ในงาน MWC 2015 ที่ผ่านมานั้นทาง Samsung ได้ทำการแย่งพื้นที่ของสื่อในการประกาศเปิดตัว Samsung Galaxy S6 และ S6 EDGE ออกมาอย่างเป็นทางการจนทำให้มีข่าวตามออกมาว่าในเวลาเพียงไม่กี่วันยอดจองของ Galaxy S6 และ Galaxy S6 EDGE นั้นก็มากกว่า 20 ล้านเครื่องไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าในครั้งนี้ทาง Samsung ได้เดินมาถูกทางสำหรับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงของตัวเองก็คือรูปลักษณ์ที่สวยงามและมาพร้อมกับวัสดุชั้นดีครับ(ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆ คนเฝ้าถามถึงมานานจาก Samsung)
สำหรับการออกแบบของ Galaxy S6 ที่มีหน้าจออยู่ในแนวตรงนั้นหลายๆ คนคงไม่ค่อยจะสงสัยถึงที่มาของการออกแบบในรูปแบบนี้กันเท่าไรนักเพราะได้เห็นมามากมายแล้วในสมาร์ทโฟนระดับเรือธงจากยี่ห้ออื่น แต่สำหรับ Galaxy S6 EDGE ที่มีหน้าจอโค้งทั้ง 2 ส่วนนั้น หลายๆ ท่านอาจจะเกิดคำถามว่านอกจากการใช้หน้าจอ Super AMOLED แบบโค้งที่ทาง Samsung สามารถทำการผลิตเองได้แล้ว กระจกกันหน้าจอนั้นมีที่มาอย่างไร วันนี้เราจะไปไขข้อสงสัยนั้นกันครับ
เทคนิดที่ทาง Samsung ใช้ในการตัดทำขอบโค้งของกระจกทั้ง 2 ข้างให้โค้งไปตามหน้าจอนั้นเรียกว่าเทคนิค 3D Thermoforming ซึ่งเป็นเทคนิคพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทาง Samsung เป็นผู้คิดค้นและปรับปรุงให้สมบูรณ์แบบเองครับ วิธีการทำก็คือนำเอากระจกที่ต้องการทำให้มีมุมโค้งไปใส่อยู่ระหว่างแม่พิมพ์ 2 อัน(ดังรูปด้านล่าง) จากนั้นก็นำไปผ่านความร้อนที่ระดับ 800 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิในระดับที่ทำให้กระจกสามารถยืดหยุ่นได้ โดยกระจกก็จะได้รูปตามแม่พิมพ์ครับ
เมื่อได้กระจกตามรูปแม่พิมพ์แล้วก็จะทำการเคลือบกระจกด้วยสารประกอบทางด้านเคมีเพื่อให้กระจกคงรูปและมีความแข็งแกร่ง ในขณะที่ยังคงความยืดหยุ่นของตัวกระจกไว้ครับ จากกรรมวิธีดังกล่าวก็จะได้กระจะโค้งสำหรับนำมาประกอบหน้าจอของ Galaxy S6 EDGE ครับ จากอดีตจนถึงปัจจุบันก่อน Galaxy S6 EDGE นั้นจะทำกระจกหน้าจอในแบบที่เรียกว่า 2.5D glass ครับ
กระจกหน้าจอแบบ 2.5D glass นั้น จะใช้วิธีการแกะสลักกระจักให้เป็นไปตามารูปร่างที่ต้องการไม่ได้ใช้วิธีการดัดรูปกระจกผ่านความร้อนสูงเหมือนวิธี 3D Thermoforming ซึ่งถึงแม้ว่าวิธีการทำกระจกแบบ 2.5D glass นั้นจะสามารถทำให้กระจกดูเหมือนกับมีแนวโค้งยืดหยุ่นได้ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วตัวกระจกนั้นจะไม่สามารถทำการโค้งงอได้ครับ ดังนั้นกระจกที่ทำออกมาจะโค้งแค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น เมื่อเกินความสามารถของมันกระจกก็จะหักเสียรูปไปเลยครับ(เหมือนกับ iPhone 6 เป็นต้น)
ด้วยกรรมวิธี 3D Thermoforming นั้นตัวแก้วจะถูกดัดแปลงอย่างสมบูรณ์แบบทุกอณูด้วยเครื่องจักรที่มีความแม่นยำสูงเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด หลังจากนั้นกระจกของทั้ง Galaxy S6 และ Galaxy S6 EDGE จะถูกนำไปผ่านขั้นตอนการขัดเกลาที่ซับซ้อนต่ออีกรอบจนได้เป็นกระจกกันจอที่เสร็จสมบูรณ์อย่างสง่างามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนครับ(ในขั้นตอนการขัดเกลานี้ตัวกระจกจะถูกขัดเกลาในทุกๆ ด้านเหมือนกันหมดเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุดครับ)
ในส่วนของการเคลือบสีทั้งทางด้านหน้าและด้านหลังของตัวเครื่อง Galaxy S6 และ Galaxy S6 EDGE นั้นก็ผ่านขั้นตอนการผลิตที่ได้รับมาตรฐานสูงเช่นเดียวกันครับ โดยการสร้างความรู้สึกหรูหราอย่างมีระดับของ Galaxy S6 และ Galaxy S6 EDGE นั้นใช้กระบวนการที่ทาง Samsung เรียกว่า nano-thin multi-coating process ที่เป็นกระบวนการในการเพิ่มชั้นของสารเคลือบหลายๆ ชั้นในระดับ nano เพื่อที่จะทำให้สีสันของตัวเครื่องนั้นดูสวยเนียนไปในทุกมุมมองไม่ว่าจะมองจากทางด้านไหนครับ
ด้านวัสดุที่เป็นโลหะนั้นทาง Samsung เองก็ได้ให้ความสำคัญในกระบวนการผลิตและการเลือกวัสดุเช่นเดียวกันครับ โดยในสมาร์ทโฟนรุ่นปัจจุบันก่อนหน้านี้ทาง Samsung จะใช้ 6063 aluminum แต่กับ Galaxy S6 และ Galaxy S6 EDGE แล้วทาง Samsung จะใช้วัสดุที่เรียกว่า high-strength 6013 aluminum ซึ่งเป็นวัสดุระดับเดียวกับที่ใช้ในการสร้างอากาศยานส่วนตัว, รถยนต์ระดับสูง, เรือยอชท์ และรถจักรยานเสือภูเขาครับ
วัสดุอย่าง 6013 aluminum นั้นได้รับการยอมรับว่าแข็งแกร่งกว่า 6063 aluminum 1.5 เท่า และป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีกว่าถึง 1.2 เท่าเลยทีเดียวครับ และเพื่อให้การจัดการกับวัสดุโลหะนี้เสมือนว่าเป็นการจัดการจากช่างฝีมือที่ได้รับมาตรฐานจนทำให้ทุกท่านได้รับความไว้วางใจมากจริงๆ ทาง Samsung ได้ใช้กระบวนการย่อยๆ กว่า 20 กระบวนการในการผลิตกรอบโลหะ ด้วยเครื่องมือที่มีความถูกต้องแม่นยำและละเอียดอ่อนครับ(ดังรูปทางด้านล่างนี้)
ด้วยความใส่ใจทางด้านการผลิตในระดับนี้ ต้องยอมรับกันจริงๆ ครับว่าในครั้งนี้นั้นทาง Samsung ได้ทำการบ้านมาอย่างดีมากๆ จริงๆ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ไปจนถึงขั้นตอนในการผลิตที่ได้รับความใส่ใจในทุกองค์ประกอบ ทำให้ Galaxy S6 และ Galaxy S6 EDGE นั้นดูสวยงามน่าใช้งานขึ้นมากกว่า Galaxy S5 เป็นอย่างมาก แถมสเปคนั้นก็เรียกได้ว่าจัดเต็มมาเลยทีเดียว(ถึงแม้จะตัดความสามารถในการเปิดฝาหลังเพื่อที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เองและการใส่ microSD Card เพิ่มได้) สงครามสมาร์ทโฟนประจำปี 2015 นี้เราคงได้เห็นความมันอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแน่ครับ
ที่มา : global.samsungtomorrow.com