เปิดตัวกันมาแบบ Live สดๆ กันเลยทีเดียวกับ Apple Watch ฉบับขายจริงๆ ในงาน Apple Spring Forward 2015 ที่ได้เปิดเผยฟีเจอร์ทั้งหมดกันเสียทีครับ ซึ่งก็มาพร้อมจุดเด่นที่น่าสนใจมากๆ โดยเฉพาะในเรื่องของประสบการณ์ใช้งานทั้งในแง่ของความสวยงาม และการตอบจทย์ในชีวิตประจำวัน โดยเจ้า Apple Watch จะมาพร้อมด้วยสิ่งที่น่าสนใจดังนี้
Apple Watch @ Apple Spring Forward 2015
มาพร้อมรูปแบบที่มีให้เลือกถึง 3 แบบ
- ไม่ว่าจะเป็น Apple Watch รุ่นปกติมีกรอบแบบ Stainless steel มาพร้อมสีปกติ Traditional และสี Space black
- หรือ Apple Watch Sport สำหรับผู้สุขภาพที่มาพร้อมกรอบ Anodized aluminum ในสีสันแบบ Silver หรือ Space gray
- พร้อมกันนั้นยังมีรุ่นพิเศษอย่าง Apple Watch Edition สุดพิเศษที่ใช้วัสดุเป็นทอง 18-karat มาในกรอบแบบ Yellow Gold หรือ Rose Gold
ฟีเจอร์ที่มากมาย
- มาพร้อมฟีเจอร์และฟังก์ชั่นการใช้งานที่มากมายๆ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบพยากรณ์อากาศ
- การควบคุมเพลง ผ่านทาง Apple Watch ได้โดยตรง
- การแจ้งเตือนข้อความ หรือแม้แต่รับสายอย่างทันท่วงที และนุ่มนวล เรียกได้ว่า iPhone ของคุณได้รับการแจ้งเตือนอย่างไรนั้น Apple Watch ก็จะได้รับการแจ้งเตือนเช่นนั้นเหมือนกัน
- ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเช็ค Social Media อย่าง Instragram ผ่าน Apple Watch ได้ในทันที
- ที่สำคัญยังช่วยให้คุณทำกิจกรรมระหว่างวัน โดยเฉพาะกับการออกกำลังกายได้อย่างเป็นเยี่ยม เพราะ Apple Watch สามารถกำหนดเป้าหมาย และสรุปผลของกิจกรรมออกกำลังกาย และการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นวิ่ง หรือเดินระหว่างวันได้อีกด้วย
การใช้งาน และการออกแบบ
- คุณสามารถใช้งาน Apple Watch ได้ในทันทีเพียงแค่อัพเดท iOS 8.2 ที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดได้แล้วในตอนนี้
- โดย Apple Watch สามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวันอย่างสบายๆ ด้วยแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 18 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้งด้วยที่ชาร์จแบบแม่เหล็กสะดวกสุดๆ กันเลยทีเดียว
- Apple Watch Sportแข็งแรงทนทานมั่นใจได้ด้วยวัสดุ Aluminum แบบพิเศษที่ทนทานกว่า Aluminum ปกติถึง 60%
- Apple Watch เองก็ผลิตจาก Stainless steel ที่แข็งแรงกว่า Stainless steel ถึง 80%
วันเวลาวางจำหน่าย
- Apple Watch พร้อมเปิดให้ส่งจองแบบ Pre-order เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน และพร้อมส่งให้ถึงมือคุณนับตั้งแต่วันที่ 26 เมษายนเป็นต้นไปใน 9 ประเทศ ส่วนในไทยต้องรอกันไปก่อน
- ราคาขายเริ่มต้นที่ 349 ดอลลาร์หรือราวๆ 11,000 บาท และไปจบที่ 10,000 ดอลลาร์หรือราวๆ 325,490 บาทสำหรับตัวท็อป