มีความไว้วางใจใน Perception มากขึ้นจนให้ Perception ออกแบบอินเตอร์เฟซและเอฟเฟคเสมือนจริงในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Captain America: The Winter Soldier(พัฒนาอินเตอร์เฟซของ windshield ที่อยู่ในรถของ Nick Fury)
รวมไปถึงไว้ใจถึงขั้นให้ทำการลำดับภาพตัดต่อ(***** ข้อความต่อไปนี้มีสปอยเพื่อท่านที่ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ข้ามในส่วนนี้ไปได้เลยนะครับ******) —- ในการเปิดเผยระดับความลึกในการแทรกซึมขององค์กร Hydra เข้าไปยังองค์กรของรัฐระดับโลก —- นอกไปจากนั้นแล้วทางบริษัทยังได้รับผิดชอบในการสร้างออกแบบอินเตอร์เฟซซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนซึ่งใช้ในการแสดงตัวตนของ Arnim Zola ที่ในตัวภาพยนตร์เราจะเห็นผ่านหน้าจอมอนิเตอร์รุ่นเก่าๆ หน่อยเป็นตัวเขียวๆ นั่นแหละครับ
LePore บอกเอาไว้ว่าในการออกแบบอินเตอร์เฟซซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนซึ่งใช้ในการแสดงตัวตนของ Arnim Zola นั้นต้องทำให้สื่อออกมาว่าจิตวิญญาณของเขายังอยู่ภายในเครื่องจักรดังกล่าวอยู่แถมต้องผ่านอุปกรณ์ที่มาในลักษณะของเครื่องรุ่นเก่ามากทำให้ลักษณะการออกแบบอินเตอร์เฟซซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนซึ่งใช้ในการแสดงตัวตนของ Arnim Zola นั้นแตกต่างไปจากการออกแบบอินเตอร์เฟซของ Tony Stark อย่างสิ้นเชิงจากการที่พวกเขาออกแบบอินเตอร์เฟซตามตัวตนของผู้ใช้ กลับกันสำหรับการออกแบบอินเตอร์เฟซซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนซึ่งใช้ในการแสดงตัวตนของ Arnim Zola นั้นต้องทำให้อินเตอร์เฟซเป็นตัวตนที่มีบุคลิกภาพซะเอง
ผลงานต่างๆ ของ Perception ที่ทำให้กับบริษัทผลิตภาพยนตร์นั้นได้ไปเตะตาบริษัททางด้านเทคโนโลยีใหญ่ๆ สาขาอื่นๆ เข้าด้วยครับ ตัวอย่างเช่นในตอนนี้นั้น Perception ก็ได้รับผิดชอบให้ทำการออกแบบแนวคิดอินเตอร์เฟซรุ่นถัดไปให้อุปกรณ์ของทาง Samsung อยู่(โดยมีความเป็นไปได้สูงมากว่าแนวคิดอินเตอร์เฟซแบบใหม่ดังกล่าวนี้จะถูกใส่เพิ่มเติมเข้าไปบน TouchWiz interface ที่ทาง Samsung ใช้บนอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตครับ)
นอกไปจากนั้นแล้วทาง Perception ยังได้ร่วมงานกับ Microsoft ในการขยายแนวคิดความสมจริงสำหรับ HoloLens ซึ่งการร่วมงานกับ Microsoft นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ Perception จะรู้ตัวด้วยอีกครับว่าทางบริษัทนั้นกำลังร่วมพัฒนาเทคโนโลยีโฮโลแกรมภาพเสมือนจริงอันยิ่งใหญ่ของ Microsoft อยู่(น่าเสียดายที่ทางทีมงานไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าส่วนที่ทีมงานได้ทำงานร่วมกับ Microsoft นั้นเป็นจุดใดของ HoloLens กันแน่)
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ Grid 10 tablet จาก Fusion Garage ที่มีน้อยคนมากนักที่จะทราบว่าคุณภาพการใช้งานของตัวระบบนั้นมาจากการออกแบบอินเตอร์เฟซที่เป็นตารางโดยทาง Perception เป็นผู้รับผิดชอบในส่วนนี้ทั้งหมดเลยครับ
ในขณะที่การร่วมงานของ Perception กับบริษัทใหญ่ๆ หลายๆ บริษัทนั้นมักจะอยู่ในรูปแบบที่ถูกปิดกั้นข้อมูลไม่ให้คนภายนอกได้ค่อยรับรู้เท่าไรว่าทาง Perception ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบอินเตอร์เฟซ แต่ก็มีบางบริษัทครับที่ใจดีเปิดเผยออกมาโดยตรงเลยว่าพวกเขาเหล้านั้นได้ว่าจ้าง Perception ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงาน ตัวอย่างเช่น Ford ที่ประกาศออกมาว่า Perception นั้นรับผิดชอบในการออกแบบ dashboard interface ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญของ Ford 2017 GT supercar(เช่นเดียวกับ SpaceX streams) และยังมีบริษัทอื่นๆ อีกอย่างเช่น IBM, Intel, Mercedes-Benz, BMW และอื่นๆ อีกมากมายครับ
ถ้าคุณเคยได้ยินบางบคนพูดเปรียบเทียบอินเตอร์เฟซของทางบริษัทกับสิ่งที่ปรากฎในภายนตร์เรื่อง Minority Report ของ Steven Spielberg คุณอาจจะตระหนักได้เป็นอย่างดีครับว่ามันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันระหว่างเรื่องของทางเทคนิคและภาพยนตร์ Sci-Fi อยู่ LePore บอกว่ามีหลายๆ คนที่อยู่ในวงการเทคโนโลยีที่พูดว่าอยากจะนำเอาสิ่งที่ปรากฎในภาพยนตร์ Sci-Fi ให้สามารถออกมาใช้งานได้จริงๆ ซึ่งเรื่องนี้นั้น Perception ถือว่าได้เปรียบเป็นอย่างมากเพราะพวกเขาผ่านทั้งการออกแบบสิ่งที่อยู่ได้แต่ในภาพยนตร์และในขณะเดียวกันก็ต้องออกแบบสิ่งที่สัมผัสได้จริงด้วย ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงมั่นใจว่าทีมงานของพวกเขานั้นเก่งมากพอที่จะทำเรื่องดังกล่าวให้เป็นจริงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตอนที่ต่องทำงานกับ SpaceX เป็นต้น
หาก Perception นั้นถูกจ้างงานโดยบริษัทสำหรับผลิตภาพยนตร์หลายบริษัทแล้วหล่ะก็เรื่องดังกล่าวนี้ก็ไม่ถือว่าแปลกเท่าไรนักครับ ทว่าในทางกลับกันแล้ว Perception นั้นกลายเป็นบริษัทที่มีบริษัททางด้านเทคโนโลยีสายอื่นๆ เข้ามาเป็นลูกค้าด้วยมากมายนั่นอาจจะทำให้เราได้เห็นว่าเรื่องของการออกแบบอินเตอร์เฟซนั้นก็เป็นส่วนผสมสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทใหญ่ๆ สนใจเช่นเดียวกัน หากในตอนนี้ไม่มีบริษัทใดสามารถที่จะสู้กับ Apple ทางด้านการออกแบบผลิตภัณธ์ภายนอกได้แล้ว ดังนั้นการที่ Samsung และ Microsoft เข้ามาใช้บริการของ Perception เพื่อเพิ่มความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของงานของตัวเองนั้นก็น่าจะเป็นทางออกหนึ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของตัวเองครับ
หมายเหตุ – ลองเทียบได้จาก TouchWiz UI เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาในช่วงที่ Perception ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบแล้วคุณจะเห็นความแตกต่างมากขึ้น
อย่างไรก็ตามแต่ Perception ก็ยังคงถืองานหลักในการโฟกัสไปที่งานทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์มากกว่า และยังมีโครงการทางด้านเทคโนโลยีอีก 2 – 3 โครงการที่ทางบริษัทรับทำเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่แฝงในทีมงานบริษัท Perception อยู่ได้อย่างมากโขเลยทีเดียวครับ จากสิ่งที่เราเห็นนั้น Perception มีความสามารถตั้งแต่ที่จะนำเสนอสิ่งที่อยู่บนจอเงินไปยังจอมือถือของคุณได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว ปฎิเสธไม่ได้แล้วครับว่าอินเตอร์เฟซหรือ UI นั้นได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันเราไปแล้ว แถมมันยังเป็นตัวกำหนดอีกด้วยว่าผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะสามารถใช้งานได้ดีด้วยหรือไม่
ที่มา : engadget