ณ เวลานี้คงไม่มีใครไม่รู้จักบริษัทสัญชาติจีนที่มาแรงสุดๆ ในโลกสมาร์ทโฟนอย่าง Xiaomi ครับ โดย Xiaomi นั้นพึ่งจะทำการตั้งบริษัทมาเมื่อในปี 2010 และมีสมาร์ทโฟนตัวแรกส่งสู่ตลาดในปี 2011 ทว่าเวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่ถึง 4 ปีดีนัก Xiaomi ก็สามารถที่จะก้าวเข้ามาอยู่ในตำแหน่งผู้จำหน่ายสมาร์ทโฟนที่มียอดสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ทั้งๆ ที่จริงแล้ว Xiaomi เองก็พึ่งจะเริ่มเปิดตลาดนอกประเทศจีนได้ไม่นานมากนัก ทาง CEO ของบริษัทอย่าง?Lei Jun ได้กล่าวในงาน?China?s World Internet Conference ว่าประเทศอินเดียเป็นประเทศที่ทำให้เรามีกำลังใจในการเปิดตลาดนอกประเทศจีนเป็นอย่างมากเพราะเราได้การตอบรับที่ดีเยี่ยม
Lei Jun ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัท Xiaomi
แน่นอนครับไม่ว่าใครก็ต้องมองไปที่อันดับที่ 1 ของตลาดกันทั้งนั้นแต่ทว่ากว่าที่จะถึงอันดับที่ 1 ได้ Xiaomi ยังมีไม้แข็งที่รอให้ชนอีก 1 บริษัทอย่าง Apple ที่เป็นบริษัทที่มีความแข่งแกร่งมากอยู่เช่นเดียวกัน(และต้องไม่ลืม Lenovo ที่พึ่งจะได้ Motorola เข้าไปอยู่ในอ้อมแขนด้วยอีกหนึ่งบริษัท) ทาง Jun ได้มุ่งบอกเป้าหมายว่าในปีหน้าที่จะถึงนี้พวกเขาต้องการที่จะให้มีผู้ใช้ Xiaomi ทั่วโลกมากกว่า 200 ล้านราย ซึ่งนั่นหมายถึงตัวเลขที่มหาศาล โดยทางที่ปรึกษาทั่วไปและรองประธานอาวุโสฝ่ายกฎหมายและกิจการรัฐบาลของบริษัท Apple อย่าง Bruce Sewell ได้บอกครับว่าการพูดว่าจะพเป็นที่หนึ่งนั้นเป็นเรื่องง่ายแต่ทว่าการทำเพื่อให้ได้เป็นที่หนึ่งนั้นยากกว่ากันมาก
อย่างที่กล่าวไปครับว่าทาง Xiaomi ยังคงมี Apple เป็นก้างขวางคออยู่สำหรับการที่จะไต่ขึ้นไปเป็นลำดับที่ 1 ของตลาดสมาร์ทโฟน Xiaomi อาจจะเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีนแต่ทว่ายอนนั้นก็คิดเป็นเพียงแค่เพียง 6% ของตลาดโลกเท่านั้น หากเทียบกับตลาดโลกแล้ว Samsung ผู้ครองอันดับที่หนึ่งมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 25% ในขณะที่ Apple ผู้ครองตำแหน่งที่ 2 มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 12%(ยอดส่งออกเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ของปี 2014) ดังนั้นถึงแม้ว่า Xiaomi จะสามารถสร้างปฏิหารขึ้นมาได้แต่ก็ยังมีภูเขาอีกหลายลูกที่ Xiaomi จะข้ามครับ
หมายเหตุ – Xiaomi ก้าวเข้าสู่ตลาดด้วยสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android ที่มีสเปคแบบจัดเต็มแต่ราคาย่อมเยาว์ทำให้ตีตลาดได้อย่างรวดเร็วและเป็นที่กล่าวขวัญถึงเป็นอย่างมาก และภายในปีนี้ Xiaomi ก็มีแผนที่จะรุกตลาดโลกในประเทศอื่นๆ ต่อไป อย่างไรก็ดี Xiaomi ก็เคยถูกกล่าวหาอย่างรุนแรงว่าที่ดังขึ้นมาได้นั้นเนื่องจากรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์และส่วนต่อประสาน(User Interface) ดันไปคล้ายคลึงกับของ Apple ครับ
ที่มา :?theguardian
