Connect with us

Hi, what are you looking for?

Mac Corner

iPad Air 2 (iPad 6) Review [ที่สุดของแท็บเล็ต ก่อน iPad Plus จะมา]

แท็บเล็ตอย่าง iPad เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Apple ที่หลายๆ คนรอการกลับมาของรุ่นใหม่ ที่ในตอนนี้ก็เปิดตัวและวางขายกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ iPad Air 2 ที่ถือเป็น iPad รุ่นที่ 6 ซึ่งมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก

แท็บเล็ตอย่าง iPad เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Apple ที่หลายๆ คนรอการกลับมาของรุ่นใหม่ ที่ในตอนนี้ก็เปิดตัวและวางขายกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ iPad Air 2 ที่ถือเป็น iPad รุ่นที่ 6 ซึ่งมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปไม่มากนัก คือหน้าตาจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับ iPad Air เหมือนเดิม ในเรื่องของวัสดุงานประกอบ แต่ที่แตกต่างออกไปจะเป็นในเรื่องของดีไซน์ที่บางเบากว่าเดิม รวมไปถึงติดตั้งเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมืออย่าง Touch ID อย่างที่ใช้ใน iPhone 6/6 Plus โดยยังคงใช้ความละเอียดหน้าจอและขนาดหน้าจอเท่าเดิมอยู่

ในส่วนของสเปกภายใน iPad Air 2 ก็เรียกได้ว่าจัดเต็มด้วยชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด อีกทั้งยังมาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวช่วย ซึ่งเพื่อให้การทำงานโดยรวมนั้นดียิ่งกว่าเดิม ทำให้พูดได้เลย ว่า iPad Air 2 เครื่องนี้เป็นอีกหนึ่งสุดยอดแท็บเล็ตในตลาดที่น่าสนใจ สนนราคา iPad Air 2 เริ่มต้นอยู่ที่ 16,900 บาท เทียบกับรุ่นก่อนหน้าก็เรียกได้ว่าเท่าเดิม แต่ได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าใครสนใจจะซื้อ iPad เครื่องใหม่อยู่แล้ว ห้ามพลาดชมบความรีวิวนี้กันเลย

Advertisement

Specification

iPad Air นั้นนอกเหนือจากจะอัพเกรดชิปประมวลผลเป็น Apple A8 Triple-Core ความเร็ว 1.6 GHz ทำงานแบบ 64-bit มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิกPowerVR GXA6850 ที่เป็นแบบ Quad-core พร้อมแรมขนาด 2GB (เพิ่มขึ้นเท่าตัว) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอ Retina Display  ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว รวมไปถึงยังเสริมด้วยชิปประมวลผล Apple M8 ที่ช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ เรียกได้ว่า iPad Air 2 นั้นแรงกว่า iPhone, iPad ทั้งหมด เท่าที่เคยมีมาทีเดียว

โดย iPad Air 2 แบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 64GB, 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad Air 2 นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G (แน่นอนว่าใช้ 3G, 4G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 64GB, 128GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว iPad Air 2 นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ

Hardware / Design

Screen / Speaker

Connector / Thin And Weight

Batt / Heat

iPad Air 2 Review NBS 013

ด้วยการที่ iPad Air 2 เปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A7 เป็น Apple A8 พร้อมเพิ่มชิปช่วยประมวลอีกตัวอย่าง M8 ยังคงมีอัตราการใช้พลังงานต่ำลงกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ Apple ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องก็ยังต้องเป็น 10 ชั่วโมงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ด้วยขนาดที่เล็กและบางลงเบาลง จึงทำให้ iPad Air 2 นี้ มีความจุของแบตเตอรี่น้อยลงกว่าเดิม เรียกได้ว่าหากเทียบความจุแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะเห็นได้ชัดเจนว่ามี ความจุมากกว่า 2-3 เท่าทีเดียว โดยจากการทดสอบใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi สลับกับการเล่นเกม 3 มิติบ้างตลอดทั้งวัน ตัวของ iPad Air 2 ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เล่นต่อเนื่องขนาดนี้ 2-3 วันชาร์จไฟครั้งหนึ่งก็ยังได้ ส่วนการชาร์จไปเข้า iPad Air 2 จาก 10% ถึง 100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่นานจนเกินไป

iPad Air 2 Review NBS 032

ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมีมาก โดยส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad Air รุ่นแรกอยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลม) แต่ถ้าอยู่ในนอกสถานที่ที่ค่อนข้างร้อน ตำแหน่งซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากขึ้น แต่ก็ไม่ขนาดที่จับไม่ได้นะครับ เรียกได้ว่ามีการปรับปรุงเรื่องความร้อนได้ดีกว่าเดิมพอตัว

Camera

iPad Air 2 Review NBS 034

กล้องด้านหน้าของ iPad Air 2 จะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซล (1280 x 720 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ส่วนตัวกล้องหลักเองก็สามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 8 ล้านพิกเซล ที่เรียกได้ว่าความละเอียดเทียบเท่ากับ iPhone 6/6Plus ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดย iPad Air 2 นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์และชุดเลนส์ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ด้วยสเปก รูรับแสงขนาด ƒ/2.4, ชุดเลนส์ห้าชิ้น, ฟิลเตอร์ Hybrid IR, เซ็นเซอร์รับแสง ด้วยส่วนหลัง ส่งผลให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมานั้นมีความสวยงามและชัดเจนกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้สวยงามไปกว่า iPhone 6/6 Plus แต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม ยังสามารถถ่ายโหมด Time Lapse และ Slo-Mo รวมไปถึงภาพนิ่ง Panorama ได้อีกด้วย แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ติดตั้งมาให้ครับ ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายที่อยู่ทางด้านข้างนะครับ (สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้ โดย 2 ภาพบนจะเป็นกล้องหน้านะครับ) ที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจทีเดียวกับภาพจากบนแท็บเล็ตเครื่องนี้

iPad Air 2 Review NBS 021

ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A8 ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายตามสไตล์ของ iOS8 เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ

พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้แล้ว

 

Conclusion

iPad Air 2 Review NBS 009

สมบูรณ์แบบขนาดนี้ยังต้องการอะไรอีกสำหรับ iPad Air 2 ซึ่งถ้าจะบอกว่า iPad ที่ดีเยี่ยมที่สุดก็คงไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมาสำหรับ iPad ขนาดปกติหน้าจอ 9.7 นิ้ว ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ อย่าง อาทิ รุ่นแรกก็ทั้งหนาและหนักแถมจอไม่ละเอียด ต่อมารุ่นสองก็ดีขึ้นตรงเบาลงบางลงแต่จอก็ไม่ละเอียดอยู่ดี จนมาถึงรุ่นสามขนาดตัวเครื่องก็กลับมาหนาและหนัก ที่แม้ว่าหน้าจอจะเป็น Retina Display แล้วก็ตาม แต่ดันมีปัญหาเรื่องความแรงเพราะด้วยสเปกที่แรกขึ้น และก่อนรุ่นล่าสุดอย่างรุ่นที่ 4 ก็มีการแก้ไขเรื่องความร้อนพร้อมเปลี่ยนพอร์ตเป็น Lightning แต่ก็ยังหนาและหนักเหมือนเดิม จนถึง iPad Air ก็มาพร้อมความบางและเบาอย่างเหลือเชื่อถือไช้งานมือเดียวได้สบายๆ อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีเยี่ยม โดยที่ไม่เกิดปัญหาเรื่องความร้อนแต่อย่างใด และสุดท้าย iPad Air 2 ที่เติมเต็มความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าถ้า Steve Jobs ไม่ด่วนล่วงลับไปเสียก่อน คงได้มีน้ำตาไหลกันเลยทีเดียว ฮาาา

iPad Air 2 Review NBS 012

iPad Air 2 หรือ iPad 6 นั้น นับได้ว่าเป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน ด้วยความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ น้ำหนัก ความบาง ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย (แน่นอนว่าใครใช้งานจริงคงรู้ดี) เรียกได้ว่าทำให้สมหวังกันเสียทีเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่อย่างไรก็ตาม iPad คงไม่ใช่คำตอบในการใช้งานแท็บเล็ตของหลายๆ คนแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายส่วน อาทิเช่น ปากกา หรือความอิสระในการถ่ายโอนข้อมูล (Apple จำกัดไว้เพราะมีตกลงเรื่องลิขสิทธิ์อย่างเพลงหรืภาพยนตร์) นอกเหนือจากนี้ iPad Air ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน)

iPad Air 2 Review NBS 025

ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนๆ มา จะเห็นว่าการมาของ iPad Air 2 ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์อย่าง iOS 8 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว รวมไปถึงความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากชิปประมวลผล Apple A8และ M8 ที่เร็วขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อพอร์ต Lightning ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้สะดวกมากกว่าถ้าใช้งานคู่กับ iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus อยู่แล้ว

iPad Air 2 Review NBS 049

สำหรับคนที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตอะไรมากก่อนเลย ก็ต้องขอบอกว่า iPad Air 2 ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,900 บาท (เท่ากับ iPad Air รุ่นแรก) แต่ถ้าใครใช้ iPad Air อยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก หากไม่ต้องได้ใช้งานที่ลื่นไหลและความบางเบามากกว่าเดิม (แต่สำหรับบางคนก็ถือได้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว) รวมไปถึงใครคนไหนที่ต้องการใช้งานพกพาบ่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพอาจจะเป็นรอง iPad Air 2 (เป็นรองเยอะด้านประสิทธิภาพ) ก็สามารถมาจับจอง iPad mini 3 แทน iPad Air 2 ได้นะครับ สนนราคาก็เริ่มต้นเพียง 13,400 บาทเท่านั้นเอง (แต่ถ้าไม่เน้นเล็กก็ซื้อ iPad Air 2 ไปเถอะครับ)

จุดเด่น

  • มีดีไซน์และความสวยงามหรูหราตามแบบฉบับของ Apple
  • ตัวเครื่องมีความบางและเบากว่ารุ่นก่อน จับถือและพกพาได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • หน้าจอมีความสวยงาม ด้วย Retina Display จากความละเอียดและพาเนล IPS
  • ชิปประมวลผลเป็น Apple A8 ความเร็ว 1.6GHz ทำงานแบบ 64-bit
  • มีชิปประมวลผล Apple M8 เป็นตัวช่วยทำงาน เรื่องของเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว
  • ประสิทธิภาพดีกว่า iPad รุ่นก่อนๆ แบบรู้สึกได้เหมือนใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม 3 มิติกราฟิกสูง
  • ลำโพงให้คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม แบบรู้สึกได้ทันทีเมื่อเปิดเพลงหรือดนตรี
  • ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ในทั้งส่วนของงานประกอบและแอพพลิเคชั่น
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานร่วม 10 ชั่วโมง
  • มีสีทองให้เลือกซื้อเหมือนกับ iPhone
  • มาพร้อม Touch ID เหมือนกับ iPhone
  • ประสิทธิภาพกล้องดีกว่าเดิม

ข้อสังเกต

  • ถ้าใครเน้นพกพาเป็นหลักก็ลองดูเป็น iPad mini 3 ได้
  • ยังมีข้อกำจัดเดิมๆ เหมือน iPad รุ่นที่ผ่านๆ มา
  • ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเคส iPad Air รุ่นแรกได้ เนื่องจากช่องของกล้องไม่ตรงกัน

Specification

iPad Air นั้นนอกเหนือจากจะอัพเกรดชิปประมวลผลเป็น Apple A8 Triple-Core ความเร็ว 1.6 GHz ทำงานแบบ 64-bit มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิกPowerVR GXA6850 ที่เป็นแบบ Quad-core พร้อมแรมขนาด 2GB (เพิ่มขึ้นเท่าตัว) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอ Retina Display  ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว รวมไปถึงยังเสริมด้วยชิปประมวลผล Apple M8 ที่ช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ เรียกได้ว่า iPad Air 2 นั้นแรงกว่า iPhone, iPad ทั้งหมด เท่าที่เคยมีมาทีเดียว

โดย iPad Air 2 แบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 64GB, 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad Air 2 นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G (แน่นอนว่าใช้ 3G, 4G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 64GB, 128GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว iPad Air 2 นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ

Hardware / Design

Screen / Speaker

Connector / Thin And Weight

Batt / Heat

iPad Air 2 Review NBS 013

ด้วยการที่ iPad Air 2 เปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A7 เป็น Apple A8 พร้อมเพิ่มชิปช่วยประมวลอีกตัวอย่าง M8 ยังคงมีอัตราการใช้พลังงานต่ำลงกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ Apple ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องก็ยังต้องเป็น 10 ชั่วโมงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ด้วยขนาดที่เล็กและบางลงเบาลง จึงทำให้ iPad Air 2 นี้ มีความจุของแบตเตอรี่น้อยลงกว่าเดิม เรียกได้ว่าหากเทียบความจุแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะเห็นได้ชัดเจนว่ามี ความจุมากกว่า 2-3 เท่าทีเดียว โดยจากการทดสอบใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi สลับกับการเล่นเกม 3 มิติบ้างตลอดทั้งวัน ตัวของ iPad Air 2 ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เล่นต่อเนื่องขนาดนี้ 2-3 วันชาร์จไฟครั้งหนึ่งก็ยังได้ ส่วนการชาร์จไปเข้า iPad Air 2 จาก 10% ถึง 100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่นานจนเกินไป

iPad Air 2 Review NBS 032

ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมีมาก โดยส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad Air รุ่นแรกอยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลม) แต่ถ้าอยู่ในนอกสถานที่ที่ค่อนข้างร้อน ตำแหน่งซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากขึ้น แต่ก็ไม่ขนาดที่จับไม่ได้นะครับ เรียกได้ว่ามีการปรับปรุงเรื่องความร้อนได้ดีกว่าเดิมพอตัว

Camera

iPad Air 2 Review NBS 034

กล้องด้านหน้าของ iPad Air 2 จะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซล (1280 x 720 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ส่วนตัวกล้องหลักเองก็สามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 8 ล้านพิกเซล ที่เรียกได้ว่าความละเอียดเทียบเท่ากับ iPhone 6/6Plus ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดย iPad Air 2 นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์และชุดเลนส์ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ ด้วยสเปก รูรับแสงขนาด ƒ/2.4, ชุดเลนส์ห้าชิ้น, ฟิลเตอร์ Hybrid IR, เซ็นเซอร์รับแสง ด้วยส่วนหลัง ส่งผลให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมานั้นมีความสวยงามและชัดเจนกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้สวยงามไปกว่า iPhone 6/6 Plus แต่อย่างใด

นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม ยังสามารถถ่ายโหมด Time Lapse และ Slo-Mo รวมไปถึงภาพนิ่ง Panorama ได้อีกด้วย แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ติดตั้งมาให้ครับ ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายที่อยู่ทางด้านข้างนะครับ (สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้ โดย 2 ภาพบนจะเป็นกล้องหน้านะครับ) ที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจทีเดียวกับภาพจากบนแท็บเล็ตเครื่องนี้

iPad Air 2 Review NBS 021

ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A8 ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายตามสไตล์ของ iOS8 เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ

พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้แล้ว

 

Conclusion

iPad Air 2 Review NBS 009

สมบูรณ์แบบขนาดนี้ยังต้องการอะไรอีกสำหรับ iPad Air 2 ซึ่งถ้าจะบอกว่า iPad ที่ดีเยี่ยมที่สุดก็คงไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมาสำหรับ iPad ขนาดปกติหน้าจอ 9.7 นิ้ว ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ อย่าง อาทิ รุ่นแรกก็ทั้งหนาและหนักแถมจอไม่ละเอียด ต่อมารุ่นสองก็ดีขึ้นตรงเบาลงบางลงแต่จอก็ไม่ละเอียดอยู่ดี จนมาถึงรุ่นสามขนาดตัวเครื่องก็กลับมาหนาและหนัก ที่แม้ว่าหน้าจอจะเป็น Retina Display แล้วก็ตาม แต่ดันมีปัญหาเรื่องความแรงเพราะด้วยสเปกที่แรกขึ้น และก่อนรุ่นล่าสุดอย่างรุ่นที่ 4 ก็มีการแก้ไขเรื่องความร้อนพร้อมเปลี่ยนพอร์ตเป็น Lightning แต่ก็ยังหนาและหนักเหมือนเดิม จนถึง iPad Air ก็มาพร้อมความบางและเบาอย่างเหลือเชื่อถือไช้งานมือเดียวได้สบายๆ อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีเยี่ยม โดยที่ไม่เกิดปัญหาเรื่องความร้อนแต่อย่างใด และสุดท้าย iPad Air 2 ที่เติมเต็มความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าถ้า Steve Jobs ไม่ด่วนล่วงลับไปเสียก่อน คงได้มีน้ำตาไหลกันเลยทีเดียว ฮาาา

iPad Air 2 Review NBS 012

iPad Air 2 หรือ iPad 6 นั้น นับได้ว่าเป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน ด้วยความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ น้ำหนัก ความบาง ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย (แน่นอนว่าใครใช้งานจริงคงรู้ดี) เรียกได้ว่าทำให้สมหวังกันเสียทีเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่อย่างไรก็ตาม iPad คงไม่ใช่คำตอบในการใช้งานแท็บเล็ตของหลายๆ คนแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายส่วน อาทิเช่น ปากกา หรือความอิสระในการถ่ายโอนข้อมูล (Apple จำกัดไว้เพราะมีตกลงเรื่องลิขสิทธิ์อย่างเพลงหรืภาพยนตร์) นอกเหนือจากนี้ iPad Air ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน)

iPad Air 2 Review NBS 025

ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนๆ มา จะเห็นว่าการมาของ iPad Air 2 ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์อย่าง iOS 8 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว รวมไปถึงความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากชิปประมวลผล Apple A8และ M8 ที่เร็วขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อพอร์ต Lightning ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้สะดวกมากกว่าถ้าใช้งานคู่กับ iPhone 6 หรือ iPhone 6 Plus อยู่แล้ว

iPad Air 2 Review NBS 049

สำหรับคนที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตอะไรมากก่อนเลย ก็ต้องขอบอกว่า iPad Air 2 ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,900 บาท (เท่ากับ iPad Air รุ่นแรก) แต่ถ้าใครใช้ iPad Air อยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก หากไม่ต้องได้ใช้งานที่ลื่นไหลและความบางเบามากกว่าเดิม (แต่สำหรับบางคนก็ถือได้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว) รวมไปถึงใครคนไหนที่ต้องการใช้งานพกพาบ่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพอาจจะเป็นรอง iPad Air 2 (เป็นรองเยอะด้านประสิทธิภาพ) ก็สามารถมาจับจอง iPad mini 3 แทน iPad Air 2 ได้นะครับ สนนราคาก็เริ่มต้นเพียง 13,400 บาทเท่านั้นเอง (แต่ถ้าไม่เน้นเล็กก็ซื้อ iPad Air 2 ไปเถอะครับ)

จุดเด่น

  • มีดีไซน์และความสวยงามหรูหราตามแบบฉบับของ Apple
  • ตัวเครื่องมีความบางและเบากว่ารุ่นก่อน จับถือและพกพาได้ง่ายยิ่งขึ้น
  • หน้าจอมีความสวยงาม ด้วย Retina Display จากความละเอียดและพาเนล IPS
  • ชิปประมวลผลเป็น Apple A8 ความเร็ว 1.6GHz ทำงานแบบ 64-bit
  • มีชิปประมวลผล Apple M8 เป็นตัวช่วยทำงาน เรื่องของเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว
  • ประสิทธิภาพดีกว่า iPad รุ่นก่อนๆ แบบรู้สึกได้เหมือนใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม 3 มิติกราฟิกสูง
  • ลำโพงให้คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม แบบรู้สึกได้ทันทีเมื่อเปิดเพลงหรือดนตรี
  • ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ในทั้งส่วนของงานประกอบและแอพพลิเคชั่น
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานร่วม 10 ชั่วโมง
  • มีสีทองให้เลือกซื้อเหมือนกับ iPhone
  • มาพร้อม Touch ID เหมือนกับ iPhone
  • ประสิทธิภาพกล้องดีกว่าเดิม

ข้อสังเกต

  • ถ้าใครเน้นพกพาเป็นหลักก็ลองดูเป็น iPad mini 3 ได้
  • ยังมีข้อกำจัดเดิมๆ เหมือน iPad รุ่นที่ผ่านๆ มา
  • ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเคส iPad Air รุ่นแรกได้ เนื่องจากช่องของกล้องไม่ตรงกัน
Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Buyer's Guide

แนะนำเคสไอแพด ที่น่าซื้อหามาใช้งาน ราคาไม่แรง เริ่มต้นเพียงหลักร้อย อัพเดท 2025 ไอแพดนั้นนับวันตัวเครื่องก็ยิ่งบางลง โดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆ ที่ได้รับการดีไซน์ให้มีน้ำหนักเบา ตัวเครื่องบาง สามารถพกพาได้ง่าย แต่ก็อาจแลกมาด้วยความบอบบางของตัวเครื่อง ที่ทำให้ใครหลายๆ คนกังวล และยิ่งด้วยความบางแลขนาดหน้าจอที่ใหญ่นี่เอง ทำให้ใครหลายคนเป็นกังวลว่าตัวเครื่องไอแพดของเราจะปลอดภัยหรือไม่ ทีมงาน NotebookSPEC ก็เลยอยากจะมาแนะนำเคสไอแพดที่น่าใช้งาน ตอบโจทย์กับทั้งคนที่ชอบความบางเบา พกพาสะดวก หรือจะเป็นเคสที่ปกป้องเครื่องได้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องงอ การเลือกซื้อเคสสำหรับ...

Buyer's Guide

อัพเดท iPhone 15 ราคาล่าสุด 2025 ทั้งเครื่องเปล่าและติดโปร จาก 3 ค่ายใหญ่ ทั้ง AIS, DTAC และ TRUE หลังจากที่เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่อย่าง iPhone 16 Series กันไปแล้ว หลายๆ คน ที่กำลังมองหาซื้อ...

Mac Corner

อุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้เสมอไม่ว่าจะแบบใดก็ตาม ปัญหาว่าไอแพดเปิดไม่ติดก็ต้องหาทางซ่อมไอแพดให้กลับมาใช้งานได้ตามเดิม นับเป็นปัญหากวนใจชาว Apple มาก ยิ่งใครเก็บงานเอาไว้ในแท็บเล็ตตัวนี้แล้วไม่ได้ Cloud sync แบ็คอัพงานเอาไว้เจอแบบนี้ก็เดือดร้อนไปตามกัน ซึ่งอันที่จริงวิธีแก้ปัญหาไอแพดไม่ทำงานนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิดและอาจเป็น “เส้นผมบังภูเขา” ซึ่งถ้าเป็นปัญหาด้านซอฟท์แวร์ก็ทำเองได้ไม่ยาก แล้วถ้าเกิดจากฮาร์ดแวร์แล้วจะส่งศูนย์ให้ดูแลต่อก็ว่ากันไปอีกกรณีหนึ่ง ไอแพดเปิดไม่ติดเกิดจากอะไรได้บ้าง? อุปกรณ์อีเล็กทรอนิกส์ทุกชิ้นมีโอกาสทำงานผิดพลาดได้ทั้งหมด แต่วิธีเช็คแนะนำให้แก้ปัญหาด้านซอฟท์แวร์ก่อนแล้วไปเช็คฮาร์ดแวร์ในภายหลัง อุปกรณ์ Apple ไม่ว่าจะ iPad หรือ iPhone สามารถกด Restart...

Buyer's Guide

สินค้าใน Apple Ecosystem นอกจาก iPhone ก็มีแท็บเล็ตอย่าง iPad ซึ่งมีรุ่นย่อยมากมาย แต่รุ่นที่ใครก็อยากได้อย่าง iPad Pro ราคาเริ่มต้นตอนนี้ก็ค่อนข้างสูง เริ่มต้นตอนนี้ก็ต้องมีเงินหลักสามหมื่นบาทแล้ว แม้ราคาจะสูงแต่ก็เป็นอุปกรณ์ทำงานอีกชิ้นที่คนใช้อุปกรณ์ Apple มีเอาไว้แล้วทำงานสะดวกขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอเสริมให้ MacBook, เซ็นเอกสาร, ตัดต่อคลิป ฯลฯ ได้สะดวกมาก ยิ่งถ้ามี Apple...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก