วันที่ 6 ม.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) มี น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานสปช. ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณารายงานการศึกษา เรื่อง การกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานที่เป็นจริง โดยคิดเป็นวินาที ตามที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาเสร็จแล้ว โดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค ชี้แจงว่า ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ กำหนดอัตราค่าบริการไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการ โดยเก็บค่าบริการเป็นนาที แม้จะใช้งานจริงต่อครั้งไม่ถึงนาที ทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนเกินที่ไม่ได้ใช้งาน การกระทำดังกล่าว เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค
สปช.ลงมติ 211-3 เสียงให้ คิดค่าโทรศัพท์มือถือ เป็นวินาที?
ทั้งนี้ ในปี 2556 บริษัท ทรู มีรายได้ 9.6 หมื่นล้านบาท ดีแทค มีรายได้ 9.4 หมื่นล้านบาท และ เอไอเอส มีรายได้ 1.4 แสนล้าน จากการสำรวจการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่พบว่า ค่าบริการระบบเติมเงิน เฉลี่ยอยู่ที่ 341 บาทต่อเดือน ระบบรายเดือนอยู่ที่ 716 บาท เฉลี่ยทั้งสองระบบมีค่าใช้จ่าย 415 บาทต่อเดือน
น.ส.สารี กล่าวว่า หากมีการคิดค่าบริการตามจริงเป็นวินาที ไม่มีการปัดเศษเป็นนาที จะช่วยประหยัดค่าโทรศัพท์ได้วันละ 1 นาที หรือ 1.33 บาท ซึ่ง 1 เดือน จะประหยัดได้ 40 บาทต่อคน ประเทศไทยมี 94 ล้านเลขหมาย จะประหยัดเงินได้เดือนละ 3,591 ล้านบาท หรือปีละ 43,092 ล้านบาท สิ่งที่คณะกรรมาธิการฯ เสนอ ช่วยประหยัดได้กว่า 3,000 ล้านบาทต่อเดือน เป็นการลดการเอารัดเอาเปรียบ จึงขอให้ สปช.เห็นชอบหลักการกำหนดอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ตามระยะเวลาการใช้งานจริง โดยคิดเป็นวินาที พร้อมส่งเรื่องให้ คสช.ให้ความเห็นชอบหลักการคิดค่าบริการดังกล่าว
นอกจากนี้ ควรส่งเรื่องให้ กสทช.ดำเนินการใช้อำนาจตามมาตรา 31 วรรคสอง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 มีคำสั่งห้ามผู้ประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ คิดค่าบริการโดยปัดเศษวินาทีเป็นหนึ่งนาที โดยให้คิดค่าบริการตามระยะเวลาที่ใช้งานจริงเป็นวินาที ทั้งนี้ สมาชิก สปช. ได้อภิปรายสนับสนุนรายงานดังกล่าวอย่างกว้างขวาง ก่อนที่ประชุม สปช.จะให้ความเห็นชอบรายงานของคณะกรรมาธิการปฏิรูปการคุ้มครองผู้บริโภค ด้วยคะแนน 211-3 เสียง งดออกเสียง 7 เพื่อส่งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องพิจารณา ดำเนินการต่อไป
ที่มา : ไทยรัฐ