ผ่านมา 5 ปีแล้ว สำหรับการฟื้นตัวของตลาดแป้นพิมพ์ราคาแพงที่มีการออกแบบโดยใช้ระบบกลไกหรือคีย์บอร์ด Mechanical ที่มีอัตราการเติบโตมากยิ่งขึ้นและมีความแข็งแกร่ง ซึ่งหลายบริษัทก็ล้วนแต่มีส่วนร่วมของการผลิตแป้นพิมพ์ทางเลือกของคีย์บอร์ดในแบบดังกล่าวนี้
แต่เมื่อมีคีย์บอร์ดก็ย่อมต้องมีเมาส์เป็นของคู่กันและทำงานควบคู่กันไปเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มของเกมเมอร์ที่มุ่งเน้นไปทางผู้เล่นเกมที่มองหาเมาส์คุณภาพสูงที่มีตัวเลือกมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน
และเมื่อไม่นานมานี้ Logitech ก็ได้พัฒนาเมาส์ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ภายใต้ชื่อรุ่น logitech MX Master ในราคาประมาณ 100USD ที่นับว่าเป็นเมาส์ที่มีราคาค่อนข้างสูงในตลาด แต่ก็เป็นเมาส์สำหรับเกมเมอร์ในไม่กี่รุ่นที่เป็นแบบไร้สาย นับจาก Razer และ Mad Catz แต่เมาส์ในรุ่นนี้จะถูกมองเป็นอย่างไรระหว่างเมาส์ธรรมดาหรือแบบที่เรียกว่าหรูหราเกินราคากันแน่
โดยที่ Logitech มีประวัติในการสร้างเมาส์ราคาแพงและทันสมัย โดยเริ่มต้นจากเทรนด์ในรุ่น MX900 ในปี 2003 ที่รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธและแบตแบบชาร์จในตัว โดยได้มีการแก้ไขในหลายแนวคิดสำหรับ MX และ VX ที่ถูกนำกลับมาใช้ในการออกแบบที่เหมาะกับการทำงานที่ไม่ซ้ำกัน และปุ่ม เซ็นเซอร์ แม้ว่าจะปรับความแรงของตัวลดบลูทูธและใช้แบตแบบชาร์จ ในปี 2009 บริษัทก็แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของ Logitech ในปี 2009 หนึ่งใน 2 เมาส์นั้น Logitrch ได้นำเซ็นเซอร์ Darkfield Laser มาใช้เพื่อให้ใช้งานได้ดีบนผิวสะท้อนหรือแบบโปร่งใสก็ตาม
การใช้คำว่ามาสเตอร์ (Master) สำหรับ Logitech นั้นหมายถึงการที่ออกแบบได้ดีกว่าเมาส์ทั้งหมดที่เคยมีมา ผู้ที่ชื่นชอบฮาร์ดแวร์สามารถเข้าถึงได้อย่างสมบูรณ์และเมาส์ในตระกูล MX อาจมีการตัดฟีเจอร์บางส่วนที่ไม่ได้มีความสำคัญออกไป แต่อย่างน้อย MX ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นเมาส์ที่มีคุณสมบัติในการทำงานที่ครบเครื่อง โดยสามารถเชื่อมต่อในแบบไร้สายผ่านสัญญาณ Wireless 2.4GHz ผ่านทางอุปกรณ์ตัวรับที่แม่นยำกว่าบลูทูธ พร้อมทั้งมีแบตเตอรี่มาในตัว รวมถึง Scroll mouse ที่มีมากกว่า 2 ปุ่ม พร้อมปุ่มฟังก์ชั่นที่มากกว่า 6 ปุ่ม พร้อมทั้งมากับ Darkfield Laser sensor อีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับโปรดักส์ในรุ่น MX ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ MX Master จะเป็นเมาส์ในแบบ Palm-grip หรือเป็นเมาส์ที่รองรับการทำงานของนิ้วโป้งอย่างมาก นั่้นก็หมายถึงความกว้างและความสูงที่ออกแบบให้ประคองด้วยฝ่ามือให้ผู้ใช้เน้นไปทางซ้ายของเมาส์ โดยให้ซอกหัวแม่มือจับวางได้สะดวกสบาย ออกแบบให้สามารถเชื่อมต่อระหว่างมือของผู้ใช้และเมาส์ได้มาก หมายถึงโอกาสที่จะกดผิดพลาดมีน้อยลง
ส่วนเรื่องของ Master MX จะสะดวกสบายมากหรือน้อยกว่าในรุ่นก่อนหน้านี้ก็ตาม ก็ยังเป็นเรื่องของการวิเคราห์การทำงานของผู้ใช้แต่ละคน โดยทั่วไปแม้ว่า MX จะมีข้อได้เปรียบกว่าเมาส์ที่ราคาไม่แพงและไม่ได้เป็นแบบที่เน้นหัวแม่มือก็ตาม แต่ผู้ที่ได้ลองใช้จะพบว่า แทบไม่อยากกลับไปใช้เมาส์แบบเดิมๆ ที่ไม่ให้ความรู้สึกกระชับและลื่นไหลกันเลยทีเดียว
แต่มีข้อสังเกต 2 จุดที่อาจทำให้ MX Master สะดุดได้ก็คือ เรื่องของการออกแบบอย่างระมัดระวังทำให้ขาดความหวือหวาและประการที่สอง ทำให้ MX Master มีความกว้างและหนัก อันเป็นสิ่งที่เกมเมอร์ไม่พึงประสงค์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เหมาะกับการเล่นเกม เพราะด้วยเซ็นเซอร์ที่มีความแม่นยำและปุ่มฟังก์ชั่นที่มีอยู่มากมาย ไม่เพียงจะเป็นเมาส์ที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับการเล่นเกมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับเกมมิ่งเมาส์โดยทั่วไป
พร้อมกันนี้ด้วยความเป็นเมาส์ในแบบพรีเมียม ออกแบบให้ใช้สำหรับการเล่นเกมได้อย่างเหมาะเจาะ ด้วยรูปแบบของปุ่มของ MX Master ที่คล้ายกับเมาส์อื่นๆ นอกเหนือจากปุ่มด้านซ้ายหรือขวาแล้ว ยังมี Scroll wheel ที่กดได้ 2 ด้าน พร้อมทั้งปุ่มที่หัวแม่มือและปุ่มซ่อนอยู่ใกล้ฐานของเมาส์ ที่มักเรียกกันว่า Gesture button และทำงานร่วมกับ Task View บน Windows 10
ในขณะที่เมาส์ซ้ายและขวาทำงานได้อย่างคล่องแคล่วง เช่นเดียวกับ Scroll Wheel ที่เคลื่อนไหวได้ดี แต่ความรู้สึกของปุ่มบริเวณหัวแม่มือกลับรู้สึกไม่ถนัดนักเพราะทั่้งคู่ไปอยู่ใกล้กับด้านบนของเมาส์และมีขนาดที่เล็ก สำหรับคนมือใหญ่ต้องอาศัยการทำความคุ้นเคยกันนานๆ และอาจรู้สึกอึดอัดบ้างในการใช้งาน การเข้าถึงปุ่มอาจดูไม่ง่ายนัก
ส่วน Scroll Wheel ต้องเรียกว่าเกือบสมบูรณ์แบบ ด้วยการที่อยู่ระหว่างกลางของปุ่มซ้ายและขวา ซึ่งมีผิวยางจับถนัดมือ สามารถใช้ได้ถึง 2 โหมดคือ Free spin และ Clicky mode ที่้เป็นการหมุนแบบลื่นไหลมีการฟรีของการหมุน ส่วนการ Clicky จะเป็นการให้การหน่วงของการหมุนให้หนืดมากขึ้น เพื่อรองรับการเล่นเกมในแต่ละแบบ
ในขณะที่ MX Master ก็ยังโดดเด่นในด้านการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ที่สามารถจับคู่กับอุปกรณ์ได้ถึง 3 สิ่งด้วยกัน โดยที่มีความแตกต่างกันในอุปกรณ์รับสัญญาณ Wireless 2.4GHz หรือยังใช้การเชื่อมต่อผ่านบลูทูธได้อีกด้วย ในทางตรงกันข้ามอุปกรณ์รับสัญญาณ 2.4GHz ยังสามารถจับคู่กันได้ถึง 6 อุปกรณ์ ผ่านทางเทคโนโลยี Unifying Receiver นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่ใช้ Logitech อยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าการทำงานร่วมกับบลูทูธนั้นจะสามารถทำได้บน Windows และ Mac OS ประกอบด้วย Windows 8/ 8.1 และ Mac OS X 10.10 ถ้าผู้ใช้มีระบบปฏิบัติการที่เก่ากว่านี้ ก็อาจตจะจำกัดอยู่ที่ Wireless 2.4GHz ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้คิดจะใช้เมาส์หรืออุปกรณ์หลายตัวพร้อมกับบน eceiver เดียวนั้น ทางเลือกที่เป็น 2.4GHz ดูจะน่าสนใจที่สุด เพราะให้ประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อได้ถึง 10 ฟุต อีกทั้งทำงานในแบบ Plug-and-play การต่อบลูทูธก็ทำได้ไม่ยาก จึงไม่จำเป็นที่ต้องมีความพยายาม ในการเชื่อมต่อแบบอื่นๆ เพิ่มเติม
โดยที่ Logitech อ้างถึงระยะการทำงานของแบตใน 40 วัน แต่จริงแล้วจะนานหรือไม่นานก็อาจจะไม่เป็นผล เพราะ MX Master มีการใช้งานได้มากกว่า 1 เดือนและมีการชาร์จแค่เพียง สองชั่วโมงเท่านั้น โดยรายงานเป็นไฟ LED บอกเป็นสถานะการทำงานของแบต
เมื่อมีการติดตั้งซอฟต์แวร์ของ logitech ช่วยให้การควบคุมคุณสมบัติ โดยสามารถเลือกได้เช่น Scroll Wheel ที่ช่วยให้การควบคุมของคุณวสมบัติต่างๆ ทำได้รวดเร็ว รวมถึงโหมดการหมุนของ Scroll ยังทำได้รวดเร็วและให้การป้อนข้อมูลที่ต่อเนื่องทำงานได้ตามปกติ นอกจากนี้ยังมีมาตรวัดสำหรับแบตเตอรี่ที่เป็นปีะโยชน์และการควบคุมการจับคู่ของ Logitech ที่เริ่มออกมาเป็น donger และ Battery พร้อมสนับสนุนการจับคู่ด้วย Unified Receiver อีกด้วย
เมาส์ MX Master จัดเป็นเมาส์สมาชิกใหม่ที่ให้ความคุ้มค่าในไลน์ของ Logitech MX และเป็นทางเลือกที่ง่ายสำหรับคนที่ต้องการความพรีเมียม ที่นำมาจับคู่กับแป้นพิมพ์และการเชื่อมต่อสัญญาณ การรวมปุ่มเซ็นเซอร์ ทำให้เกิดการเชื่อมต่อไร้สายอย่างเหนือชั้นและเมาส์ยังสะดวกบนในการทำความสะอาดในการใช้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นราคาที่คุ้มค่าหรือไม่ เงินที่บวไปกับ MX Master ยังให้ความสะดวกในการใช้งานในทุกๆ วัน ส่วนเรื่องความคุ้มค่าเป็นอีกเรื่องหนึ่้งที่หลายคนมองว่าคุ้มกับงานที่จะได้ใช้งานในแต่ละวัน ในราคา 100 สำหรับเมาส์หรือคีย์บอร์ดก็ตาม
ซึ่้ง MX Master นี้ยังคงเป็นสิ่งที่ได้รับการปรับปรุงให้มากที่สุดและเติมฟีเจอร์บางอย่างลงไป พร้อมกับบรรดาปุ่มมากมาย ภายใต้ฟังก์ชั่นพื้นฐานเหล่านี้ ก็ยังถือว่าเป็นเมาส์พื้นฐานในระหว่างราคาของ MX ที่ประมาณ 100 USD (3,200 บาท) ที่ค่อนข้างจะสูงไปบ้างแต่ก็ให้ความคุ้มค่าในการใช้งานอย่างมากเลยทีเดียว โดยสรุปมีดังนี้
ความน่าสนใจ
การออกแบบตามสรีรศาสตร์
สองล้อเลื่อนๆ
ตัวเลือกในการเชื่อมต่อได้จำนวนมาก
มีแบตมาในตัว
ข้อสังเกต
-ปุ่มหัวอแม่มือเล็กไปบ้าง
-Lefties มีขนาดเล็กไม้ต้องใช้
-บลูทูธจะทำงานเฉพาะกับระบบปฏิบัติการล่าสุดเท่านั้น
ที่มา – digitaltrends