ทางทีมงานได้เคยรีวิวMacBook Pro Retina 13 รุ่นแรกไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นก็มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 3 ที่เป็นรหัส M ณ ตอนนั้นก็ต้องบอกว่าไม่ค่อยน่าประทับใจนัก เพราะมาพร้อมราคาที่สูงเกินไป แถมประสิทธิภาพการทำงานก็ยังไม่เพียงต่อในการขับเคลื่อนหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูง ซึ่งในรุ่นต่อมาก็ถือว่าดียิ่งขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 4 รหัส U ที่ให้การทำงานกราฟิกดียิ่งขึ้น ประหยัดพลังงานดีขึ้น อีกทั้งยังน่าซื้อมากกว่าเดิมเพราะมีการปรับราคาให้เหมาะสม
โดยล่าสุดทาง Apple ก็ได้เปิดตัวและจำหน่าย MacBook Pro Retina 13 ที่นับได้ว่าเป็นรุ่นที่ 3 แล้ว มาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดอย่าง Intel Core i Gen 5 รหัส U ที่แน่นอนว่าให้พลังการทำงานที่เหนือชั้นกว่ารุ่นก่อนๆ นอกจากนี้ยังใส่เทคโนโลยี Trackpad รุ่นใหม่ลงไปอย่าง Force Touch ส่งผลให้ MacBook Pro Retina 13 รุ่นใหม่นี้มีความน่าใช้ยิ่งขึ้นไป จากการต่อยอดของทาง Apple
Specification
MacBook Pro Retina 13 ที่ถือได้ว่าเป็น MacBook รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ MacBook Air และ MacBook Retina โดยมีอัพเดทสเปกและคุณสมบัติข้างใน ที่หลักๆ ก็คือเปลี่ยนมาใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง Intel Core i Gen 5 (Boardwell) อย่างในรุ่น Intel Core i5 รหัส U ซึ่งเป็นซีพียูแบบ 2 คอร์ 4 เทรด ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่จัดได้อยู่ในระดับที่ดี รองรับการใช้งานทุกประเภท นอกจากนี้กราฟิกการ์ดยังเป็นแบบออนบอร์ดที่ติดมากับชิปประมวลผลอย่าง Intel HD Graphics 6100 ที่จัดได้ว่ามีสมรรถนะพอตัวรองรับการขับเคลื่อนหน้าจอความละเอียดสูงได้สบายๆ แล้ว พร้อมหน่วยความจำรองมาเป็นแบบ Flash Memory หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า SSD (Solid-state drive) รุ่นล่าสุดที่ให้ความเร็วในการเขียนอ่านกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
แน่นอนว่ามาพร้อมกับเทคโนโลยี Retina Display และเลือกใช้เทคโนโลยีหน้าจอพาเนลคุณภาพสูงอย่าง IPS (In-Plane Switching) เหมือนเดิม โดย MacBook Pro Retina 13 นี้มีหน้าจอความละเอียดสูงถึง 2650 x 1600 พิกเซล แต่เวลาใช้งานจริงจะมีพื้นที่ 1280 x 800 พิกเซล ผลที่ได้ก็คือหน้าจอได้ให้ทั้งความคมชัดที่เหนือกว่าหน้าจอทั่วๆ ไป รวมไปถึงสีสันที่สวยจริงอย่างที่สุด สำหรับ MacBook Air หรือ MacBook Pro รุ่นก่อนๆ ได้ใช้เพียงพาเนลแบบ TN ที่คุณภาพสูงเท่านั้น จึงเรียกได้ว่า MacBook Pro Retina 13 นี้ ปัจจุบันเป็นผลิตภัณฑ์ Mac รวมไปถึงเป็นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13 นิ้ว ที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในเรื่องของการแสดงผลก็ว่าได้ ซึ่งมีอยู่ 3 รุ่นด้วยกัน สนนราคาเริ่มต้นที่ 43,900 บาท และ 49,900 บาท ไปจนถึง 59,900 บาท ซึ่งในรุ่นสูงๆ เราจะได้ SSD ความจุที่ใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งชิปประมวลผลที่แรงขึ้น
สเปกโดยรวมของตัวเครื่องของ MacBook Pro Retina 13 ที่เรานำมารีวิวนั้นจะเป็นรุ่นระดับกลาง (ทางทีมงานซื้อมาใช้ส่วนตัวนะครับ Apple จากการสั่งผ่านทาง Apple Online Store) มีการติดตั้งชิปประมวลผลเป็น Intel Core i5-5257U ความเร็ว 2.7GHz ที่มีความสามารถในการเร่งความเร็วไปได้ถึง 3.1GHz ซึ่งมาพร้อม SSD ความจุ 256GB และแรมขนาด 16GB (ตรงนี้ CTO เพิ่มเองครับ เพราะเดิมๆ มาตรฐานมันจะเป็น 8GB) อีกทั้งในส่วนของการเชื่อมต่อก็ยังครบครันตามสไตล์ Mac ทั้ง USB 3.0, Thunderbolt 2.0, HDMI และ Bluetooth 4.0 แน่นอนว่าเป็น WiFi มาตรฐาน 802.11ac ด้วย ยังไงในส่วนของสเปกเต็มๆ ตามดูต่อได้ที่นี่ครับ
- Apple MacBook Pro Retina 13 128GB
- Apple MacBook Pro Retina 13 256GB
- Apple MacBook Pro Retina 13 512GB
Hardware / Design
ด้านดีไซน์การออกแบบ MacBook Pro Retina 13 รุ่นล่าสุดนี้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย เมื่อเทียบกับ 2 รุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งหลักๆ แล้วจะเป็นการถอดแบบมาจาก MacBook Pro Retina 15 ที่ออกมาก่อนก็ว่าได้ โดยประเด็นหลักๆ ตัวเครื่องจะมีความบางเกือบจะเท่า MacBook Air และน้ำหนักเบากว่า MacBook Pro 13 ประมาณหนึ่ง วัสดุในการผลิตอย่างอะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบเดิมที่ให้ความสวยงามและผิวสัมผัสที่ดี รวมทั้งยังใช้เทคโนโลยีการผลิตรูปแบบ Unibody อย่าง MacBook Pro รุ่นผ่านๆ มา โดยทั้งเครื่องประกอบจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตามถือได้ว่า Unibody เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าคู่แข่งในเรื่องของการออกแบบให้มีความบางแต่ยังคงมีความแข็งแรงอยู่ ด้วยความที่ว่าต้องลงทุนสูงด้วยค่าเครื่องจักรตัดโลหะด้วยคอมพิวเตอร์ CNC ประกอบกับปริมาณในการผลิตต่อวัน ไม่สามารถผลิตได้จำนวนมาก ทำให้จำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม ซึ่งทาง Apple เองก็สามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตมีต้นทุนที่ไม่สูงมากแต่สามารถจำหน่ายได้ราคา ซึ่งเป็นอะไรที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ นำไปทำตามได้ยาก
ดีไซน์การออกแบบดูผ่านๆ แม้ดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลยจากรุ่นก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านความบางที่ 19 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักที่ 1.62 กิโลกรัมเท่านั้น รวมไปถึงการเชื่อมต่อต่างๆ ก็มีให้เหมือนเดิมกับ MacBook Pro Retina 13 รุ่นก่อนๆ แน่นอนส่ามาพร้อมเอกลักษณ์ชัดเจน ก็คือ MacBook โลโก้ Apple ที่สามารถเปล่งแสงได้ตามความสว่างของหน้าจอ ทำให้มีความโดดเด่นเวลาที่เราเอาไปใช้งานทีเดียว
ด้านล่างตัวเครื่องของ MacBook Pro Retina 13 จะเห็นว่าแทบไม่ต่างจาก MacBook Air หรือ MacBook Pro เลย แต่ถ้ามามองกันให้ดีๆ จะเห็นความแตกต่างอยู่บ้าง อย่างการที่ย้ายคำว่า MacBook Pro มาอยู่ด้านล่าง โดยส่วนที่เป็นสี่ดำกลมจะเป็นยางรองตัวเครื่องทั้ง 4 ด้าน สำหรับส่วนของน็อตก็เป็นแบบพิเศษเช่นเดียวกับตัว MacBook Air, MacBook Pro Retina 15 (ลักษณะเป็นแบบดาว 5 แฉกตรงกลางลึกลงไป) ที่เรียกได้ว่าใครจะหาซื้อไขควงมาแกะคงต้องลำบากกันเสียหน่อย (แต่เอาจริงก็แกะได้ไม่ยากนักหากมีเครื่องมือ) คาดการณ์ว่าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานอย่างเราๆ สามารถแกะเครื่องได้ตัวเองง่ายๆ แต่ใน MacBook Pro 13, 15 ยังคงใช้แบบหัวสี่แฉกมาตรฐานอยู่
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดยังได้คงรูปแบบเดิมไว้ซึ่งก็ถือว่าทำไว้ดีอยู่แล้วเช่นกันตามสไตล์ของ Mac กับคีย์บอร์ด 4 แถวขนาด Full Size อีกทั้งด้านการใช้งานในการพิมพ์ ก็ยังตอบสนองได้เป็นอย่างดีทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด รวมทั้งแป้นก็เด้งกับนิ้วเมื่อกดลงไปอย่างพอดี ที่สำคัญมาพร้อมกับไฟส่องสว่างคีย์บอร์ด หรือหลายๆ คนอาจจะเรียกว่า Backlit Keyboard ที่สามารถใช้งานจริงได้สมบูรณ์แบบ ไม่แยงตาอย่างโน๊ตบุ๊คบางรุ่นบางยี่ห้อ และสามารถปรับระดับไฟได้ตามต้องการของลักษณะแสงและ Ambient Light Sensor คอยปรับความสว่างไปอัตโนมัติอย่างนุ่มนวลทั้ง Backlit Keyboard และความสว่างของหน้าจอ ส่วนด้านบนของแป้นคีย์บอร์ดที่เป็นปุ่ม F1-F12 จะเป็นปุ่มฟังก์ชุ่นการทำงานพิเศษ อาทิเช่น การปรับความสว่างหน้าจอ เพิ่มเสียงลดเสียง และเรียกใช้งาน Mission Control, Launchpad & Dock
ทัชแพด หรือใน Mac จะเรียกว่า Trackpad ยังคงมีลักษณะรูปแบบหน้าตาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงถ้าดูด้วยตาเปล่า ทั้งในเรื่องของสัดส่วนขนาด ที่เป็นวัสดุที่ทำออกมาได้ดี สามารถลากนิ้วได้ลื่น ไม่เกิดอาการสะดุดหรือหน่วงใดๆ รวมถึงการใช้งาน Multi-Touch Gesture แต่ล่าสุดทาง Apple ได้บรรจงใส่เทคโนโลยี Force Touch แทนแบบเดิมๆ ที่เพียงคลิกได้เท่านั้น แต่รองรับถึงแรงกดระดับต่างๆ ด้วย แน่นอนว่าในการใช้งานนั้นดีกว่าแบบเดิมๆ จากการที่ได้มีการนำ Taptic Engine ที่จะสั่นตอบสนองกับแรงกดของเราเข้าไปใต้ Trackpad ด้วย ทำให้เวลาเราออกแรงกดลงไปบน Trackpad มันจะมีการสั่นที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการสั่นเลย แต่จะรู้สึกเหมือนเป็นการคลิกซะมากกว่าด้วย (ทั้งๆ ที่เอาระบบคลิกเดิมๆ ออกไป) ซึ่งเป็นการหลอกความรู้สึกผู้ใช้งานที่เนียนๆ มาก เรียกได้ว่ามันเป็น Trackpad แบบเดิมก็เชื่อเลย แต่แค่มีลักษณะการกดที่ตื้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง
จากการใช้งานจริงๆ ได้มีใส่น้ำหนักในการกดลงไปบน Trackpad พบว่าจะมีจังหวะความรู้สึกในการคลิกระดับที่สองเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็คือการทำงานของ Force Touch นั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อออกแรงกดตามปกติ เราจะรู้สึกเหมือนคลิกไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ๆๆ ถ้าเราใส่แรงเพิ่มมากขึ้นกดต่อไปอีก มันจะเกิดความรู้สึกเหมือนคลิกที่สองที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งเราจะเห็นผลในการใช้งานบางโปรแกรมเท่านั้นในตอนนี้
โดยรวมแล้ว Force Touch บน Trackpad เป็นอะไรที่ใหม่มากๆ สำหรับการใช้งานทัชแพด ที่เช่ือได้ว่าคงมีโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ใช้งานตามมากอีก มีความโดดเด่นในคลิกได้ทุกพื้นที่ของ Trackpad และรองรับแรงกดในหลายระดับได้ด้วย สำหรับคนที่ใช้ทัชแพดปกติหรือ Trackpad รุ่นก่อนๆ คงต้องปรับตัวกันหน่อย แต่เชื่อว่าพอได้ลองใช้งานจริงแล้วต้องชอบกันอย่างแน่นอน รวมไปถึง Force Touch บน Trackpad ยังรองรับการวาดรูปด้วยปากกาด้วยนะ อารมณ์น่าจะใกล้เคียงใช้ Wacom เลยทีเดียว ยังไงถ้ามีโอกาสเราจะมาเจาะลึกส่วนนี้กันอีกที
Screen / Speaker
หน้าจอของ MacBook Pro Retina 13 นี้เป็นแบบ Glare หรือจอกระจกด้วยการใช้กระจกเพียงชิ้นเดียวกั้นน้าจอเอาไว้ ที่ให้มีสีสันที่สดใส ที่สำคัญแสงสะท้อนที่เกิดขึ้นมีน้อยลงกว่า MacBook Pro 13 มาก หรือเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่เป็นจอกระจกด้วยกันจะเห็นได้ชัดว่า มีการสะท้อนแสงที่น้อยกว่าพอสมควร ซึ่งถ้าใครกังวลเรื่องแสงสะท้อน รวมไปถึงมีความสวยงามกว่า MacBook Air ที่เป็นพาเนล TN ปกติ ส่วนบริเวณขอบจอโดยรอบจะมียางรองไว้ป้องกันการที่ตัวเครื่องและฝากระทบกันในตอนที่ปิดฝาเครื่องลง และสำหรับเทคโนโลยีหน้าจอ Retina Display ใน MacBook Pro Retina 13 ซึ่งมีความละเอียดอยู่ที่ 2650 x 1600 พิกเซล ที่มีความหนาแน่นของพิกเซลสูงถึง 227 ppi เรียกได้ว่ามีความหนาแน่นกว่า MacBook Pro Retina 15 แต่มีพื้นที่ในการใช้งานจริงมาตรฐานที่ 1280 x 800 พิกเซลเท่านั้น (อย่างไรก็ตามเราสามารถปรับขยายพื้นที่ได้ในการใช้งานบางกรณ แต่ก็จะสูญเสียความเป็น Retina Display ที่มีความเรียบเนียนไป)
กล้องเว็บแคมหรือที่ทาง Apple เรียกว่า FaceTime HD camera มาพร้อมกับความละเอียด 720P ซึ่งเมื่อใช้งานจะมีไฟสีเขียวติดขึ้นมา ที่น่าสนใจก็คือด้านข้างของกล้องยังได้มีการติดตั้ง Ambient light sensor ไว้ทำหน้าที่ในการตรวจสภาพปริมาณแสงรอบๆ เพื่อคอยปรับความสว่างหน้าจอและคีย์บอร์ดให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ
สำหรับบานพับของ MacBook Pro Retina 13 ดูแล้วค่อนข้างเหมือนเดิมก็คือเป็นแบบแกนเดียวที่ให้ความแข็งแรงเมื่อใช้งานและไม่หลวมหรือคลอนง่ายๆ เมื่อใช้งานไปนานๆ แต่ความจริงแล้วในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ได้เปลี่ยนไปนิดหน่อย สังเกตุได้ว่ามีขนาดเล็กลงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มพื้นที่ในช่องว่างของช่องทางระบายความร้อนให้มีมากกว่าเดิม แต่ในการใช้งานจริงเรื่องการปิดเปิดบานพับก็ยังคงแน่นไม่ต่างไปจากเดิมเลย ประกอบกับทาง Apple ยังได้มีการติดตั้งแม่เหล็กไว้บริเวณขอบฝาด้านบนไว้สองตำแหน่งทั้งซ้ายและขวา เพื่อให้ตัวเครื่องและฝาประกบกันสนิท แต่ก็ไม่ถืงกับทำให้เปิดฝาขึ้นมาใช้งานลำบากแต่อย่างใด
MacBook Pro Retina 13 ลำโพงสเตอริโอจะติดตั้งบริเวณด้านข้างของตัวเครื่องทั้งซ้ายขวา ที่ปกติตรงจุดนี้จะเป็นช่องดูดอากาศเย็นใน MacBook Pro Retina 15 ที่จากการทดลองใช้งานจริง พบว่าเป็นลำโพงที่มีคุณภาพให้เสียงที่ดีกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ แต่ก็ยังถือว่าด้อยกว่าลำโพงของ MacBook Pro Retina 15 พอสมควร เพราะให้ได้เพียงเสียงแหลม เสียงกลางเท่านั้น โดยเสียงทุ้มที่ก็มีมาให้เรียกได้ว่าแทบไม่มี ลักษณะเสียงออกไปแนวกลางๆ ไม่ค่อยใสเคลียร์เท่าใดนัก โดยส่วนตัวจัดว่าพอฟงัได้ใช้งานได้ แต่ถ้าให้ดีคงจะเลือกต่อลำโพงแยกหรือหูฟังมากกว่า
Connector / Thin And Weight
MacBook Pro Retina 13 จากด้านข้าง เราจะเห็นถือความบางเฉียบที่มีมากกว่าโน๊ตบุ๊คขนาด 13 นิ้วทั่วไปพอสมควร เรียกได้ว่าเทียบกับ MacBook Air หรือ Ultrabook ในบางรุ่นได้อย่างสบายๆ ทีเดียว ซึ่งในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อของตัว MacBook Pro Retina 13 ที่ตามภาพจะเป็นด้านซ้าย ประกอบไปด้วย ช่องเสียบสายชาร์จไฟ Magsafe 2 ที่มีรูปแบบที่บางลงกว่า MacBook Pro และ MacBook Air ตัวก่อนปัจจุบัน มีลักษณะพิเศษคือ เป็นแม่เหล็กดูดติดกับเครื่อง เรียกได้ว่ามีความปลอดภัยในการใช้งานสูงหากเราไม่สะดุดสายไฟ ตัวเครื่องก็จะไม่ตกลงมา ซึ่ง Magsafe เป็นสิทธิบัตรของ Apple เพียงรายเดียว ฉะนั้นแล้วเราจะเห็นที่ชาร์จแบบนี้ได้ ก็จะมีเพียง MacBook เท่านั้น ในการใช้งานหากไฟแบตเตอรี่เต็มจะมีไฟแสดงสถานะเป็นสีเขียว แต่ถ้าหากกำลังชาร์จไฟก็จะเป็นสีส้ม
ถัดมาก็จะเป็นช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt ที่มีการติดตั้งมาให้ถึง 2 ช่องทางด้วยกัน ที่นอกเหนือจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นช่องทางการแสดงผล Display Port ได้อีกด้วย สำหรับพอร์ต USB 3.0 ด้านซ้ายนี้ได้มีใส่มาจำนวน 1 ช่อง และพอร์ตหูฟังที่รองรับการเชื่อมต่อไมค์ขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรในตัวอีกหนึ่งช่องด้วยกัน นอกเหนือจากนี้ไมโครโฟนจำนวน 2 ตัวยังได้อยู่ติดตั้งบริเวณนี้อีกด้วย
ด้านข้างทางขวาก็จะเป็นในส่วนของช่องอ่านการ์ดที่รองรับการ์ดความจำยอดนิยมอย่าง SD Card, SDXC Card รวมถึงได้ติดตั้งพอร์ตแสดงภาพดิจิตอล HDMI มาในผลิตภัณฑ์ Mac เป็นมาตรฐาน สุดท้ายกับพอร์ต USB 3.0 อีกหนึ่งพอร์ต รวมกับด้านซ้ายก็จะมีทั้งหมดทั้งเครื่องอยู่ 2 พอร์ตด้วยกัน ตามสไตล์ของ MacBook ที่ไม่ต้องการให้มีมากจนเกินไป เพราะจะมีผลต่อรูปแบบดีไซน์
มิติของตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 13 อยู่ที่ ความหนา (ความสูง) 1.9 เซนติเมตร / กว้าง 31.4 เซนติเมตร / ยาว 21.9 เซนติเมตร และมีน้ำหนักจะอยู่ที่ 1.62 กิโลกรัม ส่วนอแดปเตอร์ก็มีขนาดที่เล็กกว่าเทียบเท่าได้กับพวก Ultrabook จากการทดลองพกพาใข้งานจริงดูแล้วก็ถือว่ามีความทำได้ดีกับมาตรฐานโน๊ตบุ๊คบางเบาขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว แต่ก็ยังเป็นรอง Ultrabook ระดับสูงในบางรุ่น อย่าง Dell XPS 13 ที่ได้ทั้งความบางเบาและขนาดมิติตัวเครื่องที่เล็กกว่า
Performance / Software
ด้านซอฟต์แวร์บน MacBook Pro Retina 13 รุ่นนี้ แน่นอนว่า Mac ทุกเครื่องนั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการของตัวเองอย่าง OS X ซึ่งในตอนนี้เวอร์ชั่นล่าสุดก็เป็นในส่วนของ 10.10 ที่มีชื่อว่า Yosemite โดยจะมีเวอร์ย่อยลงมาอีก อย่างใน MacBook Air 13 [Early 2015] เครื่องนี้ก็จะเป็น OS X 10.10.2 แล้ว ที่เร็วๆ นี้จะมีการเปลี่ยนเป็น OS X 10.10.3 อีกทีหนึ่ง
ซึ่งตัว OS X เองสามารถตรวจสเปกของ Mac เครื่องนั้นๆ ได้ง่ายๆ ผ่านทาง About This Mac ซึ่งจากภาพก็แสดงให้เห็นถึงว่า Mac รุ่นนี้คือรุ่นอะไร ปีไหน และสเปกคร่าวๆ อย่าง ชิปประมวลผล, แรม, กราฟิกการ์ด, ซีเรียลนับเบอร์ และเวอร์ชั่นของ OS X โดยถ้าใครต้องการชมแบบละเอียดๆ ก็สามารถกดเข้าไปชมกันได้ที่ปุ่ม System Report ได้เลยครับ ซึ่งเรียกว่าเราจะพบกับข้อมูลและสเปกแบบละเอียดสุดๆ ไปเลย ว่าชิ้นส่วนไหนใช้อะไร ของแบรนด์ไหนบ้าง อันนี้คงไม่เจาะลงไปนะครับ เพราะมันยิบย่อยมากๆ
Benchmark (OS X)
โปรแกรมทดสอบเครื่องที่นิยมในฝั่ง Mac ก็คือ GeekBench ซึ่งคะแนนที่ได้ออกมาก็สามารถนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลคะแนนเฉลี่ยนของ GeekBench เองได้ โดยในส่วนของ MacBook Pro Retina 13 ชิปประมวลผล Core i5 Gen 5 มาพร้อมประสิทธิภาพที่เหนือกว่า MacBook Air ที่เป็น Core i7 เล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นรองในส่วนของ MacBook Pro Retina 13 ที่เป็น Core i5 Gen 4 ที่มีความเร็วสูงกว่า เล็กน้อยเหมือนกัน ซึ่งถ้าใครสนใจตารางเทียบประสิทธิภาพทุกรุ่นของ Mac ก็สามาตรเข้าชม ที่นี่ ได้เลย
โดยทดสอบพลังการประมวลผลของทั้งซีพียูเป็นหลักด้วยโปรแกรม Cinebench R15 ในฝั่ง OS X ของ MacBook Pro Retina 13 คะแนนที่ออกมานั้นถือได้ว่าดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งชิปประมวลผล Intel Core i5-5257U ที่มาพร้อมกราฟิกการ์ด Intel HD Graphics 6100 ให้ผลคะแนน OpenGL ที่มากกว่า MacBook Air 13 รุ่นปัจจุบันพอสมควร ที่แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นชิปประมวลผลรหัส U เหมือนกัน แต่ถ้าเน้นประสิทธิภาพแล้ว MacBook Pro Retina 13 ยังไงก็เหนือชั้นกว่า
อีกส่วนที่หลายๆ คนอยากทราบทดสอบกันที่สุดก็คือความเร็วของ SSD ที่อยู่บน MacBook Pro Retina 13 โดยเครื่องที่ทดสอบได้ติดตั้ง SSD เป็นของ Samsung ขนาดความจุ 256GB สามารถทำความเร็วเฉลี่ยในการอ่านได้ที่เกือบ 1300 MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนจะอยู่ช่วงเกือบ 1200 MB/s ด้วยกัน ซึ่งก็คงเป็นผลมาจากการใช้การเชื่อต่อแบบ PCIe ที่โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ระดับสูงนิยมใช้กัน รวมไปถึง SSD ประสิทธิภาพสูงจากทาง Samsung อีกด้วย ซึ่งเทียบกับรุ่นก่อนหน้าดีขึ้นกว่า 50% ถึงเกือบ 100% เลยทีเดียว
Benchmark (Windows 8)
มาถึงส่วนที่หลายๆ คนน่าจะให้ความสนใจกัน นั่นคือการทดสอบ MacBook Pro Retina 13 บนระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 ที่ติดตั้งผ่านทางซอฟต์แวร์ Bootcamp ซึ่งการติดตั้ง Bootcamp นั้นก็เหมือนกับการติดตั้ง Windows ในโน๊ตบุ๊คทั่วไปเลย ไม่มีการลดทอนประสิทธิภาพการทำงานลง เพราะมันก็คือการใช้งาน Windows บนเครื่องตรงๆ นั่นเอง แถมยังสะดวกกว่าด้วย เพราะสามารถโหลดไฟล์รวมไดร์ฟเวอร์จาก Apple มาเป็นชุดเดียวเลย คลิกติดตั้งครั้งเดียว แล้วก็รอจนเสร็จซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก
Windows ที่ใช้ในการทดสอบก็คือ Windows 8.1 ที่ทำการอัพเดทล่าสุดแล้ว ซึ่งก็ตรงนี้ทำให้เราเห็นสเปกชัดเจนของชิปประมวลว่าเป็นรุ่น Intel Core i5-5250U โดยมาพร้อมกับแรมขนาด 4GB
โปรแกรม Cinebench R11.5 เทียบกันระหว่างฝั่งรุ่นก่อนหน้า กับรุ่นที่ทดสอบในเรื่องของความเร็วในการทำงานนั้นเต็มที่ตลอดการทดสอบจริงๆ จากการวัดอัตราการใช้งานซีพียูที่เต็มประสิทธิภาพเต็มความเร็วทั้งคู่ โดยผลที่ออกมาก็คือส่วนของกราฟิก OpenGL ฝั่ง MacBook Air 13 รุ่นปัจจุบัน ทำผลคะแนนได้ดีกว่าเล็กน้อย ส่วนคะแนนชิปประมวลผลนั้นก็ทำได้พอๆ กันเท่านั้น
ส่วนการทดสอบด้วยเกมนั้น เกมพื้นฐานอย่าง Resident Evil 6 นั้นก็ตั้งค่าความละเอียดแบบ Default ที่ 1280 x 720 พิกเซล ได้คะแนนอยู่ที่ระดับกลางๆ อย่าง Rank C โดยมีคะแนนอยู่ที่ 2292 ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงคะแนนที่มากกว่าโน๊ตบุ๊คสเปกทีใกล้เคียงกันอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ใช้ฮาร์ดดิสก์เป็น SSD แบบไม่ต้องสงสัยทั้งๆ ที่ใช้เพียงกราฟิการ์ดแบบออนบอร์ดเท่านั้น แต่ก็ถือได้ว่าน่าประทับใจแล้วเพราะเกมนี้อย่างที่รู้ๆ กันก็คือตัว Benchmark ค่อยข้างกินทรัพยากรเครื่องพอสมควร
สำหรับ Street Fighter 4 ที่ตั้งค่าเป็น Default บนความละเอียด 1280 x 720 พิกเซล ผลคะแนนก็ได้เท่าๆ กับโน๊ตบุ๊คที่มีสเปกใกล้เคียงกันเช่นกัน ที่สำคัญยังได้คะแนนมากถึง 12391 คะแนนด้วยกัน ที่แสดงให้เห็นถึงฮาร์ดแวร์ที่ทาง Apple เลือกสรรค์มามีความเข้ากันได้เป็นอย่างดี โดยสำหรับเกมนี้ถือได้ว่าพอจะเล่นได้แบบสบายๆ เพราะกราฟิกกินไม่ค่อยมากอยู่แล้ว
อีกเกมหนึ่งที่โดยส่วนตัวเล่นเป็นประจำอย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1280 x 800 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ แน่นอนว่าที่ความละเอียด Native 2650 x 1600 พิกเซล ไม่สามารถเล่นอย่างลื่นๆ ได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดเกือบทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่น ระดับเฟรมเรทอยู่ที่ประมาณ 50-60 แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 30 ขึ้นไปตลอด
สรุปโดยรวมแล้วคือเล่นได้สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นคมชัดหรือเอฟเฟคมากมายอะไร ซึ่งในการทดลองเล่นเกม DOTA2 ใน Windows นะครับ (แม้จะมีในเวอร์ชั่นของ OS X) ส่งผลให้เวลาจะเล่นเกมก็ต้องสลับไปทาง Windows แทน จากที่ปกติจะทำงานใน OS X เป็นหลัก แต่ก็ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะตัว OS X และ Windows 8 ใช้เวลาในการเปิดปิดเครื่องที่เร็วมากๆ อยู่แล้ว เอาเป็นว่าในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดดีขึ้นแบบรู้สึกได้เลยทีเดียว สำหรับ MacBook Pro Retina 13 รุ่นนี้
Battery / Heat / Noise
ในการทดสอบเรื่องของการใช้งานแบตเตอรี่ที่มีความจุ 6600 mAh บน MacBook Pro Retina 13 นั้น ด้วยความที่เป็นระบบปฏิบัติการ OS X จึงสามารถจัดการพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยในสถานะเครื่องเปิดไว้เฉยในสถานะแบตเตอรี่ 100% โดยทดสอบตามสถานะตามการใข้งานจริงด้วยการปรับความสว่างบนหน้าจออยู่ที่ 50% และไฟคีย์บอร์ด Backlit ปรับไว้ที่ 50% เช่นกัน ผลเวลาที่ได้ออกมาจะอยู่ที่ประมาณ 8 ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งเหากใช้งานบน Windows ระยะเวลาของแบตเตอรี่น่าจะน้อยลงกว่านี้ โดยจะอยู่ที่ประมาณ 6 ชั่วโมงกลางๆ เท่านั้น
เรื่องความร้อนของเครื่องที่ทดสอบด้วยโปรแกรม Hardward Monitor นั้น ในภาพด้านบนเป็นการวัดในขณะเครื่องไม่ได้เปิดโปรแกรมอื่น (ดูที่ค่า Min) ซึ่งก็คืออยู่ในสถานะ idle อุณหภูมิที่ออกมาจัดได้ว่าค่อนข้างเย็น ส่วนตัวเครื่องอุณหภูมิโดนรอบตัวเครื่องทั้งหมดก็ถือว่ามีอุณหภูมิที่ต่ำ เนื่องด้วยความสามารถของตัววัสดุที่ช่วยถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็ว รวมไปถึงพัดลมระบายความร้อนก็หมุนรอบที่น้อยลงกว่าเดิม แน่นอนว่าด้วยอุณหภูมิที่ต่ำลงคงต้องยกความดีความชอบให้กับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 5 ที่กินไฟต่ำ แต่ยังคงให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าเดิม
เรื่องอุณหภูมิบริเวณตัวเครื่อง เมื่อทำการเบิร์นให้ทำงาน 100% ได้ค่าอุณหภูมิซีพียูภายในชิปประมวลผลอยู่ที่ประมาณ 102 – 105 องศาเซลเซียส จากค่า Max) เพื่อที่จะได้ทำเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพที่สุด โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 40 องศาเซลเซียส ในอุณหภูมิห้องที่ 27 องศาเซลเซียส โดยประมาณ แต่ละตำแหน่งตามตัวเครื่อง ที่เป็นส่วนของที่พักมือกับ Trackpad และส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง จะเห็นได้ว่าแทบไม่มีความร้อนออกเลย นั่นก็เพราะบริเวณส่วนนี้ไม่มีอะไรนอกเหนือจากแบตเตอรี่
ส่วนบริเวณของกลางเครื่องที่เป็นที่อยู่ของชิปประมวลผลจะเห็นว่ามีอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง แต่การใช้งานจริงเพียงแค่รู้สึกร้อนๆ นิดหน่อยเท่านั้นเวลาใช้งานระดับ 100% ต่อกันที่ตำแหน่งใกล้ Magsafe จะมีอุณหภูมิสูงหน่อยกรณีที่เราชาร์จไฟ แต่ถ้าแบตเตอรี่เต็มแล้วก็จะไม่มีความร้อนแต่อย่างใด สรุปรวมๆ แล้วความร้อนภายในตัวเครื่องไม่มีผลกับการใข้งานแต่อย่างใดครับ ที่สำคัญพัดลมยังมีเสียงที่ค่อยข้างเงียบกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็ขอแนะนำว่าหากจำเป็นต้องใช้งานหนักหรือประมวลผลสูงๆ ก็ให้มาใช้ในห้องที่เย็นหน่อย นอกจากนี้เครื่องของ MacBook Pro Retina 13 ยังสามารถคลายความร้อนได้อย่างรวดเร็วจากบอดี้ที่เป็นวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยด์อีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ติดฟิล์มไม่ใส่เคสที่ตัวเครื่องจะดีที่สุดครับ
Conclusion / Award
MacBook Pro Retina 13 [Early 2015] นับเป็นผลิตภัณฑ์จาก Apple กับไลน์ MacBook Pro ที่เป็นเพียงการอัพเดทสเปกและใส่เทคโนโลยี Touch Force Trackpad มา กับโน๊ตบุ๊คขนาด 13 นิ้ว ที่มีความบางเบาโดยใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i5 Gen 5 สถาปัตยกรรม Boardwell ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ รวมไปถึงได้มีการเลือกใช้หน่วยความจำสำรองเป็นแบบ SSD ความเร็วสูงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ส่งผลให้สามารถรีดประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนใน MacBook และที่สำคัญเป็น MacBook ที่ใช้เทคโนโลยี Retina Display รุ่นถูกที่สุด (เริ่มต้นที่ 43,900 บาท) ที่ให้ทั้งภาพที่สวยสมจริงและมีความคมชัดอย่างที่สุด อย่างที่เคยเห็น
สำหรับ MacBook Pro Retina 13 ที่ทางทีมงานนำมารีวิวนั้นเป็นเครื่องส่วนตัว มาพร้อมชิปประมวลผลเป็น Intel Core i5-5250U ความเร็ว 1.6GHz อีกทั้งยังเพิ่มความเร็วไปได้ถึง 2.7GHz ระบบการทำงานเป็นแบบ 2 คอร์ 4 เธรด แรมเป็นแบบถอดเปลี่ยนเองไม่ได้ติดเครื่องมาให้จำนวน 16GB (มาตรฐานคือ 8GB) ที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปอย่างสบายๆ ส่วนกราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นล่าสุดอย่าง รวมไปถึงยังเป็นฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ความเร็วสูง แน่นอนว่าความเร็วนั้นดีกว่าฮาร์ดดิสก์ปกติ 6-8 เท่า อีกทั้งด้วยระบบปฏิบัติการ OS X 10.8 Mountain Lion ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้มีการเข้ากันทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้เป็นอย่างดี มีความสเถียรแบบไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะแฮงค์หรือค้าง แถมยังมีการแสดงภาพ User Interface ที่ดูแล้วสวยงามลงตัว ที่สำคัญในเรื่องของการตื่นจาก Sleep ก็ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ซึ่งจริงๆ แล้วถึงแม้ว่า MacBook Pro ที่เป็นฮาร์ดดิสก์แบบปกติก็สามารถทำได้ซักพักแล้วโดยไม่ต้องอาศัย SSD เหมือนอย่าง Ultrabook ที่ใช้ Windows เลย อีกทั้งใช้เวลา Boot ประมาณ 10 วินาทีเท่านั้นเอง ที่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลมาจาก SSD ที่ติดตั้งมาให้
ด้านงานประกอบของ Apple หลายๆ คนคงทราบเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่ามีความสมบูรณ์แค่ไหน รวมไปถึงวัสดุที่ใช้เป็นส่วนประกอบก็จัดได้ว่าเป็นชั้นดีทั้งสิ้น จวบจนการดีไซน์ออกแบบของตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 13 นั้น เชื่อได้ว่าทุกคนที่ได้เห็นต้องชอบมันอย่างแน่นอน ด้วยการเน้นแนวทางการอกแบบที่ดูเรียบๆ แต่หรูหรา ยิ่งมีในส่วนของฝาหลังรูป Apple มีแสงไฟเปล่งออกมา ยิ่งทำให้น่าจับจองมาใช้งานเพิ่มขึ้นไปอีก รวมไปถึงความบางและน้ำหนักที่น้อย ทำให้สะดวกในการพกพากว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานสูงสุดประมาณ 10 ชั่วโมงด้วยกัน
นอกเหนือจากนั้นตัวคีย์บอร์ดเองก็มีไฟ Backlit ทำให้เพิ่มความสะดวกในการใช้งานที่มีแสงน้อยยิ่งขึ้น เรื่องของสัมผัส Trackpad และคีย์บอร์ดก็ให้ความรู้สึกที่ดีในการใช้งานแบบรู้สึกได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คตัวอื่นๆ อีกทั้งยังมีช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต และ Bluetooth เวอร์ชั่น 4.0 ที่มีเอาไว้เผื่อใช้ในอนาคต
ที่สำคัญกับการมาของ Force Touch Trackpad เทคโนโลยีล่าสุดจากทาง Apple ที่นำมาใส่ใน MacBook Pro Retina 13 รุ่นใหม่นี้ ยังเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในก่อนในโน๊ตบุ๊ค ซึ่งช่วยในการทำงานได้เป็นอย่าง เพราะเป็นทัชแพดตอบสนองรองรับต่อแรงกดได้ จากการที่มีเซ็นเซอร์พิเศษ ส่งผลให้สามารถรับรู้ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยของน้ำหนักแรงกดได้ เราจึงสามารถสัมผัสการควบคุมมากขึ้นอีกระดับ จากฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ที่แม้ว่าตอนนี้อาจจะไม่มีหลายฟังก์ชั่นนัก แต่ในอนาคตน่าจะมีออกมาอีกมากมาย
สรุปปิดท้ายกับ MacBook Pro Retina 13 [Early 2015] ที่ต้องบอกว่าเป็นโน๊ตบุ๊คอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจจริงๆ จากทาง Apple เพราะถือได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับหน้าจอความละเอียดสูงในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปอีกรุ่นหนึ่ง สนนราคาก็เริ่มต้นที่ 43,900 บาทเท่านั้น เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คซักเครื่องที่มีความเหนือชั้นในเรื่องของหน้าจอการแสดงผล รวมไปถึงมีความพรีเมียมตามแบบฉบับของ Mac แล้วล่ะก็ กำตังค์ไปซื้อได้เลยครับ ในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานก็ดียิ่งขึ้นทั้งการประมวลผลและกราฟิกโดยรวม ส่งผลให้เราทำงานได้รวดเร็วขึ้น ที่สำคัญด้วย SSD รุ่นใหม่ล่าสุดที่เป็น PCIe ซึ่งทำความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลได้สูงมากๆ ระดับ 1000 – 1300 M/s เลยทีเดียว
เอาเป็นว่าถ้าใครเงินถึงระดับ 4-5 หมื่นบาทแล้วต้องการซื้อ MacBook ล่ะก็ MacBook Pro Retina 13 น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องประสิทธิภาพต่อการพกพาอยู่ เรียกได้ว่าพัฒนามาจากรุ่นแรกพอสมควรในแทบทุกด้านเลย ส่วนถ้าใครมีงบประมาณอยู่ในช่วง 6-8 หมื่นบาท ที่ต้องการใช้งานเน้นประสิทธิภาพแบบสุดๆ ก็ให้เลือกเป็น Macbook Pro Retina 15 ได้เลย หรือถ้าใครต้องการบางเบาในราคาที่ถูกที่สุดก็ให้เลือกเป็น MacBook Air 13 แบบไม่ต้องคิดมากครับ
จุดเด่น
- เป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 13 นิ้ว มีขนาดบาง น้ำหนักเบา สามารถพกพาไปได้สะดวก
- มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้เป็นอย่างดี ด้วยชิปประมวลผล, แรม และ SSD
- Retina Display หน้าจอจอความละเอียดสูง ภาพคมชัด พาเนล IPS ให้สีสันที่ดี มุมมองกว้าง
- เปิดเครื่องหรือตื่นจากโหมด Sleep, Boot เครื่อง และเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้อย่างรวดเร็ว
- ดีไซน์การออกแบบสวยและงานประกอบมีความประณีต ด้วยวัสดุชั้นดีอย่างอะลูมิเนียมแบบ Unibody ตัวเครื่องแข็งแรง
- มีไฟ Backlit Keyboard ที่ใช้งานได้อย่างสบายตา
- สามารถสั่งอัพเกรดสเปกได้โดยตรงตั้งแต่ตอนสั่งซื้อ (ซีพียู, ฮาร์ดดิสก์, แรม)
- Force Touch TrackPad เป็นเทคโนโลยีใหม่ สามารถตอบสนองการใช้งานได้ดี
- มีช่องทางเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.0 อีก 2 พอร์ต
- มีพอร์ตแสดงผลมาตรฐานอย่าง HDMI
- ระบายความร้อนทำออกมาได้ดี พร้อมพัดลมที่ออกแบบพิเศษที่ลดเสียงรบกวน
- ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานประมาณ 10 ชั่วโมง
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Mac OS X 10.10 ที่มีคุณสมบัติมากมาย
- มีอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้มาก ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดเคส ซอฟต์เคส หรืออื่นๆ ที่ออกแบบมาเฉพาะ
ข้อสังเกต
- สเปกฮาร์ดแวร์ภายในต่อราคาจำหน่ายไม่ค่อยมีความคุ้มค่ามากนัก
- ด้วยวัสดุเป็นอะลูมิเนียม ถ้าปลั๊กไม่มีการเดินสายดินไว้ อาจเกิดไฟดูดบ้างเล็กน้อย
- ไม่สามารถอัพเกรดใดๆ ได้เลยในภายหลัง (อย่างน้อยก็ในขณะนี้)
- ในการแกะฝาใต้เครื่องทำได้ยาก เพราะต้องใช้ไขควรเฉพาะ
- ราคาของอุปกรณ์ที่ใช้งานกับพอร์ต Thunderbolt ยังมีราคาที่ค่อนข้างแพงอยู่ จึงอาจใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพในขณะนี้
- มีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง MacBook Pro Retina 13 [Early 2015] ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Apple มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดใน MacBook Pro Retina 13 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรู ประกอบการงานการประกอบระดับคุณภาพ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งความบางของตัวเครื่องก็ถือว่าทำได้ดีเทียบเท่ากับ MacBook Air ทีเดียว ฉะนั้นในเรื่องของรางวัล Best Design ทำให้ได้ไปอย่างไม่ยากเย็น
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ MacBook อยู่เช่นเดิม ทั้งในความบางเพียง 19 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 1.62 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะฮาร์ดแวร์ไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก จึงทำให้ MacBook Pro Retina 13 ได้รับรางวัล Best Mobility ไปอย่างง่ายดาย
Best Technology
นอกเหนือจากสเปกตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 13 จะมีความใหม่สดแล้ว ยังได้มีการเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ยังมีในส่วนของพอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt ที่ให่มาถึง 2 พอร์ตการใช้งาน อีกทั้งในเรื่องของหน้าจอและความละเอียดจอก็มาในระดับที่สูงยังมาเป็นแบบ Retina Display ที่เป็นพาเนลจอคุณภาพสูงระดับมืออาชีพอย่าง IPS กับความละเอียด 2650 x 1600 พิกเซล ที่ให้ในส่วนของสีสันที่สวยสมจริงและมุมมองกว่าใกล้ จึงทำให้คว้ารางวัล Best Technology ไป
Best Battery Life
แม้ว่าในตัวของ MacBook Pro Retina จะอัดแน่นไปด้วยสเปกหรือเทคโนโลยีต่างๆ แต่ในเรื่องของการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉลี่ยแล้วถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ได้นานถึงประมาณ 10 ชั่วโมงด้วยกัน ส่งผลให้ได้รางวัล Best Battery Life ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นผลมาจากการที่ Apple ได้ใส่แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลิเมอร์ความจุ 6600 mAh เข้าไป อีกทั้งระบบปฏิบัติการ OS X 10.10 ก็เป็นตัวช่วยจัดการพลังงานได้เป็นอย่างดี โดยที่เราไม่จำเป็นต้องปรับค่าเองแต่อย่างใดเลย
Specification
MacBook Pro Retina 13 ที่ถือได้ว่าเป็น MacBook รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ MacBook Air และ MacBook Retina โดยมีอัพเดทสเปกและคุณสมบัติข้างใน ที่หลักๆ ก็คือเปลี่ยนมาใช้ชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง Intel Core i Gen 5 (Boardwell) อย่างในรุ่น Intel Core i5 รหัส U ซึ่งเป็นซีพียูแบบ 2 คอร์ 4 เทรด ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่จัดได้อยู่ในระดับที่ดี รองรับการใช้งานทุกประเภท นอกจากนี้กราฟิกการ์ดยังเป็นแบบออนบอร์ดที่ติดมากับชิปประมวลผลอย่าง Intel HD Graphics 6100 ที่จัดได้ว่ามีสมรรถนะพอตัวรองรับการขับเคลื่อนหน้าจอความละเอียดสูงได้สบายๆ แล้ว พร้อมหน่วยความจำรองมาเป็นแบบ Flash Memory หรือที่เรานิยมเรียกกันว่า SSD (Solid-state drive) รุ่นล่าสุดที่ให้ความเร็วในการเขียนอ่านกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
แน่นอนว่ามาพร้อมกับเทคโนโลยี Retina Display และเลือกใช้เทคโนโลยีหน้าจอพาเนลคุณภาพสูงอย่าง IPS (In-Plane Switching) เหมือนเดิม โดย MacBook Pro Retina 13 นี้มีหน้าจอความละเอียดสูงถึง 2650 x 1600 พิกเซล แต่เวลาใช้งานจริงจะมีพื้นที่ 1280 x 800 พิกเซล ผลที่ได้ก็คือหน้าจอได้ให้ทั้งความคมชัดที่เหนือกว่าหน้าจอทั่วๆ ไป รวมไปถึงสีสันที่สวยจริงอย่างที่สุด สำหรับ MacBook Air หรือ MacBook Pro รุ่นก่อนๆ ได้ใช้เพียงพาเนลแบบ TN ที่คุณภาพสูงเท่านั้น จึงเรียกได้ว่า MacBook Pro Retina 13 นี้ ปัจจุบันเป็นผลิตภัณฑ์ Mac รวมไปถึงเป็นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13 นิ้ว ที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในเรื่องของการแสดงผลก็ว่าได้ ซึ่งมีอยู่ 3 รุ่นด้วยกัน สนนราคาเริ่มต้นที่ 43,900 บาท และ 49,900 บาท ไปจนถึง 59,900 บาท ซึ่งในรุ่นสูงๆ เราจะได้ SSD ความจุที่ใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งชิปประมวลผลที่แรงขึ้น
สเปกโดยรวมของตัวเครื่องของ MacBook Pro Retina 13 ที่เรานำมารีวิวนั้นจะเป็นรุ่นระดับกลาง (ทางทีมงานซื้อมาใช้ส่วนตัวนะครับ Apple จากการสั่งผ่านทาง Apple Online Store) มีการติดตั้งชิปประมวลผลเป็น Intel Core i5-5257U ความเร็ว 2.7GHz ที่มีความสามารถในการเร่งความเร็วไปได้ถึง 3.1GHz ซึ่งมาพร้อม SSD ความจุ 256GB และแรมขนาด 16GB (ตรงนี้ CTO เพิ่มเองครับ เพราะเดิมๆ มาตรฐานมันจะเป็น 8GB) อีกทั้งในส่วนของการเชื่อมต่อก็ยังครบครันตามสไตล์ Mac ทั้ง USB 3.0, Thunderbolt 2.0, HDMI และ Bluetooth 4.0 แน่นอนว่าเป็น WiFi มาตรฐาน 802.11ac ด้วย ยังไงในส่วนของสเปกเต็มๆ ตามดูต่อได้ที่นี่ครับ
- Apple MacBook Pro Retina 13 128GB
- Apple MacBook Pro Retina 13 256GB
- Apple MacBook Pro Retina 13 512GB
Hardware / Design
ด้านดีไซน์การออกแบบ MacBook Pro Retina 13 รุ่นล่าสุดนี้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย เมื่อเทียบกับ 2 รุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งหลักๆ แล้วจะเป็นการถอดแบบมาจาก MacBook Pro Retina 15 ที่ออกมาก่อนก็ว่าได้ โดยประเด็นหลักๆ ตัวเครื่องจะมีความบางเกือบจะเท่า MacBook Air และน้ำหนักเบากว่า MacBook Pro 13 ประมาณหนึ่ง วัสดุในการผลิตอย่างอะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบเดิมที่ให้ความสวยงามและผิวสัมผัสที่ดี รวมทั้งยังใช้เทคโนโลยีการผลิตรูปแบบ Unibody อย่าง MacBook Pro รุ่นผ่านๆ มา โดยทั้งเครื่องประกอบจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตามถือได้ว่า Unibody เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าคู่แข่งในเรื่องของการออกแบบให้มีความบางแต่ยังคงมีความแข็งแรงอยู่ ด้วยความที่ว่าต้องลงทุนสูงด้วยค่าเครื่องจักรตัดโลหะด้วยคอมพิวเตอร์ CNC ประกอบกับปริมาณในการผลิตต่อวัน ไม่สามารถผลิตได้จำนวนมาก ทำให้จำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม ซึ่งทาง Apple เองก็สามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตมีต้นทุนที่ไม่สูงมากแต่สามารถจำหน่ายได้ราคา ซึ่งเป็นอะไรที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ นำไปทำตามได้ยาก
ดีไซน์การออกแบบดูผ่านๆ แม้ดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลยจากรุ่นก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านความบางที่ 19 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักที่ 1.62 กิโลกรัมเท่านั้น รวมไปถึงการเชื่อมต่อต่างๆ ก็มีให้เหมือนเดิมกับ MacBook Pro Retina 13 รุ่นก่อนๆ แน่นอนส่ามาพร้อมเอกลักษณ์ชัดเจน ก็คือ MacBook โลโก้ Apple ที่สามารถเปล่งแสงได้ตามความสว่างของหน้าจอ ทำให้มีความโดดเด่นเวลาที่เราเอาไปใช้งานทีเดียว
ด้านล่างตัวเครื่องของ MacBook Pro Retina 13 จะเห็นว่าแทบไม่ต่างจาก MacBook Air หรือ MacBook Pro เลย แต่ถ้ามามองกันให้ดีๆ จะเห็นความแตกต่างอยู่บ้าง อย่างการที่ย้ายคำว่า MacBook Pro มาอยู่ด้านล่าง โดยส่วนที่เป็นสี่ดำกลมจะเป็นยางรองตัวเครื่องทั้ง 4 ด้าน สำหรับส่วนของน็อตก็เป็นแบบพิเศษเช่นเดียวกับตัว MacBook Air, MacBook Pro Retina 15 (ลักษณะเป็นแบบดาว 5 แฉกตรงกลางลึกลงไป) ที่เรียกได้ว่าใครจะหาซื้อไขควงมาแกะคงต้องลำบากกันเสียหน่อย (แต่เอาจริงก็แกะได้ไม่ยากนักหากมีเครื่องมือ) คาดการณ์ว่าเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้งานอย่างเราๆ สามารถแกะเครื่องได้ตัวเองง่ายๆ แต่ใน MacBook Pro 13, 15 ยังคงใช้แบบหัวสี่แฉกมาตรฐานอยู่
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดยังได้คงรูปแบบเดิมไว้ซึ่งก็ถือว่าทำไว้ดีอยู่แล้วเช่นกันตามสไตล์ของ Mac กับคีย์บอร์ด 4 แถวขนาด Full Size อีกทั้งด้านการใช้งานในการพิมพ์ ก็ยังตอบสนองได้เป็นอย่างดีทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด รวมทั้งแป้นก็เด้งกับนิ้วเมื่อกดลงไปอย่างพอดี ที่สำคัญมาพร้อมกับไฟส่องสว่างคีย์บอร์ด หรือหลายๆ คนอาจจะเรียกว่า Backlit Keyboard ที่สามารถใช้งานจริงได้สมบูรณ์แบบ ไม่แยงตาอย่างโน๊ตบุ๊คบางรุ่นบางยี่ห้อ และสามารถปรับระดับไฟได้ตามต้องการของลักษณะแสงและ Ambient Light Sensor คอยปรับความสว่างไปอัตโนมัติอย่างนุ่มนวลทั้ง Backlit Keyboard และความสว่างของหน้าจอ ส่วนด้านบนของแป้นคีย์บอร์ดที่เป็นปุ่ม F1-F12 จะเป็นปุ่มฟังก์ชุ่นการทำงานพิเศษ อาทิเช่น การปรับความสว่างหน้าจอ เพิ่มเสียงลดเสียง และเรียกใช้งาน Mission Control, Launchpad & Dock
ทัชแพด หรือใน Mac จะเรียกว่า Trackpad ยังคงมีลักษณะรูปแบบหน้าตาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงถ้าดูด้วยตาเปล่า ทั้งในเรื่องของสัดส่วนขนาด ที่เป็นวัสดุที่ทำออกมาได้ดี สามารถลากนิ้วได้ลื่น ไม่เกิดอาการสะดุดหรือหน่วงใดๆ รวมถึงการใช้งาน Multi-Touch Gesture แต่ล่าสุดทาง Apple ได้บรรจงใส่เทคโนโลยี Force Touch แทนแบบเดิมๆ ที่เพียงคลิกได้เท่านั้น แต่รองรับถึงแรงกดระดับต่างๆ ด้วย แน่นอนว่าในการใช้งานนั้นดีกว่าแบบเดิมๆ จากการที่ได้มีการนำ Taptic Engine ที่จะสั่นตอบสนองกับแรงกดของเราเข้าไปใต้ Trackpad ด้วย ทำให้เวลาเราออกแรงกดลงไปบน Trackpad มันจะมีการสั่นที่ไม่รู้สึกว่าเป็นการสั่นเลย แต่จะรู้สึกเหมือนเป็นการคลิกซะมากกว่าด้วย (ทั้งๆ ที่เอาระบบคลิกเดิมๆ ออกไป) ซึ่งเป็นการหลอกความรู้สึกผู้ใช้งานที่เนียนๆ มาก เรียกได้ว่ามันเป็น Trackpad แบบเดิมก็เชื่อเลย แต่แค่มีลักษณะการกดที่ตื้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง
จากการใช้งานจริงๆ ได้มีใส่น้ำหนักในการกดลงไปบน Trackpad พบว่าจะมีจังหวะความรู้สึกในการคลิกระดับที่สองเกิดขึ้น ซึ่งนั่นก็คือการทำงานของ Force Touch นั่นเอง พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อออกแรงกดตามปกติ เราจะรู้สึกเหมือนคลิกไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ๆๆ ถ้าเราใส่แรงเพิ่มมากขึ้นกดต่อไปอีก มันจะเกิดความรู้สึกเหมือนคลิกที่สองที่อยู่ลึกลงไป ซึ่งเราจะเห็นผลในการใช้งานบางโปรแกรมเท่านั้นในตอนนี้
โดยรวมแล้ว Force Touch บน Trackpad เป็นอะไรที่ใหม่มากๆ สำหรับการใช้งานทัชแพด ที่เช่ือได้ว่าคงมีโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ใช้งานตามมากอีก มีความโดดเด่นในคลิกได้ทุกพื้นที่ของ Trackpad และรองรับแรงกดในหลายระดับได้ด้วย สำหรับคนที่ใช้ทัชแพดปกติหรือ Trackpad รุ่นก่อนๆ คงต้องปรับตัวกันหน่อย แต่เชื่อว่าพอได้ลองใช้งานจริงแล้วต้องชอบกันอย่างแน่นอน รวมไปถึง Force Touch บน Trackpad ยังรองรับการวาดรูปด้วยปากกาด้วยนะ อารมณ์น่าจะใกล้เคียงใช้ Wacom เลยทีเดียว ยังไงถ้ามีโอกาสเราจะมาเจาะลึกส่วนนี้กันอีกที
Screen / Speaker
หน้าจอของ MacBook Pro Retina 13 นี้เป็นแบบ Glare หรือจอกระจกด้วยการใช้กระจกเพียงชิ้นเดียวกั้นน้าจอเอาไว้ ที่ให้มีสีสันที่สดใส ที่สำคัญแสงสะท้อนที่เกิดขึ้นมีน้อยลงกว่า MacBook Pro 13 มาก หรือเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่เป็นจอกระจกด้วยกันจะเห็นได้ชัดว่า มีการสะท้อนแสงที่น้อยกว่าพอสมควร ซึ่งถ้าใครกังวลเรื่องแสงสะท้อน รวมไปถึงมีความสวยงามกว่า MacBook Air ที่เป็นพาเนล TN ปกติ ส่วนบริเวณขอบจอโดยรอบจะมียางรองไว้ป้องกันการที่ตัวเครื่องและฝากระทบกันในตอนที่ปิดฝาเครื่องลง และสำหรับเทคโนโลยีหน้าจอ Retina Display ใน MacBook Pro Retina 13 ซึ่งมีความละเอียดอยู่ที่ 2650 x 1600 พิกเซล ที่มีความหนาแน่นของพิกเซลสูงถึง 227 ppi เรียกได้ว่ามีความหนาแน่นกว่า MacBook Pro Retina 15 แต่มีพื้นที่ในการใช้งานจริงมาตรฐานที่ 1280 x 800 พิกเซลเท่านั้น (อย่างไรก็ตามเราสามารถปรับขยายพื้นที่ได้ในการใช้งานบางกรณ แต่ก็จะสูญเสียความเป็น Retina Display ที่มีความเรียบเนียนไป)
กล้องเว็บแคมหรือที่ทาง Apple เรียกว่า FaceTime HD camera มาพร้อมกับความละเอียด 720P ซึ่งเมื่อใช้งานจะมีไฟสีเขียวติดขึ้นมา ที่น่าสนใจก็คือด้านข้างของกล้องยังได้มีการติดตั้ง Ambient light sensor ไว้ทำหน้าที่ในการตรวจสภาพปริมาณแสงรอบๆ เพื่อคอยปรับความสว่างหน้าจอและคีย์บอร์ดให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ
สำหรับบานพับของ MacBook Pro Retina 13 ดูแล้วค่อนข้างเหมือนเดิมก็คือเป็นแบบแกนเดียวที่ให้ความแข็งแรงเมื่อใช้งานและไม่หลวมหรือคลอนง่ายๆ เมื่อใช้งานไปนานๆ แต่ความจริงแล้วในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ได้เปลี่ยนไปนิดหน่อย สังเกตุได้ว่ามีขนาดเล็กลงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มพื้นที่ในช่องว่างของช่องทางระบายความร้อนให้มีมากกว่าเดิม แต่ในการใช้งานจริงเรื่องการปิดเปิดบานพับก็ยังคงแน่นไม่ต่างไปจากเดิมเลย ประกอบกับทาง Apple ยังได้มีการติดตั้งแม่เหล็กไว้บริเวณขอบฝาด้านบนไว้สองตำแหน่งทั้งซ้ายและขวา เพื่อให้ตัวเครื่องและฝาประกบกันสนิท แต่ก็ไม่ถืงกับทำให้เปิดฝาขึ้นมาใช้งานลำบากแต่อย่างใด
MacBook Pro Retina 13 ลำโพงสเตอริโอจะติดตั้งบริเวณด้านข้างของตัวเครื่องทั้งซ้ายขวา ที่ปกติตรงจุดนี้จะเป็นช่องดูดอากาศเย็นใน MacBook Pro Retina 15 ที่จากการทดลองใช้งานจริง พบว่าเป็นลำโพงที่มีคุณภาพให้เสียงที่ดีกว่าเดิมเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนๆ แต่ก็ยังถือว่าด้อยกว่าลำโพงของ MacBook Pro Retina 15 พอสมควร เพราะให้ได้เพียงเสียงแหลม เสียงกลางเท่านั้น โดยเสียงทุ้มที่ก็มีมาให้เรียกได้ว่าแทบไม่มี ลักษณะเสียงออกไปแนวกลางๆ ไม่ค่อยใสเคลียร์เท่าใดนัก โดยส่วนตัวจัดว่าพอฟงัได้ใช้งานได้ แต่ถ้าให้ดีคงจะเลือกต่อลำโพงแยกหรือหูฟังมากกว่า
Connector / Thin And Weight
MacBook Pro Retina 13 จากด้านข้าง เราจะเห็นถือความบางเฉียบที่มีมากกว่าโน๊ตบุ๊คขนาด 13 นิ้วทั่วไปพอสมควร เรียกได้ว่าเทียบกับ MacBook Air หรือ Ultrabook ในบางรุ่นได้อย่างสบายๆ ทีเดียว ซึ่งในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อของตัว MacBook Pro Retina 13 ที่ตามภาพจะเป็นด้านซ้าย ประกอบไปด้วย ช่องเสียบสายชาร์จไฟ Magsafe 2 ที่มีรูปแบบที่บางลงกว่า MacBook Pro และ MacBook Air ตัวก่อนปัจจุบัน มีลักษณะพิเศษคือ เป็นแม่เหล็กดูดติดกับเครื่อง เรียกได้ว่ามีความปลอดภัยในการใช้งานสูงหากเราไม่สะดุดสายไฟ ตัวเครื่องก็จะไม่ตกลงมา ซึ่ง Magsafe เป็นสิทธิบัตรของ Apple เพียงรายเดียว ฉะนั้นแล้วเราจะเห็นที่ชาร์จแบบนี้ได้ ก็จะมีเพียง MacBook เท่านั้น ในการใช้งานหากไฟแบตเตอรี่เต็มจะมีไฟแสดงสถานะเป็นสีเขียว แต่ถ้าหากกำลังชาร์จไฟก็จะเป็นสีส้ม
ถัดมาก็จะเป็นช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt ที่มีการติดตั้งมาให้ถึง 2 ช่องทางด้วยกัน ที่นอกเหนือจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นช่องทางการแสดงผล Display Port ได้อีกด้วย สำหรับพอร์ต USB 3.0 ด้านซ้ายนี้ได้มีใส่มาจำนวน 1 ช่อง และพอร์ตหูฟังที่รองรับการเชื่อมต่อไมค์ขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรในตัวอีกหนึ่งช่องด้วยกัน นอกเหนือจากนี้ไมโครโฟนจำนวน 2 ตัวยังได้อยู่ติดตั้งบริเวณนี้อีกด้วย
ด้านข้างทางขวาก็จะเป็นในส่วนของช่องอ่านการ์ดที่รองรับการ์ดความจำยอดนิยมอย่าง SD Card, SDXC Card รวมถึงได้ติดตั้งพอร์ตแสดงภาพดิจิตอล HDMI มาในผลิตภัณฑ์ Mac เป็นมาตรฐาน สุดท้ายกับพอร์ต USB 3.0 อีกหนึ่งพอร์ต รวมกับด้านซ้ายก็จะมีทั้งหมดทั้งเครื่องอยู่ 2 พอร์ตด้วยกัน ตามสไตล์ของ MacBook ที่ไม่ต้องการให้มีมากจนเกินไป เพราะจะมีผลต่อรูปแบบดีไซน์
มิติของตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 13 อยู่ที่ ความหนา (ความสูง) 1.9 เซนติเมตร / กว้าง 31.4 เซนติเมตร / ยาว 21.9 เซนติเมตร และมีน้ำหนักจะอยู่ที่ 1.62 กิโลกรัม ส่วนอแดปเตอร์ก็มีขนาดที่เล็กกว่าเทียบเท่าได้กับพวก Ultrabook จากการทดลองพกพาใข้งานจริงดูแล้วก็ถือว่ามีความทำได้ดีกับมาตรฐานโน๊ตบุ๊คบางเบาขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว แต่ก็ยังเป็นรอง Ultrabook ระดับสูงในบางรุ่น อย่าง Dell XPS 13 ที่ได้ทั้งความบางเบาและขนาดมิติตัวเครื่องที่เล็กกว่า
Performance / Software
ด้านซอฟต์แวร์บน MacBook Pro Retina 13 รุ่นนี้ แน่นอนว่า Mac ทุกเครื่องนั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการของตัวเองอย่าง OS X ซึ่งในตอนนี้เวอร์ชั่นล่าสุดก็เป็นในส่วนของ 10.10 ที่มีชื่อว่า Yosemite โดยจะมีเวอร์ย่อยลงมาอีก อย่างใน MacBook Air 13 [Early 2015] เครื่องนี้ก็จะเป็น OS X 10.10.2 แล้ว ที่เร็วๆ นี้จะมีการเปลี่ยนเป็น OS X 10.10.3 อีกทีหนึ่ง
ซึ่งตัว OS X เองสามารถตรวจสเปกของ Mac เครื่องนั้นๆ ได้ง่ายๆ ผ่านทาง About This Mac ซึ่งจากภาพก็แสดงให้เห็นถึงว่า Mac รุ่นนี้คือรุ่นอะไร ปีไหน และสเปกคร่าวๆ อย่าง ชิปประมวลผล, แรม, กราฟิกการ์ด, ซีเรียลนับเบอร์ และเวอร์ชั่นของ OS X โดยถ้าใครต้องการชมแบบละเอียดๆ ก็สามารถกดเข้าไปชมกันได้ที่ปุ่ม System Report ได้เลยครับ ซึ่งเรียกว่าเราจะพบกับข้อมูลและสเปกแบบละเอียดสุดๆ ไปเลย ว่าชิ้นส่วนไหนใช้อะไร ของแบรนด์ไหนบ้าง อันนี้คงไม่เจาะลงไปนะครับ เพราะมันยิบย่อยมากๆ
Benchmark (OS X)
โปรแกรมทดสอบเครื่องที่นิยมในฝั่ง Mac ก็คือ GeekBench ซึ่งคะแนนที่ได้ออกมาก็สามารถนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลคะแนนเฉลี่ยนของ GeekBench เองได้ โดยในส่วนของ MacBook Pro Retina 13 ชิปประมวลผล Core i5 Gen 5 มาพร้อมประสิทธิภาพที่เหนือกว่า MacBook Air ที่เป็น Core i7 เล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นรองในส่วนของ MacBook Pro Retina 13 ที่เป็น Core i5 Gen 4 ที่มีความเร็วสูงกว่า เล็กน้อยเหมือนกัน ซึ่งถ้าใครสนใจตารางเทียบประสิทธิภาพทุกรุ่นของ Mac ก็สามาตรเข้าชม ที่นี่ ได้เลย
โดยทดสอบพลังการประมวลผลของทั้งซีพียูเป็นหลักด้วยโปรแกรม Cinebench R15 ในฝั่ง OS X ของ MacBook Pro Retina 13 คะแนนที่ออกมานั้นถือได้ว่าดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งชิปประมวลผล Intel Core i5-5257U ที่มาพร้อมกราฟิกการ์ด Intel HD Graphics 6100 ให้ผลคะแนน OpenGL ที่มากกว่า MacBook Air 13 รุ่นปัจจุบันพอสมควร ที่แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นชิปประมวลผลรหัส U เหมือนกัน แต่ถ้าเน้นประสิทธิภาพแล้ว MacBook Pro Retina 13 ยังไงก็เหนือชั้นกว่า
อีกส่วนที่หลายๆ คนอยากทราบทดสอบกันที่สุดก็คือความเร็วของ SSD ที่อยู่บน MacBook Pro Retina 13 โดยเครื่องที่ทดสอบได้ติดตั้ง SSD เป็นของ Samsung ขนาดความจุ 256GB สามารถทำความเร็วเฉลี่ยในการอ่านได้ที่เกือบ 1300 MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนจะอยู่ช่วงเกือบ 1200 MB/s ด้วยกัน ซึ่งก็คงเป็นผลมาจากการใช้การเชื่อต่อแบบ PCIe ที่โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ระดับสูงนิยมใช้กัน รวมไปถึง SSD ประสิทธิภาพสูงจากทาง Samsung อีกด้วย ซึ่งเทียบกับรุ่นก่อนหน้าดีขึ้นกว่า 50% ถึงเกือบ 100% เลยทีเดียว
Benchmark (Windows 8)
มาถึงส่วนที่หลายๆ คนน่าจะให้ความสนใจกัน นั่นคือการทดสอบ MacBook Pro Retina 13 บนระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 ที่ติดตั้งผ่านทางซอฟต์แวร์ Bootcamp ซึ่งการติดตั้ง Bootcamp นั้นก็เหมือนกับการติดตั้ง Windows ในโน๊ตบุ๊คทั่วไปเลย ไม่มีการลดทอนประสิทธิภาพการทำงานลง เพราะมันก็คือการใช้งาน Windows บนเครื่องตรงๆ นั่นเอง แถมยังสะดวกกว่าด้วย เพราะสามารถโหลดไฟล์รวมไดร์ฟเวอร์จาก Apple มาเป็นชุดเดียวเลย คลิกติดตั้งครั้งเดียว แล้วก็รอจนเสร็จซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก
Windows ที่ใช้ในการทดสอบก็คือ Windows 8.1 ที่ทำการอัพเดทล่าสุดแล้ว ซึ่งก็ตรงนี้ทำให้เราเห็นสเปกชัดเจนของชิปประมวลว่าเป็นรุ่น Intel Core i5-5250U โดยมาพร้อมกับแรมขนาด 4GB
โปรแกรม Cinebench R11.5 เทียบกันระหว่างฝั่งรุ่นก่อนหน้า กับรุ่นที่ทดสอบในเรื่องของความเร็วในการทำงานนั้นเต็มที่ตลอดการทดสอบจริงๆ จากการวัดอัตราการใช้งานซีพียูที่เต็มประสิทธิภาพเต็มความเร็วทั้งคู่ โดยผลที่ออกมาก็คือส่วนของกราฟิก OpenGL ฝั่ง MacBook Air 13 รุ่นปัจจุบัน ทำผลคะแนนได้ดีกว่าเล็กน้อย ส่วนคะแนนชิปประมวลผลนั้นก็ทำได้พอๆ กันเท่านั้น
ส่วนการทดสอบด้วยเกมนั้น เกมพื้นฐานอย่าง Resident Evil 6 นั้นก็ตั้งค่าความละเอียดแบบ Default ที่ 1280 x 720 พิกเซล ได้คะแนนอยู่ที่ระดับกลางๆ อย่าง Rank C โดยมีคะแนนอยู่ที่ 2292 ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงคะแนนที่มากกว่าโน๊ตบุ๊คสเปกทีใกล้เคียงกันอีกครั้ง ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ใช้ฮาร์ดดิสก์เป็น SSD แบบไม่ต้องสงสัยทั้งๆ ที่ใช้เพียงกราฟิการ์ดแบบออนบอร์ดเท่านั้น แต่ก็ถือได้ว่าน่าประทับใจแล้วเพราะเกมนี้อย่างที่รู้ๆ กันก็คือตัว Benchmark ค่อยข้างกินทรัพยากรเครื่องพอสมควร
สำหรับ Street Fighter 4 ที่ตั้งค่าเป็น Default บนความละเอียด 1280 x 720 พิกเซล ผลคะแนนก็ได้เท่าๆ กับโน๊ตบุ๊คที่มีสเปกใกล้เคียงกันเช่นกัน ที่สำคัญยังได้คะแนนมากถึง 12391 คะแนนด้วยกัน ที่แสดงให้เห็นถึงฮาร์ดแวร์ที่ทาง Apple เลือกสรรค์มามีความเข้ากันได้เป็นอย่างดี โดยสำหรับเกมนี้ถือได้ว่าพอจะเล่นได้แบบสบายๆ เพราะกราฟิกกินไม่ค่อยมากอยู่แล้ว
อีกเกมหนึ่งที่โดยส่วนตัวเล่นเป็นประจำอย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1280 x 800 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ แน่นอนว่าที่ความละเอียด Native 2650 x 1600 พิกเซล ไม่สามารถเล่นอย่างลื่นๆ ได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดเกือบทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่น ระดับเฟรมเรทอยู่ที่ประมาณ 50-60 แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 30 ขึ้นไปตลอด
สรุปโดยรวมแล้วคือเล่นได้สบายๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นคมชัดหรือเอฟเฟคมากมายอะไร ซึ่งในการทดลองเล่นเกม DOTA2 ใน Windows นะครับ (แม้จะมีในเวอร์ชั่นของ OS X) ส่งผลให้เวลาจะเล่นเกมก็ต้องสลับไปทาง Windows แทน จากที่ปกติจะทำงานใน OS X เป็นหลัก แต่ก็ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะตัว OS X และ Windows 8 ใช้เวลาในการเปิดปิดเครื่องที่เร็วมากๆ อยู่แล้ว เอาเป็นว่าในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานด้วยชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ดดีขึ้นแบบรู้สึกได้เลยทีเดียว สำหรับ MacBook Pro Retina 13 รุ่นนี้
Battery / Heat / Noise
ในการทดสอบเรื่องของการใช้งานแบตเตอรี่ที่มีความจุ 6600 mAh บน MacBook Pro Retina 13 นั้น ด้วยความที่เป็นระบบปฏิบัติการ OS X จึงสามารถจัดการพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยในสถานะเครื่องเปิดไว้เฉยในสถานะแบตเตอรี่ 100% โดยทดสอบตามสถานะตามการใข้งานจริงด้วยการปรับความสว่างบนหน้าจออยู่ที่ 50% และไฟคีย์บอร์ด Backlit ปรับไว้ที่ 50% เช่นกัน ผลเวลาที่ได้ออกมาจะอยู่ที่ประมาณ 8 ชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งเหากใช้งานบน Windows ระยะเวลาของแบตเตอรี่น่าจะน้อยลงกว่านี้ โดยจะอยู่ที่ประมาณ 6 ชั่วโมงกลางๆ เท่านั้น
เรื่องความร้อนของเครื่องที่ทดสอบด้วยโปรแกรม Hardward Monitor นั้น ในภาพด้านบนเป็นการวัดในขณะเครื่องไม่ได้เปิดโปรแกรมอื่น (ดูที่ค่า Min) ซึ่งก็คืออยู่ในสถานะ idle อุณหภูมิที่ออกมาจัดได้ว่าค่อนข้างเย็น ส่วนตัวเครื่องอุณหภูมิโดนรอบตัวเครื่องทั้งหมดก็ถือว่ามีอุณหภูมิที่ต่ำ เนื่องด้วยความสามารถของตัววัสดุที่ช่วยถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็ว รวมไปถึงพัดลมระบายความร้อนก็หมุนรอบที่น้อยลงกว่าเดิม แน่นอนว่าด้วยอุณหภูมิที่ต่ำลงคงต้องยกความดีความชอบให้กับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 5 ที่กินไฟต่ำ แต่ยังคงให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าเดิม
เรื่องอุณหภูมิบริเวณตัวเครื่อง เมื่อทำการเบิร์นให้ทำงาน 100% ได้ค่าอุณหภูมิซีพียูภายในชิปประมวลผลอยู่ที่ประมาณ 102 – 105 องศาเซลเซียส จากค่า Max) เพื่อที่จะได้ทำเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพที่สุด โดยมีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 40 องศาเซลเซียส ในอุณหภูมิห้องที่ 27 องศาเซลเซียส โดยประมาณ แต่ละตำแหน่งตามตัวเครื่อง ที่เป็นส่วนของที่พักมือกับ Trackpad และส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง จะเห็นได้ว่าแทบไม่มีความร้อนออกเลย นั่นก็เพราะบริเวณส่วนนี้ไม่มีอะไรนอกเหนือจากแบตเตอรี่
ส่วนบริเวณของกลางเครื่องที่เป็นที่อยู่ของชิปประมวลผลจะเห็นว่ามีอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง แต่การใช้งานจริงเพียงแค่รู้สึกร้อนๆ นิดหน่อยเท่านั้นเวลาใช้งานระดับ 100% ต่อกันที่ตำแหน่งใกล้ Magsafe จะมีอุณหภูมิสูงหน่อยกรณีที่เราชาร์จไฟ แต่ถ้าแบตเตอรี่เต็มแล้วก็จะไม่มีความร้อนแต่อย่างใด สรุปรวมๆ แล้วความร้อนภายในตัวเครื่องไม่มีผลกับการใข้งานแต่อย่างใดครับ ที่สำคัญพัดลมยังมีเสียงที่ค่อยข้างเงียบกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็ขอแนะนำว่าหากจำเป็นต้องใช้งานหนักหรือประมวลผลสูงๆ ก็ให้มาใช้ในห้องที่เย็นหน่อย นอกจากนี้เครื่องของ MacBook Pro Retina 13 ยังสามารถคลายความร้อนได้อย่างรวดเร็วจากบอดี้ที่เป็นวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยด์อีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ติดฟิล์มไม่ใส่เคสที่ตัวเครื่องจะดีที่สุดครับ
Conclusion / Award
MacBook Pro Retina 13 [Early 2015] นับเป็นผลิตภัณฑ์จาก Apple กับไลน์ MacBook Pro ที่เป็นเพียงการอัพเดทสเปกและใส่เทคโนโลยี Touch Force Trackpad มา กับโน๊ตบุ๊คขนาด 13 นิ้ว ที่มีความบางเบาโดยใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i5 Gen 5 สถาปัตยกรรม Boardwell ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ รวมไปถึงได้มีการเลือกใช้หน่วยความจำสำรองเป็นแบบ SSD ความเร็วสูงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ส่งผลให้สามารถรีดประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนใน MacBook และที่สำคัญเป็น MacBook ที่ใช้เทคโนโลยี Retina Display รุ่นถูกที่สุด (เริ่มต้นที่ 43,900 บาท) ที่ให้ทั้งภาพที่สวยสมจริงและมีความคมชัดอย่างที่สุด อย่างที่เคยเห็น
สำหรับ MacBook Pro Retina 13 ที่ทางทีมงานนำมารีวิวนั้นเป็นเครื่องส่วนตัว มาพร้อมชิปประมวลผลเป็น Intel Core i5-5250U ความเร็ว 1.6GHz อีกทั้งยังเพิ่มความเร็วไปได้ถึง 2.7GHz ระบบการทำงานเป็นแบบ 2 คอร์ 4 เธรด แรมเป็นแบบถอดเปลี่ยนเองไม่ได้ติดเครื่องมาให้จำนวน 16GB (มาตรฐานคือ 8GB) ที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปอย่างสบายๆ ส่วนกราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นล่าสุดอย่าง รวมไปถึงยังเป็นฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ความเร็วสูง แน่นอนว่าความเร็วนั้นดีกว่าฮาร์ดดิสก์ปกติ 6-8 เท่า อีกทั้งด้วยระบบปฏิบัติการ OS X 10.8 Mountain Lion ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้มีการเข้ากันทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้เป็นอย่างดี มีความสเถียรแบบไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะแฮงค์หรือค้าง แถมยังมีการแสดงภาพ User Interface ที่ดูแล้วสวยงามลงตัว ที่สำคัญในเรื่องของการตื่นจาก Sleep ก็ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ซึ่งจริงๆ แล้วถึงแม้ว่า MacBook Pro ที่เป็นฮาร์ดดิสก์แบบปกติก็สามารถทำได้ซักพักแล้วโดยไม่ต้องอาศัย SSD เหมือนอย่าง Ultrabook ที่ใช้ Windows เลย อีกทั้งใช้เวลา Boot ประมาณ 10 วินาทีเท่านั้นเอง ที่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลมาจาก SSD ที่ติดตั้งมาให้
ด้านงานประกอบของ Apple หลายๆ คนคงทราบเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่ามีความสมบูรณ์แค่ไหน รวมไปถึงวัสดุที่ใช้เป็นส่วนประกอบก็จัดได้ว่าเป็นชั้นดีทั้งสิ้น จวบจนการดีไซน์ออกแบบของตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 13 นั้น เชื่อได้ว่าทุกคนที่ได้เห็นต้องชอบมันอย่างแน่นอน ด้วยการเน้นแนวทางการอกแบบที่ดูเรียบๆ แต่หรูหรา ยิ่งมีในส่วนของฝาหลังรูป Apple มีแสงไฟเปล่งออกมา ยิ่งทำให้น่าจับจองมาใช้งานเพิ่มขึ้นไปอีก รวมไปถึงความบางและน้ำหนักที่น้อย ทำให้สะดวกในการพกพากว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปขนาดหน้าจอ 13 นิ้ว อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานสูงสุดประมาณ 10 ชั่วโมงด้วยกัน
นอกเหนือจากนั้นตัวคีย์บอร์ดเองก็มีไฟ Backlit ทำให้เพิ่มความสะดวกในการใช้งานที่มีแสงน้อยยิ่งขึ้น เรื่องของสัมผัส Trackpad และคีย์บอร์ดก็ให้ความรู้สึกที่ดีในการใช้งานแบบรู้สึกได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คตัวอื่นๆ อีกทั้งยังมีช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต และ Bluetooth เวอร์ชั่น 4.0 ที่มีเอาไว้เผื่อใช้ในอนาคต
ที่สำคัญกับการมาของ Force Touch Trackpad เทคโนโลยีล่าสุดจากทาง Apple ที่นำมาใส่ใน MacBook Pro Retina 13 รุ่นใหม่นี้ ยังเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในก่อนในโน๊ตบุ๊ค ซึ่งช่วยในการทำงานได้เป็นอย่าง เพราะเป็นทัชแพดตอบสนองรองรับต่อแรงกดได้ จากการที่มีเซ็นเซอร์พิเศษ ส่งผลให้สามารถรับรู้ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยของน้ำหนักแรงกดได้ เราจึงสามารถสัมผัสการควบคุมมากขึ้นอีกระดับ จากฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ที่แม้ว่าตอนนี้อาจจะไม่มีหลายฟังก์ชั่นนัก แต่ในอนาคตน่าจะมีออกมาอีกมากมาย
สรุปปิดท้ายกับ MacBook Pro Retina 13 [Early 2015] ที่ต้องบอกว่าเป็นโน๊ตบุ๊คอีกหนึ่งรุ่นที่น่าสนใจจริงๆ จากทาง Apple เพราะถือได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับหน้าจอความละเอียดสูงในราคาที่ไม่แพงจนเกินไปอีกรุ่นหนึ่ง สนนราคาก็เริ่มต้นที่ 43,900 บาทเท่านั้น เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คซักเครื่องที่มีความเหนือชั้นในเรื่องของหน้าจอการแสดงผล รวมไปถึงมีความพรีเมียมตามแบบฉบับของ Mac แล้วล่ะก็ กำตังค์ไปซื้อได้เลยครับ ในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานก็ดียิ่งขึ้นทั้งการประมวลผลและกราฟิกโดยรวม ส่งผลให้เราทำงานได้รวดเร็วขึ้น ที่สำคัญด้วย SSD รุ่นใหม่ล่าสุดที่เป็น PCIe ซึ่งทำความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลได้สูงมากๆ ระดับ 1000 – 1300 M/s เลยทีเดียว
เอาเป็นว่าถ้าใครเงินถึงระดับ 4-5 หมื่นบาทแล้วต้องการซื้อ MacBook ล่ะก็ MacBook Pro Retina 13 น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องประสิทธิภาพต่อการพกพาอยู่ เรียกได้ว่าพัฒนามาจากรุ่นแรกพอสมควรในแทบทุกด้านเลย ส่วนถ้าใครมีงบประมาณอยู่ในช่วง 6-8 หมื่นบาท ที่ต้องการใช้งานเน้นประสิทธิภาพแบบสุดๆ ก็ให้เลือกเป็น Macbook Pro Retina 15 ได้เลย หรือถ้าใครต้องการบางเบาในราคาที่ถูกที่สุดก็ให้เลือกเป็น MacBook Air 13 แบบไม่ต้องคิดมากครับ
จุดเด่น
- เป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 13 นิ้ว มีขนาดบาง น้ำหนักเบา สามารถพกพาไปได้สะดวก
- มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้เป็นอย่างดี ด้วยชิปประมวลผล, แรม และ SSD
- Retina Display หน้าจอจอความละเอียดสูง ภาพคมชัด พาเนล IPS ให้สีสันที่ดี มุมมองกว้าง
- เปิดเครื่องหรือตื่นจากโหมด Sleep, Boot เครื่อง และเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้อย่างรวดเร็ว
- ดีไซน์การออกแบบสวยและงานประกอบมีความประณีต ด้วยวัสดุชั้นดีอย่างอะลูมิเนียมแบบ Unibody ตัวเครื่องแข็งแรง
- มีไฟ Backlit Keyboard ที่ใช้งานได้อย่างสบายตา
- สามารถสั่งอัพเกรดสเปกได้โดยตรงตั้งแต่ตอนสั่งซื้อ (ซีพียู, ฮาร์ดดิสก์, แรม)
- Force Touch TrackPad เป็นเทคโนโลยีใหม่ สามารถตอบสนองการใช้งานได้ดี
- มีช่องทางเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.0 อีก 2 พอร์ต
- มีพอร์ตแสดงผลมาตรฐานอย่าง HDMI
- ระบายความร้อนทำออกมาได้ดี พร้อมพัดลมที่ออกแบบพิเศษที่ลดเสียงรบกวน
- ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานประมาณ 10 ชั่วโมง
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Mac OS X 10.10 ที่มีคุณสมบัติมากมาย
- มีอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้มาก ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดเคส ซอฟต์เคส หรืออื่นๆ ที่ออกแบบมาเฉพาะ
ข้อสังเกต
- สเปกฮาร์ดแวร์ภายในต่อราคาจำหน่ายไม่ค่อยมีความคุ้มค่ามากนัก
- ด้วยวัสดุเป็นอะลูมิเนียม ถ้าปลั๊กไม่มีการเดินสายดินไว้ อาจเกิดไฟดูดบ้างเล็กน้อย
- ไม่สามารถอัพเกรดใดๆ ได้เลยในภายหลัง (อย่างน้อยก็ในขณะนี้)
- ในการแกะฝาใต้เครื่องทำได้ยาก เพราะต้องใช้ไขควรเฉพาะ
- ราคาของอุปกรณ์ที่ใช้งานกับพอร์ต Thunderbolt ยังมีราคาที่ค่อนข้างแพงอยู่ จึงอาจใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพในขณะนี้
- มีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง MacBook Pro Retina 13 [Early 2015] ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Apple มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดใน MacBook Pro Retina 13 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรู ประกอบการงานการประกอบระดับคุณภาพ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งความบางของตัวเครื่องก็ถือว่าทำได้ดีเทียบเท่ากับ MacBook Air ทีเดียว ฉะนั้นในเรื่องของรางวัล Best Design ทำให้ได้ไปอย่างไม่ยากเย็น
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ MacBook อยู่เช่นเดิม ทั้งในความบางเพียง 19 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 1.62 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะฮาร์ดแวร์ไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก จึงทำให้ MacBook Pro Retina 13 ได้รับรางวัล Best Mobility ไปอย่างง่ายดาย
Best Technology
นอกเหนือจากสเปกตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 13 จะมีความใหม่สดแล้ว ยังได้มีการเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ยังมีในส่วนของพอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt ที่ให่มาถึง 2 พอร์ตการใช้งาน อีกทั้งในเรื่องของหน้าจอและความละเอียดจอก็มาในระดับที่สูงยังมาเป็นแบบ Retina Display ที่เป็นพาเนลจอคุณภาพสูงระดับมืออาชีพอย่าง IPS กับความละเอียด 2650 x 1600 พิกเซล ที่ให้ในส่วนของสีสันที่สวยสมจริงและมุมมองกว่าใกล้ จึงทำให้คว้ารางวัล Best Technology ไป
Best Battery Life
แม้ว่าในตัวของ MacBook Pro Retina จะอัดแน่นไปด้วยสเปกหรือเทคโนโลยีต่างๆ แต่ในเรื่องของการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉลี่ยแล้วถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ได้นานถึงประมาณ 10 ชั่วโมงด้วยกัน ส่งผลให้ได้รางวัล Best Battery Life ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นผลมาจากการที่ Apple ได้ใส่แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลิเมอร์ความจุ 6600 mAh เข้าไป อีกทั้งระบบปฏิบัติการ OS X 10.10 ก็เป็นตัวช่วยจัดการพลังงานได้เป็นอย่างดี โดยที่เราไม่จำเป็นต้องปรับค่าเองแต่อย่างใดเลย