Logitech ปล่อยเมาส์ไร้สายตัวเก่งลงสู่ตลาด นับว่าเป็นรุ่นที่มีความทันสมัยมากอีกรุ่นหนึ่งที่ทาง Logitech พัฒนาขึ้น ในชื่อ ANYWHERE MX2 ด้วยคุณสมบัติในการเชื่อมต่อแบบ Dual-connnection โดยหมายถึงการเชื่อมต่อของเมาส์ไร้สายรุ่นนี้ สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Windows และ Mac ผ่านทาง Unifying USB Receiver หรือเชื่อมต่อกับ Bluetooth Smart Technology ที่สำคัญไปกว่านั้น เมาส์ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Darkfield laser sensor ที่เป็นฟังก์ชั่นที่น่าสนใจที่ช่วยให้สามารถใช้งานเมาส์บนพื้นผิวแบบใดก็ได้ที่มีความหนามากกว่า 4mm หมายความว่า ANYWHERE MX2 จะสามารถทำงานบนกระจกได้โดยตรงและมีพื้นผิวมันวาวได้ นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเมาส์ของคนเดินทางและพกพาไปใช้งานข้างนอกบ่อยๆ จึงนับว่าเป็นเมาส์ที่มีฟีเจอร์มากมายอีกรุ่นหนึ่ง และไม่น่าแปลกใจในชื่อของ Logitech ANYWHERE MX2
Logitech ANYWHERE MX2 ได้รับการปรับปรุงให้มีความทันสมัยและใส่เทคโนโลยีล่าสุดและอัพเดตเทคโนโลยี Pointer ในด้านของสวิทช์และการเชื่อมต่อ พร้อมการออกแบบใหม่ให้ทันสมัย เพื่อสร้างให้เป็นมีความเหมาะสมในการใช้งานได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด โดยที่ Logitech ออกแบบให้ถึงขีดสุดของเทคโนโลยีในการปรับปรุงให้มีความทนทานสูงสุด รวมถึงปรับเรื่องของการรับประกันใหม่สำหรับเมาส์รุ่นนี้อีกด้วย
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Logitech ANYWHERE MX2
- ใช้งานได้ในทุกพื้นผิว : ด้วยเซ็นเซอร์แบบเลเซอร์กับเทคโนโลยี Dark field laser sensor ช่วยให้การแทร็คหรือการเคลื่อนไหวทำได้ในพื้นผิวเช่น กระจกและพื้นผิวที่มันวาว (ต้องมีความหนาไม่น้อยกว่า 4mm)
- ขนาดกระทัดรัด รูปลักษณ์สวยงาม : ให้ความสะดวกสบาย การพกพาทำได้ง่ายระหว่างเดินทาง
- การเชื่อมต่อไร้สายแบบ Dual Wireless : รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Windows และ Mac ทำงานร่วมกับตัวรับสัญญาณขนาดเล็ก Pico Unifying หรือเทคโนโลยี Bluetooth Smart Wireless
- เทคโนโลยี Easy-Switch : มาพร้อมฟีเจอร์ในการจับคู่อุปกรณ์ได้ถึง 3 ชิ้นด้วยกัน ที่ใช้งานบน Windows และ MAC ในเวลาเดียวกัน และสลับการใช้งานได้เพียงการสัมผัสที่ปุ่มเท่านั้น
- Hyper-fast scrolling : รองรับการทำงานร่วมกับไฟล์เอกสารที่มีความยาวและจำนวนหน้าของเว็บเพจที่มากได้
- แบตเตรี่แบบรีชาร์จ : ใช้งานได้ยาวนานถึง 2 เดือนต่อการชาร์จไฟเต็มที่หนึ่งครั้ง
- การปรับแต่งและควบคุม : รองรับการทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ Logitech สำหรับเปิดการทำงานในระบบ Gesture และปุ่มอื่นๆ
Logitech ANYWHERE MX2 มาพร้อมกับ Logitech Pico Unifying Receiver รองรับการทำงานบนความถี่ 2.4GHz ให้ระยะทางห่างสุดถึง 10 เมตรด้วยกัน โดยมีสาย Micro USB สำหรับใช้ในการชาร์จไฟหรือใช้เป็นแบบต่อสายกรณีที่แบตหมดจริงๆ รวมถึงคู่มืออีกหนึ่งชุด แต่จุดหนึ่งที่เป็นข้อสังเกตคือ เดิมเมาส์ Logitech ANYWHERE MX2 จะมาพร้อมกับช่องสำหรับจัดเก็บตัว Receiver ที่เป็นตัวรับสัญญาณด้านใต้ของเมาส์ แต่สำหรับ ANYWHERE MX2 รุ่นใหม่นี้ Logitech ตัดสินใจไม่ทำช่องสำหรับเก็บอีกต่อไป
ด้านบนของเมาส์จะพบกับปุ่มคลิกซ้าย-ขวาแบบดั้งเดิมที่คุ้นเคย พร้อมกับ Scroll wheel และปุ่ม Gesture รวมถึงมีอีกสองปุ่มเพิ่มเติมทางด้านซ้ายมือของเมาส์สำหรับหัวแม่มือขวาในการใช้งาน โดยที่ Scroll wheel สามารถทำหน้าที่ได้หลากหลาย นอกจากเลื่อนไปมาแล้ว การกดลงไปแล้วเลื่อนซ้ายขวาสำหรับการแทร็คก็ทำได้แม่นยำ โดยทำงานในแบบ Click-to-click mode โดยในโหมดการทำงานแบบฟรีสกอลล์สามารถทำได้ราบรื่นและรวดเร็ว ช่วยให้การอ่านสเปรทชีทยาวๆ รวมถึงหยุดในหน้าที่ต้องการได้ทันที รวมถึงสำหรับการดูภาพและดู Playlist ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทาง Logitech เรียกว่าโหมด Hyper-fast scroll technology
นอกจากนี้นักออกแบบ ยังมองไปถึงพอร์ต Micro-USB ที่เป็นพอร์ตด้านหน้าของเมาส์สำหรับการชาร์จหรือทำงานแบบใช้สาย ซึ่งเข้าใจว่าเป็นการช่วยให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากชึ้นและสามารถใช้งานได้จริง แม้ว่าเวลานี้จะก้าวไปยัง USB 3.1 type-C แล้ว แต่ก็เชื่อว่าการเชื่อมต่อใหม่นี้น่าจะยังไม่ถึงเวลาการใช้งาน คงต้องมองไปในช่วงปลายปีที่น่าจะเริ่มการใช้งานอย่างจริงจัง และเมื่อถึงเวลาดังกล่าวอุปกรณ์ที่เป็น ANYWHERE MX2 น่าจะเป็นจากรุ่นเดิมนี้ กลายเป็น MX3 แทน
โดยจะไม่เหมือนกับเมาส์ในรุ่นก่อนๆ ANYWHERE MX2 ไม่ได้ใช้แบต AA อีกนต่อไป แต่ใช้แบต Li-Polymer ขนาด 500mAH ที่เป็นชุดแบตใหม่ ให้เวลาในการใช้งานได้นานถึง 2 เดือน ในการชาร์จเพียงครั้งเดียว เมื่อใช้งานในสำนักงาน 6 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งทำให้เห็นถึงความแตกต่างของแบตรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด เท่ากับว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละนาที จะช่วยให้การใช้งานต่อชั่วโมงการทำงานมีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้แบตแบบใช้แล้วทิ้ง พร้อมกันนี้ด้านใต้ของเมาส์ยังถูกปิดผนึก ไม่เปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง Logitech ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ว่า รอบการทำงานของเมาส์ทำได้ถึง 500 รอบเท่ากับการใช้งาน 83 ปี จึงไม่ออกแบบให้เป็นแบตที่เปลี่ยนเองได้
แต่หากแบตเตอรี่เสียหลังจากระยะประกัน ในทางทฤษฎีผู้ใช้จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่สามารถถอดแบตที่ไม่ได้บัดกรีลงบนตัวเมาส์ออกและเปลี่ยนใหม่เข้าไปได้ เพียงแต่จะต้องหาหมายเลขพาร์ทของแบตที่ใช้ในการนำมาเปลี่ยนเพื่อใช้งานต่อไปได้ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน
เมื่อหงายเมาส์ขึ้นมาจะพบสวิทช์เปิด/ปิดการทำงานและปุ่มสำหรับการเชื่อมต่อ Darkfield Laser และปุ่ม Easy-Switch โดยที่ Darkfield Laser สามารถปรับเลือกเซ็นเซอร์ได้ตั้งแต่ 400 – 1600dpi โดยปรับเลื่อนได้ทีละ 200 dpi ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์ Logitech utility ซึ่งค่ามาตรฐานจะอยู่ที่ 1000 dpi
การจับคู่เมาส์ร่วมกับบลูทูธ สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ถึง 3 ตัวด้วยกันในครั้งเดียว ด้วยเทคโนโลยี Easy-Switch จะช่วยให้การเลือกสลับอุปกรณ์ไปมาด้วยการกดปุ่มเล็กๆ ที่อยู่ด้านใต้ของเมาส์ โดยไม่ต้องจับคู่เมาส์ใหม่เมื่อเปลี่ยนเครื่อง โดยให้แน่ใจว่าจะเลือกอุปกรณ์ตามหมายเลขที่กำหนดไว้ จากการทดลองนั้นสามารถซิงก์การทำงานร่วมกับเมาส์และโน๊ตบุ๊คพร้อมกันได้ถึง 3 ชุด และสลับไปมาด้วยปุ่มที่อยู่ด้านล่างได้ง่ายๆ อีกด้วย ช่วยลดความวุ่นวายไปได้ไม่น้อยทีเดียว
ในส่วนของการใช้งานบอกได้ถึงความสามารถของเซ็นเซอร์ที่รองรับการทำงานได้หลายพื้นผิว ไม่ว่าจะเป็นไม้ พลาสติก แก้ว หินแกรนิต สบู่และกางเกงยีนส์ ซึ่งหากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ไม่รองรับเทคโนโลยีไร้สายอย่างบลูทูธ ก็สามารถใช้ Logitech Pico Unifying receiver ในการเชื่อมต่อแบบไร้สายแทนได้ รวมถึงสามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ Unifying สำหรับการจับคู่อุปกรณ์อื่นๆ และการอัพเดตเฟิร์มแวร์อัตโนมัติ รวมถึงการตรวจสอบสถานะของแบต เป็นเรื่องที่ดีในการที่จะปรับปรุงบางส่วนของเมาส์ให้ดีขึ้นได้ผ่านทางซอฟต์แวร์ Logitech
ที่มา : legitreviews