Samsung นั้นยังถือได้ว่าเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ทโฟนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกครับ ทว่าในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมานี้หากคุณได้ติดตามการรายงานยอดส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ทโฟนมาโดยตลอดจะเห็นได้ครับว่า Samsung นั้นมียอดส่วนแบ่งในตลาดลดลงอย่างต่อเนื่อง ถึงยอดส่วนแบ่งที่เป็นตัวเลขจะตกลงไม่มากเท่าไรนักแต่เมื่อดูตัวเลขที่เป็นส่วนของกำไรแล้วจะยิ่งเห็นได้ชัดเจนครับว่าลดลงมากเลยทีเดียว(ยิ่งในปีนี้คุณจะเห็นได้ชัดเลยครับ ว่ากลยุทธ์ของ Samsung นั้นคือการเร่งตัวเลขของยอดจำหน่ายด้วยการลดราคาเครื่องแบบเยอะมากเลยทีเดียว)
Samsung นั้นต่างจาก Apple ในเรื่องของการชูจุดเด่นการเป็นแบรนด์หรูครับ จะเห็นได้ชัดเจนว่าถึงแม้ iPhone จาก Apple นั้นจะมีราคาจำหน่ายที่สูงกว่าเมื่อเทียบสเปคกับเครื่องของทาง Samsung แต่ทว่าผู้ใช้ iPhone ก็ยังมีความยินดีที่จะจ่ายเงินจำนวนมากดังกล่าวให้กับทาง Apple ในขณะที่ลูกค้าของ Samsung ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นอกเหนือไปจากการที่จะต้องต่อสู้กับ Apple แล้ว Samsung เองก็ต้องต่อสู้กับคู่แข่งสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ด้วยกันเองเหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่แข่งที่มาจากประเทศจีนอย่าง Xiaomi และ Huawei ที่เมื่อเทียบสเปคที่ระดับใกล้กันแล้วราคาของคู่แข่งนั้นดีกว่าของทาง Samsung มากครับ(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ใช้ที่พึ่งหันมาใช้สมาร์ทโฟนเครื่องแรก ทาง Samsung โดนแย่งส่วนแบ่งในตลาดนี้ไปมากเลยทีเดียว)
มีนักวิเคราะห์หลายสำนักเห็นตรงกันครับว่า หากสถานการณ์ยังคงดำเนินในรูปแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นั้นท้ายที่สุดแฃ้ว Samsung อาจจะหายไปจากตลาดสมาร์ทโฟนเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับ Nokia อ้างอิงจากทาง Ben Bajarin นักวิจัยของทาง Creative Strategies พบว่า Samsung อาจจะต้องออกจากตลาดสมาร์ทโฟนในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ครับ
ตามความเห็นของ Bajarin นั้นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดสมาร์ทโฟนนั้นมีอยู่ 2 อย่างดังนี้ครับ
- อย่างแรกก็คือปรากฎการณ์ Apple อย่างที่ได้บอกไปก่อนแล้วในตอนต้นว่า iPhone ของทาง Apple นั้นถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นๆ ทว่าผู้ใช้ก็ยังยินยอมที่จะซื้อ iPhone ใช้ในราคาดังกล่าวแถม iPhone ยังมีราคาขายเฉลี่ย(ASPs) สูงมากกว่าสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นๆ อีกด้วย ซึ่งเหตุผลดังกล่าวนี่เองที่ทำให้ผู้ใช้ที่เคยใช้สมาร์ทโฟน Android มาก่อนก็ยังอยากจะเปลี่ยนไปใช้ iPhone ครับ
- อย่างที่สองก็คือ Samsung ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องของภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกทางด้านนวัตกรรมครับ Samsung มีปัญหาดังกล่าวนี้มาอย่างยาวนานแล้วต่อเนื่อง โดยถึงแม้ว่าจะมีการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอย่างเช่นสมาร์ทโฟนซีรีส์ Edge แต่ก็ดูเหมือนกับว่าจะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ของทาง Samsung ดีขึ้นมากสักเท่าไรครับ นอกไปจากนั้นแล้วปัญหาดังกล่าวยังก่อผลกระทบโดยตรงกับความรู้สึกของผู้ใช้ที่ทำให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนของ Samsung ที่ถึงแม้จะเป็นรุ่นระดับพรีเมียม แต่ก็ไม่ได้รู้สึกพรีเมียมแต่อย่างใดครับ จากรายงานของทาง The Wall Street Journal พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2015 ที่ผ่านมานั้น ยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนของ Samsung กว่า 38% จากยอดส่งทั้งหมด 84 ล้านเครื่องเป็นสมาร์ทโฟนที่ราคาต่ำกว่า $200 หรือประมาณ 7,200 บาทแทบทั้งสิ้นครับ
สำหรับปัญหาในข้อ 2 นั้นทาง Bajarin ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเอาไว้ว่า ปัญหาดังกล่าวนั้นมาจากความซ้ำซากของการเป็นสมาร์ทโฟน Android ด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วหากจะว่าไปทาง Samsung เองก็ได้คิดถึงแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการพัฒนาระบบปฎิบัติการ Tizen แต่ก็อย่างที่เห็นกันครับว่า Tizen นั้นดูจะยังไม่เหมาะสำหรับการเป็นระบบปฎิบัติการของสมารืทโฟนสักเท่าไรนัก(แถมกระแสของสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Tizen นั้นก็เงียบสนิทด้วยอีกต่างหาก)
นอกเหนือไปจาก Samsung ทาง Bajarin ยังเสริมไว้ตอนท้ายอีกว่าปัญหาเรื่องนวัตกรรมดังกล่าวบริษัทอื่นที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android เองก็ต้องเจอเหมือนกันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทที่ไม่สามารถจะจำหน่ายสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ที่มีราคาสูงกว่า $400 หรือประมาณ 14,400 บาทขึ้นไปได้(สำหรับสมาร์ทโฟนระดับเรือธง) งานนี้คงต้องรอดูกันหล่ะครับว่าใน 5 ปีนี้ชื่อของ Samsung จะหายไปจากตลาดสมาร์ทโฟนจริงๆ อย่างที่ Bajarin คาดเอาไว้หรือไม่
ที่มา : bgr, techpinions