หลังจากที่สมาร์ทวอทช์ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Android Wear มาพร้อมกับหน้าปัดแบบวงกลมมากขึ้น รวมไปถึงค่ายใหญ่อย่างทาง Samsung เองก็เปิดตัวสมาร์ทวอทช์ที่มาพร้อมกับหน้าปัดวงกลมเช่นเดียวกันอย่าง Gear S2 ล่าสุดบริษัทคู่แข่งอย่าง Pebble ที่เกือบจะพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่เปิดตลาดสมาร์ทวอทช์นั้นก็ได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ของตัวเองออกมาซึ่งความพิเศษของมันก็คือหน้าปัดเรือนสมาร์ทวอทช์นั้นกลายเป็นแบบวงกลมตามพิมพ์นิยมในชื่อรุ่นว่า Pebble Time Round ครับ
ก่อนอื่นแล้วหากจะว่าไปที่เราได้เห็นเทรนของสมาร์ทวอทช์มาในรูปแบบหน้าปัดวงกลมกันมากขึ้นนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าเพราะก่อนหน้านี้ผู้ผลิตนาฬิกาชื่อดังอย่าง Citizen ได้ออกมาเผยรายงานครับว่านาฬิกาของทางบริษัท Citizen ส่วนใหญ่ที่สามารถจำหน่ายไปได้นั้นมีหน้าปัดตัวนาฬิกาอยู่ในรูปแบบวงกลมทั้งสิ้น ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาก่อน Moto 360 จะเปิดตัวนั้นสมาร์ทวอทช์ส่วนใหญ่มาในรูปแบบของหน้าปัดแบบสี่เหลี่ยมจัตรัสทั้งนั้นครับ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวนั่นเลยทำให้ความแตกต่างของการจ่ายเงินถึง $17,000 หรือประมาณ 612,000 บาทเพื่อ Apple Watch Edition ที่ใช้วัสดุเป็นทองกับ $99 หรือประมาณ 3,570 บาทเพื่อ Pebble ที่ใช้วัสดุเป็นพลาสติก เวลามองไกลๆ แล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างกันมากสักเท่าไรครับ แถมเผลอๆ แล้วผู้ใช้ที่ไม่ใช่คนสายเทคโนโลยีอาจจะแยกไม่ออกซะด้วยซ้ำไปว่าเครื่องไหนคือ Apple Watch Edition หรือ Pebble ซึ่งสาเหตุใหญ่เลยที่เราได้เห็นสมาร์ทวอทช์มาในรูปแบบหน้าปัดสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องของการออกแบบ UI(ส่วนต่อประสาน) ในการใช้งานที่ง่ายกว่าหน้าปัดแบบวงกลมมากครับ
เพื่อเป็นการสร้างข้อได้เปรียบขึ้นมาและเพื่อเป็นการสามารถที่จะแย่งตลาดนาฬิกาแบบปกติทั่วไปได้ดังนั้นในช่วง 1 – 2 ไตรมาสที่ผ่านมานั้นเราจึงได้เห็นสมาร์ทวอทช์ในรูปแบบหน้าปัดวงกลมเปิดตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ และเมื่อไม่นานมานี้เพื่อไม่ให้เป็นการที่จะทิ้งให้คู่แข็งได้มีโอกาสแซงหน้ามากจนเกินไปทาง Pebble จึงได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ที่มาพร้อมกับหน้าปัดวงกลมอย่าง Pebble Time Round ออกมาครับ
Pebble Time Round มาพร้อมกับวัสดุตัวเรือนที่เป็นโลหะทั้งหมด(เหมือนกับ Pebble Time Steel) โดยส่วนของหน้าจอเรือนแบบวงกลมนั้นจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 38.5 mm ความหนาของตัวเรืออยู่ที่ 7.5 mm และน้ำหนักเฉพาะตัวเรือนสมาร์ทวอทช์อยู่ที่ 28 g สำหรับสเปคภายในของ Time Round นั้นทาง Pebble ไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรไว้มากครับ นอกเหนือไปจากที่ตัวหน้าจอนั้นมีความสามารถแสดงผลสีได้สูงสุดที่ 64 สีเท่านั้น(พร้อม backlight)
สำหรับในเรื่องของอายุการใช้งานแบตเตอรี่นั้นถือได้ว่าเป็นจุดเด่นของทาง Pebble อยู่แล้วครับอย่างในรุ่น Time Steel นั้นก็ถูกโฆษณาโดยชูว่าจะใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานถึง 10 วันต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ทว่าในรุ่น Time Round นั้นทาง Pebble บอกว่าจะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเป็นระยะเวลา 2 วันเท่านั้นแล้วจะต้องชาร์จใหม่(ซึ่งน่าจะมาจากการที่ตัวเรือนสมาร์ทวอชท์ในรุ่น Time Round นี้มีขนาดค่อนข้างจะบาง) ทว่าทาง Pebble ก็ได้ใส่ฟีเจอร์ในการชาร์จเร็วโดยได้บอกเอาไว้ว่าการชาร์จเพียง 15 นาทีก็ทำให้คุณสามารถใช้ Time Round ได้ 24 ชั่วโมงสบายๆ ครับ
การใช้งาน Pebble Time Round นั้นก็จะเหมือนสมาร์ทวอทช์ทั่วไปที่ภายใน Time Round จะมีการใส่ไมค์มาด้วยเพื่อให้คุณสามารถใช้การสั่งงานผ่านด้วยเสียงได้ ทว่าในขณะนี้ Time Round นั้นจะสามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ได้ก่อนเท่านั้น สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ iOS คงจะต้องรอกันสักพัก(แต่ว่ามีออกมาให้ได้ใช้กันแน่นอนครับ)
จุดเด่นของ Pebble Time Round อีกข้อหนึ่ง(ซึ่งพบได้ในสมาร์ทวอทช์ยี่ห้ออื่นเช่นเดียวกัน) ก็คือมันมาพร้อมกับความสามารถในการเปลี่ยนสายรัดข้อมือได้หลายแบบแล้วแต่ความต้องการของผู้ใช้ครับ โดยทาง Pebble จะมีสายรัดขนาดมาตรฐาน 2 ขนาดคือขนาดที่มีความกว้าง 20 mm สำหรับผู้ชายและ 14 mm สำหรับคุณผู้หญิงโดยสายรัดสำหรับคุณผู้หญิงนั้นจะมีสี rose gold มาเป็นตัวเลือกให้ด้วยเช่นเดียวกัน(อันนี้ก็ไม่รู้ว่าจัดสีตาม Apple รึเปล่านะครับ)
ข้อเสียอย่างหนึ่งสำหรับนักพัฒนาแอปพลิเคชันที่สนใจจะพัฒนาแอปพลิเคชันให้กับ Pebble Time Round นั้นจะต้องโหลด SDK เวอร์ชันใหม่ที่รองรับในส่วนของหน้าปัดสมาร์ทวอทช์แบบวงกลมของ Time Round โดยเฉพาะ ซึ่งในส่วนนี้เองนั้นในตอนแรกของการวางจำหน่าย Pebble Time Round น่าจะยังคงไม่มีแอปพลิเคชันออกมารองรับมากเท่าไรนักครับ
ณ เวลานี้คุณสามารถสั่งจอง Pebble Time Round ได้แล้วทางหน้าเว็บไซต์ของ Pebble เอง(เข้าลิ้งค์ตามที่มาด้านล่าง หรือหากคุณอยู่ในสหรัฐอเมริกาก็สามารถเข้าไปสั่งที่เว็บไซต์ Best Buy, Target และ Amazon ได้เช่นเดียวกันครับ) สำหรับราคาจองนั้นจะอยู่ที่ $249.99 หรือประมาณ 9,000 บาท พร้อมจัดส่งพร้อมกันทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไปครับ