เป็นระยะเวลาที่นานแล้วพอสมควรครับที่เราได้เห็นสมาร์ทโฟนจากทาง Apple ในปีละเพียงหนึ่งหรือสองรุ่นเท่านั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ในยุคสมัยที่ Apple ยังคงกุมบังเหียนด้วย Steve Jobs จนกระทั่งเปลี่ยนมาเป็น Tim Cook เราก็ยังคงเห็นกลยุทธ์การทำตลาดสมาร์ทโฟนในรูปแบบนี้มาโดยตลอด ซึ่งผลของกลยุทธ์ดังกล่าวนั้นทำให้ iPhone ไม่สามารถที่จะครองตลาดได้มากเท่ากับสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ที่มีออกมามากมายให้ผู้ใช้ได้เลือกกันในตลาดได้(ถึงแม้ว่าจะมีข่าวลืออีกครั้งว่าจะมี iPhone โมเดล 6c ที่เน้นตลาดราคาระดับกลางออกมาในปีนี้)
และด้วยเหตุผลดังกล่าวนั่นเองก็เป็นที่รู้กันครับว่าอุปกรณ์ระบบปฎิบัติการ iOS นั้นไม่ใช่อุปกรณ์ที่ทุกๆ คน จะมีความสามารถในการเข้าถึงได้กันทั้งหมด ถ้าคุณต้องการที่จะเข้าถึง iPhone 6 Plus อย่างน้อยคุณก็ต้องจ่ายเงินเริ่มต้นที่ $749 หรือประมาณ 24,720 บาท(หรือในไทยที่ถูกที่สุดก็อยู่ที่ 28,550 บาท สำหรับเครื่องราคาศูนย์พร้อมแพ็กเกจ) ในขณะที่เคยมีรายงานจากทาง Forbes บอกเอาไว้ว่าต้นทุนของเครื่องนั้นอยู่ที่ $240 หรือประมาณ 7,920 บาทเท่านั้น จะเห็นได้ว่าส่วนต่างอยู่ที่ประมาณ 16,800 บาททีเดียว
ส่วนใน iPhone 6 ที่มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $649 หรือประมาณ 21,420 บาท(หรือในไทยที่ถูกที่สุดก็อยู่ที่ 24,600 บาท สำหรับเครื่องราคาศูนย์พร้อมแพ็กเกจ) ในขณะที่ต้นทุนของเครื่องอยู่ที่ $225 หรือประมาณ 7,425 บาทเท่านั้น จะเห็นได้ว่ามีส่วนต่างอยู่ที่ประมาณ 14,000 บาทเลยทีเดียว ดังนั้นหากจะว่าไปแล้วจึงไม่แปลกเลยแม่แต่น้อยครับที่ในเฉพาะไตรมาส 1 ของปี 2015(หรือไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2015) Apple จะมีการรายงานออกมาว่ามีรายได้จากการส่งออก iPhone 61 ล้านหน่วยถึง $13.6 billion หรือประมาณ 4.49 แสนล้านบาทเลยครับ
ตรงนี้แหละครับที่ทำให้ถึงแม้ว่ายอดจำนวนการจัดจำหน่ายของของ iPhone จะไม่ได้มากเท่ากับสมาร์ทโฟนจากฝั่งของ Samsung แต่ตัวเลขของผลกำไรนั้นกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจนเลยทีเดียวครับ โดยทาง Canaccord Genuity ได้มีรายงานยืนยันออกมาครับว่าในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2015 ที่ผ่านมานั้นทาง Apple สามารถที่จะส่วนแบ่งกำไรจากตลาดสมาร์ทโฟนไปได้ถึง 92% ในขณะที่ Samsung สามารถที่จะทำไปได้เพียง 15% เท่านั้น(แต่ต้องไม่ลืมว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2015 นั้น Samsung ยังไม่ได้เปิดตัว Galaxy S6 และ S6 Edge ออกมาครับ)
อย่างไรจากตัวเลขของทาง Apple และ Samsung ที่รวมกันได้แล้ว 107% นั้น อาจจะทำให้เราพอทราบแนวทางของตลาดได้ครับว่าในไตรมาสที่ 1 ของปี 2015 นั้นมีการเติบโตของตลาดสมาร์ทโฟนมากกว่า 7% ซึ่งส่วนที่เหลือนั้นจะต้องทำการดูจากสมาร์ทโฟนยี่ห้ออื่นๆ อีกทั่วโลกกว่า 1,000 ยี่ห้อ(ทั้งยี่ห้อระดับโลกและยี่ห้อที่ขายเฉพาะภายในประเทศตัวเอง) ว่าจะมียอดมากน้อยมากแค่ไหน
หมายเหตุ – ทาง GSMarena บอกเอาไว้ครับว่าที่ตัวเลขผลกำไรของ Apple และ Samsung รวมกันแล้วเกิน 100% ไปอย่างนี้อาจจะมีอีกสาเหตุหนึ่งว่าบริษัทคู่แข่งอื่นๆ นั้นไม่สามารถที่จะขายของจนทำผลกำไรได้หรือง่ายๆ ก็คือในไตรมาสที่ 1 ของปี 2015 นี้บริษัทอื่นๆ ถังแตกทางด้านกำไรของผลิตภัณฑ์ทางด้านสมาร์ทโฟนหล่ะครับ
หมายเหตุ 2 – หลายๆ บริษัท เช่น LG, Xiaomi, Huawei หรือ Asus ยอมที่จะขายผลิตภัณฑ์ต่ำกว่าต้นทุนเพื่อเอาจำนวนการขายได้เข้าสู้มากกว่าผลกำไรครับ