จอขนาด 40″ โดยพื้นฐานอาจจะเป็นจอขนาดใหญ่อยู่แล้ว แต่ยิ่งถ้าเป็นจอแบบ 4K จะยิ่งทำให้ดูเป็นจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมากทีเดียว เช่นเดียวกับจอขนาด 40″ ในรุ่น Philips Brilliance BDM4065UC นี้ ที่อาจจะไม่ได้เป็นเพียงจอภาพสำหรับโต๊ะทำงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงจอภาพที่ใช้สำหรับห้องพักเลยทีเดียว โดยจอมอนิเตอร์รุ่นนี้อาจมีราคาค่อนข้างสูง ด้วยราคาที่ตก 690 ปอนด์ ซึ่งหากเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ แต่ก็ได้ฟีเจอร์หลายๆ สิ่งที่มากกว่ากลับมาเช่นกัน
การออกแบบ
Philips Brilliance BDM4065UC เป็นจอมอนิเตอร์ขนาด 40″ ดีไซน์สวย เน้นความบาง กรอบเล็ก ให้ความละเอียดระดับ 4K (3840×2160 pixels) โดยที่หน้าจอมีค่า PPI ตั้งแต่ 110 ขึ้นไป สามารถปรับระดับได้ตั้งแต่ 163ppi และ 138ppi เป็นความหนาแน่นของเม็ดสีที่พบได้บนจอ 4K ในขนาด 27-32 นิ้วเป็นส่วนใหญ่ โดยที่ Philips ใช้พาแนลในแบบ VA ร่วมกับ Backlight และหลอดในแบบ W-LED หากเป็นเมื่อก่อนอาจจะต้องดูให้แน่ใจว่ามีระดับสีดำที่ดำสนิทหรือไม่ รวมถึงความสว่างที่ทำได้อย่างชัดเจน โดยการเป็น VA ไม่ใช่ว่าจะตอบสนองไม่ดี แต่ต้องดูที่การทำงานของ W-LED ด้วยว่าทำงานได้ดีเพียงใด เพราะเป็นเทคโนโลยีที่ราคาย่อมเยาลงมา
กรอบหน้าจอที่ใช้มีความบางเป็นพิเศษ ด้านล่างของกรอบมีลักษณะนูนสกรีนโลโก้ Philips ชัดเจน พร้อมทำงานในแบบสัมผัสทำหน้าที่เป็นปุ่มเพาเวอร์ ขาตั้งโลหะขนาดเล็ก ซึ่งพบได้บนทีวีระดับไฮเอนด์เป็นส่วนใหญ่ น้ำหนักกำลังเหมาะคือ 9.7Kg และสูง 213mm ที่ไม่สูงเกินไปนัก
Specification
- Screen Size (inches) : 40
- Resolution : 3840 x 2160
- Contrast Ratio : 5000:1
- Response Time : 8.5
- VGA : 1
- HDMI : 2
- DisplayPort : 2
- H x W x D : 589 x 904 x 213
- Weight : 9.7kg
- Screen Size (inches) : 40
- Aspect Ratio : 16:9
- Response Time : 8.5
- Contrast Ratio : 5000:1
- Brightness : 300
- Panel Type : TN
- Horizontal Viewing Angles : 176
- Vertical Viewing Angles : 176
ตัวจอมาพร้อมการเชื่อมต่อมากมาย รองรับการใช้งานในหลายๆ รูปแบบ ช่วยให้จัดการได้มากขึ้นด้วยการต่อในแบบแนวตั้งอยู่ตรงกลางของแผงหลัง ทางด้านซ้ายมีพอร์ต HDMI x2 เป็นแบบ Fill-size และมี Mini-DisplayPort รวมถึง D-Sub แจ๊คหูฟังอีก 2 ชุด มีเพียงพอร์ต DVI ที่หายไป ส่วนด้านซ้ายมือของแผงมี USB ให้อีก 3 พอร์ตรองรับการทำงานแบบ Fast Charge อีกด้วย ส่วน Power connecter อยู่ที่แผงหลังด้านขวาใกล้กับสวิทช์ เพื่อให้ง่ายต่อการเปิดใช้งาน
จะมีเพียงเรื่องของขนาดจอที่ค่อนข้างใหญ่ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะปรับหมุนหน้าจอได้ มีเพียงแค่การปรับมุมได้เล็กน้อยเท่านั้น แต่ปรับหมุนไม่ได้ ไม่สนับสนุน VESA 200mm ส่วนลำโพงขนาด 7W จำนวน 2 ตัว ที่ให้เสียงได้ดังทีเดียว แต่น่าจะเหมาะสำหรับเล่นเกมเป็นหลัก แต่การชมภาพยนตร์ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยการฟังเพลงเรียกว่าพอใช้ นอกจากนี้ในส่วนฟีเจอร์ไฮเอนด์อื่นๆ ไม่ค่อยมีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น Human motion และเซ็นเซอร์วัดแสงบริเวณโดยรอบ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าอยากได้ฟีเจอร์เหล่านี้ในแบรด์อื่นก็คงต้องจ่ายไม่น้อยเลย
การประกอบใช้งาน
Philips มาในแบบอุปกรณ์ 3 ชิ้น ประกอบด้วย หน้าจอ ขาตั้งและโลหะเล็กๆ สำหรับยึดทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน แม้จะดูน้อยชิ้น แต่ก็ใช้เวลาพอสมควรกับการยึดน็อตกับรางเหล็ก 4 ตัว แล้วสไลด์หน้าจอเข้าตรงกลาง จากนั้นยึดน็อตเข้ากับรางอีกครั้งหนึ่ง ก็เป็นอันเสร็จสิ้น ถือว่าค่อนข้างแข็งแรงดีสำหรับขาตั้งในลักษณะนี้
เริ่มเปิดใช้งานจากปุ่มควบคุมขนาดเล็กที่ติดตั้งอยู่มุมบนขวาของหน้าจอใกล้กับพาแนล ซึ่งตัวควบคุมดังกล่าวนี้เป็นแบบจอยสติ๊กใช้งานได้ด้วยการกดไปทางซ้ายเลือกเป็นโหมดภาพ ดันขึ้นเป็นเปิดภาพ กดลงเป็นตัวเลือกเสียง เมื่อเลื่อนไปทางขวาจะกลายเป็นเมนูหลัก แต่เมื่อกดลงตรงๆ จะเป็นปุ่มปกติ จะไม่ได้มีแอ็คชั่นอื่นใด ในเรื่องของความคล่องตัวทำได้ดีในระดับหนึ่ง เพราะให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างไว รวมถึงเมนูในการปรับใช้ถือว่าออกแบบให้ใช้งานได้รวดเร็ว อย่างน้อยก็มีการจัดประเภทได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาพ ที่มีทั้ง Contrast, Brightness, Gamma, Response time และการตั้งค่าสี ที่แยกออกเป็น Sub menu อย่างชัดเจน โดยตัวเลือกในการปรับแต่บางส่วนถูกนำมาไว้ในซอฟต์แวร์ Philips SmartControl ซึ่งช่วยให้ปรับแต่งจากบนวินโดวส์ได้อีกด้วย ส่วนสุดท้ายคือ การตั้งค่า DisplayPort โดยค่าเบื้องต้น Philips ใช้ DisplayPort 1.1 รองรับการทำงาน 4K ที่ 30Hz ไปจนถึง 60Hz ที่ 4K ด้วยการปรับจาก OSD เพื่อเปลี่ยนค่าการทำงาน
คุณภาพในการแสดงผล
Briliance ให้การทำงานที่ดีตั้งแต่เริ่มต้นการทำงาน ระดับความสว่างอยู่ที่ 258 nits ที่ค่อนข้างจะน้อยกว่าคู่แข่ง แต่กลับให้ความคมชัดในการไล่ระดับของสีดำได้ที่ 0.05 nits ต่ำกว่าหน้าจอบางรุ่น ทำให้เกิดความคมชัดมากยิ่งขึ้น นั่นหมายความว่า จอภาพรุ่นนี้สามารถให้ระดับความลึกของสีดำได้อย่างไม่น่าเชื่อ ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจก็คือ ประสิทธิภาพในการไล่เฉดสีที่ทำได้แม้จะเป็นโทนสีสว่างก็ตาม
ให้มุมในการมองที่ดี เป็นประโยชน์ที่ได้จากหน้าจอที่มีขนาดใหญ่นี้ เมื่อมองจากมุมมองปกติ แล้วเปลี่ยนตำแหน่งการมองไปยังด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านข้าง ซ้าย-ขวา ยังให้ความชัดเจนได้ดี หรือมุมก้ม-เงย ที่อาจทำให้มองว่าสีเปลี่ยนไปเล็กน้อยและมืดลงบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้การมองเสียคุณภาพไป นอกจากนี้ในโหมดการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ชมภาพยนตร์ ดูหนัง เล่นเกม ก็ให้ความสว่างสดใสที่ตอบสนองกลับมาได้ดี รวมถึงโหมดประหยังพลังงานที่ถูกออกแบบมาให้ลดการใช้พลังงานลงเหลือเพียง 38W เท่านั้น
ภาพรวม
จัดว่า Philips Brilliance BDM4065UC นี้ให้ภาพที่มีคุณภาพดี ค่าที่ตั้งจากโรงงาน คุ้มค่าต่อราคา ด้วยความคมชัดที่ดีเยี่ยม ความสว่างและสีดำที่ไล่ระดับได้อย่างคมชัด มีเพียงเรื่องของหน้าจอในส่วนที่อุณหภูมิสีบางส่วนและค่า Brightness ที่อาจจะสว่างมากเกินไปบ้าง แต่โดยรวมต้องถือว่า Philips พัฒนาคุณภาพได้ดียิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาด ส่วนข้อจำกัดด้านกายภาพมีเพียงเรื่องของขนาดที่อาจใหญ่ แม้จะมีค่า PPI ที่เหมาะสมก็ตาม การปรับค่าให้เหมาะสมแล้วใช้วิธีเลื่อนระยะในการดูหน้าจอ จะทำให้ได้ภาพที่มีคุณภาพที่ดีกว่า รวมถึงจอรุ่นนี้ยังตอบโจทย์ในด้านชมภาพยนตร์ ทำงานหรือเล่นเกมได้ไม่ยาก แต่ด้วยเรื่องของขนาดทำให้ขาดความคล่องตัวไปบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญหรือไม่ในการเลือกใช้นั่นเอง