สำหรับ MacBook Retina 12 ถือได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ใหม่ของวงการโน๊ตบุ๊คทีเดียว เพราะมาพร้อมทั้งความบางเฉียบ ดีไซน์โดดเด่น มีสามสีให้เลือก และที่สำคัญยังได้ติดตั้งพอร์ตการเชื่อมต่อมาเพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ USB-C (ยังมีช่องหูฟังปกตินะ) ซึ่งทำให้ใครหลายๆ คนได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย ทั้งในแง่ขอชื่นชมว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดูลงตัวที่สุดรุ่นหนึ่ง และในแง่ลบว่าทำไมถึงให้พอร์ตมาเพียงพอร์ตเดียว แถมยังมีราคาสูงเทียบเท่า MacBook Pro Retina 13 อีกด้วย
ซึ่งในบทความนี้เราจะมาดูกันว่ามีอยู่ 3 เหตุผลหลัก ที่ทำให้ Apple MacBook Retina 12 (Early 2015) ไม่ได้เหมาะกับใครหลายๆ คน โดยแบ่งออกเป็นดังนี้
1. MacBook Retina 12 เลือกใช้ชิปประมวลผล Intel Core M
ชิปประมวลผล Intel Core M เป็นชิปประมวลผลจากทาง Intel ที่มาพร้อมกับความสามารถประหยัดพลังงานรุ่นล่าสุด ที่สำคัญยังปลดปล่อยความร้อนออกมาได้น้อย จนไม่จำเป็นต้องมีพัดลมเพื่อใช้ระบายความร้อนอีกต่อไป โดยจัดว่าเป็นสถาปัตยกรรม Gen 5 ที่ในฝั่งของระบบปฏิบัติการ Windows จะเห็นเป็นไฮบริดโน๊ตบุ๊ค แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นำมาใช้กับ MacBook Retina 12 มี่เน้นในเรื่องของความบางและไร้พัดลม ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่ได้รับการพัฒนามาจากทาง Intel
อย่างไรก็ตามก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของประสิทธิภาพอยู่ เพราะจากการที่ทีมงานเคยจับ Lenovo Yoga 3 Pro ซึ่งใช้ชิปประมวลผล Intel Core M มา จะเห็นได้ชัดเลยว่า พลังในการประมวลผลนั้นมีความสามารถที่ลดลงพอสมควรเมื่อเทียบกับ Intel Core i ตระกูล U แน่นอนว่าถ้าใครจะใช้งานที่เน้นประสิทธิภาพเป็นหลัก MacBook Retina 12 ที่ใช้ Intel Core M ไม่น่าจะใช่คำตอบเท่าไหร่
2. MacBook Retina 12 มีเพียงพอร์ต USB-C เพียงช่องเดียวเท่านั้น
ด้วยความที่ว่า MacBook Retina 12 นั้นได้รับการติดตั้งพอร์ต USB-C มาเพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น เนื่องมาจากต้องการให้ตัวเครื่องมีความบางและเบาอย่างที่สุด ซึ่งถ้าใครจะใช้งานพอร์ตอื่นๆ (อาทิ USB 3.0, VGA, HDMI, Display Port) ก็ต้องต่อผ่านอแดปเตอร์เอา โดยรุ่นที่ครบๆ จะมีราคา 2,990 บาท ที่ถึงแม้ว่าจะดีแค่ไหนในแง่ของประสิทธิภาพความเร็ว ความครบครัน แต่ก็ไม่ตอบโจทย์ของใครหลายๆ คนเช่นกัน
เพราะในการใช้งานจริงของคนทั่วไปรวมไปถึงตัวผู้เขียนเอง จำเป็นใช้พอร์ต USB และ HDMI อย่างเป็นประจำ ถ้าขืนต้องต่อผ่านอแดปเตอร์ตลอดเวลาก็คงยุ่งยากแย่ อีกทั้งต้องพาลไปซื้ออแดปเตอร์เพื่อมาใช้งานอีก ทั้งๆ ที่โน๊ตบุ๊คหรือ MacBook รุ่นอื่นๆ ก็ตามเค้ามีหมด เพราะถือว่าเป็นพอร์ตพื้นฐาน เรียกได้ว่าคนที่จะซื้อ MacBook Retina 12 มาใช้งานนั้น ต้องไม่ค่อยเชื่อมต่ออะไรกับใคร ไม่ก็เน้นใช้งานไร้สายไปเลย
3. MacBook Retina 12 มีราคาสูงหากเทียบกับ MacBook Pro Retina 13
MacBook Retina 12 จัดได้ว่ามีราคาเริ่มต้นที่ค่อนข้างสูงทีเดียวเมื่อเทียบกับ MacBook Pro Retina 13 ที่ใช้เทคโนโลยีหน้าจอ Retina Display เหมือนกัน แต่กลับมาพร้อมคุณสมบัติที่ดีกว่าทั้งในแง่ของประสิทธิภาพและการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล Intel Core i ตระกูล M ที่ให้ประสิทธิภาพที่ค่อยข้างสูง ครอบคลุมหลากหลายงาน ไม่ว่าจะเป็น เล่นอินเตอร์เน็ต ดูภาพยนตร์ความละเอียดสูง หรือแม้กระทั่งงานตัดต่อวีดีโอ รวมไปถึงการเล่นเกม 3 มิติ เพราะมาพร้อมกับการ์ดจอภายในระดับสูงอย่าง Intel HD 6100 ส่วน ซึ่งต้องบอกว่า MacBook Retina 12 เป็นอย่างเห็นได้ชัด โดยส่วนที่ดีกว่านั้นจะมีเพียง SSD ขนาด 256GB ที่มากกว่าเท่านั้น ในรุ่นที่ราคาเดียวกันที่ 43,900 บาท (MacBook Pro Retina 13 ตัว SSD จะมีขนาด 128GB)
ในเรื่องของการเชื่อมต่อก็เช่นกัน พอร์ตการเชื่อมต่อของ MacBook Pro Retina 13 มีความครบครันกว่ามาก โดยมีทั้งพอร์ต USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต / Thunderbolt 2 จำนวน 2 พอร์ต / HDMI จำนวน 1 พอร์ต ที่ต้องบอกว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับ MacBook Retina 12 ที่มีเพียงพอร์ต USB-C เท่านั้น แน่นอนว่าถ้าใครต้องใช้พอร์ต USB และ HDMI เป็นประจำคงไม่สะดวกอย่างแน่แท้ ส่งผลให้ในงบประมาณที่เท่าๆ กัน MacBook Pro Retina 13 สามารถเอาไปใช้งานได้ดีกว่า ต่อให้ MacBook Retina 12 จะเบาและเบางกว่าก็ตามที
อย่างไรก็ตาม MacBook Retina 12 จะสวยหรู จะไฮโซแค่ไหน จะบางเบาเอาเพียงไร ก็ไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานจริงของใครหลายๆ คนได้ แต่ก็นั่นแหละครับ Apple คงมองแล้วว่าคงมีกลุ่มคนที่จะซื้อ MacBook Retina 12 อย่างแน่นอน เพราะจากความแตกต่างที่ไม่เคยทำมาก่อน อีกทั้งยังมาให้เลือกถึง 3 สีสันด้วยกัน ซึ่งก็น่าจะเป็นที่ต้องการของคนบางกลุ่มที่ไม่ต้องการซ้ำใครและต้องการประสบการณ์การใช้งานที่แตกต่าง อารมณ์ก็อาจจะคล้ายๆ คนที่ซื้อรถยนต์เหมือนกัน ถ้าใครพอมีความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มาบ้างก็น่าจะพอเข้าใจอยู่
แต่ก็ไม่รู้ว่า Apple นั้นจะตีโจทย์แตกหรือเปล่านะครับ ? คงต้องรอดูกันอีกที