จากบทความ?ความเป็นมาของ Windows ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 1?และ?ความเป็นมาของ Windows ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 2?วันนี้ก็ได้เวลาจบตอนต่อของบทความความเป็นมาของ Windows แล้วครับ ตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมาถือได้ว่าระบบปฏิบัติการ Windows ทุกรุ่นทุกเวอรชันนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างมากมาย มีทั้งเวอร์ชันที่แย่จนคนใช้ไม่อยากจะพูดถึง กระทั่งเวอร์ชันที่ดีมากจนอยากจะใช้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยไม่เปลี่ยน แต่ทว่ากาลเวลาผ่านไป เทคโนโลยีก็พัฒนาตามครับ จริงๆ แล้วไม่เพียงแค่เกมเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดสเปคของคอมพิวเตอร์ว่าในช่วงเวลานั้นควรจะมีสเปคเป็นอย่างไร แต่ระบบปฏิบัติการอย่าง Windows ในช่วงหลังๆ มานั้นก็กลายเป็นตัวกำหนดสเปคเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยเหมือนกันครับ ไปดูกันต่อเลยดีกว่าครับว่าระบบปฏิบัติการ Windows ที่เหลือๆ อยู่จะมีอะไรบ้าง
Windows Vista
ระบบปฏิบัติ Windows Vista นั้นได้ถูกประกาศให้ผู้คนทั่วไปได้รู้จักกันในวันที่ 22 เดือนกรกฎาคม 2005 โดยระบบปฏิบัติการ Windows Vista นั้นมีชื่อรหัสในการพัฒนาว่า Longhorn ครับ ทั้งนี้ระบบปฏิบัติการ Vista นั้นได้ถูกตั้งเป้าให้ใช้งานกับอุปกรณ์หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น PC Desktop, Notebook, Tablet PC และ Media Center การพัฒนา Windows Vista นั้นสิอ้นสุดเมื่อวันที่ 8 เดือนพฤศจิกายน 2006 หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือนได้ในวันที่ 30 เดือนมกราคม 2007 ระบบปฏิบัติการ Windows Vista ก็ได้วางขายอย่างเป็นทางการครับ โดยระบบปฏิบัติการ Windows Vista นั้นใช้เวลา 5 ปีในการวางตลาดหฟลังจากที่ Windows XP ได้วางขายครับ
Windows Vista นั้นมาพร้อมกับการอัพเกรดในส่วนต่างๆ มากมายครับ โดยที่เห็นชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นกราฟิกของส่วนต่อประสาน(graphical user interface) และ visual style ที่มาในชื่อ Aero เรียกได้ว่าตอนนั้นระบบปฏิบัติการ Windows Vista นั้นสายกว่าระบบปฏิบัติการ Windows XP เป็นอย่างมาก แถมยังเป็นระบบปฏิบัติการ Windows รุ่นแรกที่มี Windows Sidebar มาให้ใช้งานโดยผู้ใช้สามารถที่จะเพิ่ม Desktop Gadgets เข้าไปได้ นอกจากกราฟิกที่มีการพัฒนาแล้ว Windows Vista ยังมาพร้อมกับระบบค้นหาแบบใหม่ที่เรียกว่า Windows Search มีการปรับปรุงดีไซน์ networking, audio, print และ display sub-system ที่เหนือไปกว่านั้นก็คือการเพิ่มเครื่องมือสำหรับการใช้งานมัลติมีเดียใหม่ๆ อย่าง Windows DVD Maker เป็นต้น
Windows Vista นั้นได้รับความใส่ใจด้านการใช้งานทางด้านการสื่อสารมากครับ ไม่ว่าจะเป็นระบบ home network ที่ถูกปรับแต่งให้ใช้งานง่ายกว่าเดิมจาก หรือการมาถึงของเทคโนโลยี peer-to-peer ที่ใช้สำหรับการแชร์ไฟล์และมีเดียจาก Vista อีกทั้งยังมาพร้อมกับ Internet Explorer 7 ที่ได้รับการอัพเกรดให้น่าใช้งานมากกว่าเดิม รวมไปถึง Vista นั้นยังมาพร้อมกับ .Net Framework เวอร์ชัน 3.0 ที่อนุญาติให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถที่จะเขียนโปรแกรมได้โดยไม่ต้องผ่าน Windows APIs อีกต่อไปครับ ทางด้านความปลอดภัยของระบบนั้น Windows Vista ก็ไม่แพ้ใครครับ โดยทาง Bill Gates ที่ยังคงดำรงตำแหน่ง CEO อยู่ในสมัยนั้นได้ออกมาบอกว่า Vista นั้นเป็นระบบปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่ Microsoft เคยพัฒนาครับ
ดูเหมือนว่า Windows Vista นั้นจะมีแต่ข้อดีใช่ไหมครับ ซึ่งคนก็น่าจะใช้เยอะ แต่ปรากฎว่าในความเป็นจริงกับไม่เป็นเช่นนั้นครับ ด้วยความที่ระบบปฏิบัติการ Windows Vista นั้นมาพร้อมกับการจัดเต็มแบบสุดๆ ในทุกๆ ด้านทำให้สเปคเครื่องที่จะสามารถใช้งาน Windows Vista ได้เป็นอย่างดีนั้นก็สูงตามขึ้นไปด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เครื่องสเปคเก่าๆ หน่อยจะใช้งานไม่ได้ดีนะครับ เพียงแต่ว่าก็จะไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์กราฟิกต่างๆ ได้เท่านั้นเองครับ และระบบปฏิบัติการก็จะช้าอย่างที่ท่านรู้สึกได้ในแบบทันทีทันใดว่าเครื่องเดิมที่เคยใช้ Windows XP แล้วเร็วนั้น พอเปลี่ยนมาใช้ Windows Vista แล้วจะช้า อีกทั้งยังมีผู้ใช้บางส่วนรายงานว่า Windows Vista นั้นมีความผิดปกติกับฮาร์ดแวร์บางตัวด้วยครับ ด้วยเหตุผลนี้เอง Windows Vista จึงมีผู้ใช้งานน้อยและไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร ถือได้ว่าเป็นอีกระบบปฏิบัติการของ Microsoft ที่ประสบความล้มเหลวครับ
ระบบปฏิบัติการ Windows Vista นั้น ได้หมดช่วงของการสนับสนุนหลักไปเมื่อวันที่ 10 เดือนเมษายน 2012 ที่ผ่านมาครับ แต่ทว่ายังจะมีสนับสนุนอัพเดทความปลอดภัยออกมาจนกระทั่งวันที่ 11 เดือนเมษายน 2017 ทั้งนี้ Windows Vista ได้ตัวสนันสนุนหลักสุดท้ายคือ Service Pack 2 ซึ่งปล่อยออกมาในวันที่ 28 เดือนเมษายน 2009 ครับ จากรายงานของผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows นั้นพบว่ามีผู้ใช้งาน Windows Vista น้อยมากครับ โดยน้อยกว่ารุ่นพี่อย่าง Windows XP อยู่พอสมควร และหลังจากที่ Windows 7 ออกมา ผู้ใช้งาน Windows Vista ก็แทบจะไม่เหลืออยู่เลยครับ
Windows 7
การพัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows 7 นั้นมีมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2006 ครับ โดยในตอนนั้น Windows 7 มีรหัสการพัฒนาว่า “Blackxomb” หลังจากใช้ระยะเวลาพัฒนาประมาณ 3 ปีได้ ในวันที่ 22 เดือนกรกฎาคม 2009 ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ก็ถูกส่งไปยังผู้ผลิตต่างๆ เพื่อที่จะให้นำระบบปฏิบัติการนี้ไปใช้งานกับอุปกรณ์ของผู้ผลิต และในวันที่ 22 เดือนตุลาคม 2009 ระบบปฏิบัติการ Windows 7 ก็ออกวางขายในตลาดอย่างเป็นทางการครับซึ่งการวางจำหน่ายของ Windows 7 นั้นใช้เวลาน้อยกว่า 3 ปีจาก Windows Vista ครับ อาจจะเป็นเพราะว่า Microsoft รู้ปัญหาดีว่าระบบปฏิบัติการ Windows Vista นั้นคนส่วนใหญ่ไม่ชอบใช้กันเลยเข็น Windows 7 ออกมาเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าจะเข็นออกมาเร็วขึ้นแต่ว่าระบบปฏิบัติการ Windows 7 นั้นก็มาพร้อมกับความสมบูรณ์อย่างน่าเหลือเชื่อครับ
สำหรับ Windows 7 นั้นเรียกได้ว่าทาง Microsoft ปล่อยออกมาเพื่อลบคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่ดีของ Windows Vista ได้เป็นอย่างดีครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบปฏิบัติการ Windows 7 นั้นมีประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีขึ้นกว่า Windows Vista อย่างเห็นได้ชัด โดยถึงแม้ว่าประสิทธิภาพการจะใช้งานจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ Windows 7 นั้นก็ไม่ได้ต้องการเครื่องคิมพิวเตอร์ที่มีสเปคสูงนักเพื่อที่จะรันระบบปฏิบัติการได้อย่างดีครับ Windows 7 ยังคงมีส่วนต่อประสานที่นำข้อดีมาจาก Vista ซึ่งก็คือความสวยงาม แต่ทาง Microsoft ก็ได้ทำการตัดส่วนที่ไม่จำเป็นทิ้งไปเช่นแอฟเฟ็คบางประการที่ทำให้ระบบช้าเป็นต้น ซึ่งนั่นคือข้อดีของ Windows 7 เลยครับ
ถึงแม้ว่าส่วนต่อประสานจะยังคงเหมือนกันกับ Windows Vista แต่ทว่าใน Windows 7 เองนั้นก็มีสิ่งที่เปลี่ยนไปครับ ตัวอย่างเช่น taskbar ที่ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะปัก(pinned) โปรแกรมลงไปบน taskbar ได้เป็นต้น(ซึ่งความสามารถนี้ก็มีมาจนถึงปัจจุบัน) นอกไปจากนั้น Windows 7 ยังมาพร้อมกับความสามารถในการใช้งานผ่านหน้าจอแบบสัมผัส ที่ผู้ใช้สามารถที่จะสัมผัสหน้าจอเพื่อที่จะใส่ข้อมูลในแบบ multitouch ได้ Windows 7 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่อย่าง Action Center ที่ใช้สำหรับการแจ้งเตือนให้ผู้ใช้ได้รู้เกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบ รวมไปถึงการบำรุงรักษาต่างๆ ของระบบ รวมไปถึงรองรับการน้ำเข้าข้อมูลผ่านทาง handwriting recognition สนับสนุน virtual hard disks มาพร้อมกับ Windows Media Center เวอร์ชันใหม่ และ Gadget ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากบน Windows Vista เป็นอย่างมากครับ
Windows 7 มาพร้อมกับ Internet Explorer 8 และ Windows Media Player 12 อีกทั้งยังมาพร้อมกับ Windows Virtual PC ที่มาพร้อมกับ Windows 7 Professional, Enterprise และ Ultimate ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรมบน Windows XP Mode ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพบน Windows 7 ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่มากพอสมควรในสมัยนั้นครับ เพราะก่อนหน้านั้นถ้าผู้ใช้อยากใช้ Virtual PC แล้วหล่ะก็จะต้องหาโปรแกรมอย่าง VMWare มาลงเป็นต้นครับ สำหรับด้านการเล่นเกมนั้น Windows 7 ก็มาพร้อมกับ DirectX10 ที่รองรับการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี แถมยังมีฟีเจอร์อย่าง Remote Desktop Protocol(RDP) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถที่จะทำการรีโมทการใช้งาน Windows 7 ได้อีกด้วยครับ
สำหรับ Windows 7 นั้นถูกแบ่งออกมาเป็น 6 แบบด้วยกันครับ โดยในการวางขายนั้น Windows 7 มีวางขายทั้งหมด 3 เวอร์ชัน ได้แก่?Home Premium, Professional และ Ultimate editions ส่วนอีก 3 เวอร์ชันนั้นไม่มีวางขายปกติโดยทั่วไปซึ่งจะเป็นการติดตั้งผ่านทาง OEM ได้แก่?Starter edition ส่วนเวอร์ชัน?Starter edition นั้นจะมาในรูปแบบของ volume licensing และท้ายสุดกับ?Home Basic ที่วางขายเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาครับ
Windows 7 นั้นถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากครับ โดยถึงแม้ว่ารุ่นถัดไปของ Windows 7 จะออกมาให้เลือกซื้อแล้ว แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ยังคงเรียกหา Windows 7 อยู่ อาจจะเนื่องด้วยความสมบูรณ์พร้อมในทุกๆ ด้านเลยทำให้ Windows 7 ยังคงเป็นระบบปฏิบัติการที่มีคนใช้งานมากที่สุดของ Microsoft ในปัจจุบันนี้ครับ ทั้งนี้ Windows 7 ได้รับการสนับสนุนหลัก Service Pack 1 เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011 ที่ผ่านมา โดยทาง Microsoft จะยังคงให้การสนับสนุนหลักนี้แก่ Windows 7 ต่อไปจนถึงวันที่ 13 มกราคม 2015 ครับ ส่วนสนับสนุนอัพเดทความปลอดภัยนั้นจะสิ้นสุดลงในวันที่ 14 มกราคม 2020 ตามรูปการณ์แล้ว Windows 7 น่าจะยังคงได้รับความนิยมในการใช้งานไปอีกนานเหมือนรุ่นพี่อย่าง Windows XP ครับ
Windows 8/8.1
ระบบปฏิบัติการ Windows 8 นั้นได้รับการเปิดตัวในงาน CES 2011 ที่ผ่านมาครับ จากนั้นในช่วงเดือนกันยายน 2011 – พฤษภาคม 2012 ก็ได้มี Windows 8 pre-release ออกมาถึง 3 เวอร์ชันด้วยกันครับ และในวันที่ 1 กรกฎาคม 2012 นั้น Windows 8 ก็ได้ถูกส่งไปยังผู้ผลิตต่างๆ เพื่อวางจำหน่ายจริงในวันที่ 26 ตุลาคม 2012 ครับ สำหรับ Windows 8 นั้นถือได้ว่าเป็นอีกครั้งที่ทาง Microsoft ได้เปลี่ยนแปลงส่วนต่ปประสาน(User Interface) ใหม่ โดยได้มีการแนะนำหน้า Start Screen ที่เรียกว่า Metro (ตอนหลังเปลี่ยนมาเรียกเป็น Modern) อยู่ในรูปแบบของ live tiles ซึ่งรองรับกับการใช้งานบนเครื่องที่มีหน้าจอสัมผัสโดยเฉพาะ(เน้นไปที่ tablet เนื่องจากในเวลานั้น smartphone และ tablet ทำให้ตลาด PC มียอดขายลดลงเป็นจำนวนมาก แถมระบบปฏิบัติการอย่าง Android และ iOS ก็มาแรงมากเหลือเกินในช่วงเวลานั้น)
นอกเหนือไปจากการแนะนำหน้าจอ Start Screen แบบใหม่แล้วนั้นทาง Microsoft ได้ทำการตัด Start Menu ทิ้งไปใน Windows 8 ครับ โดยใส่ Charm bars เข้ามาแทน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผู้ใช้หลายๆ คนบ่นกันอย่างมาก เนื่องจากว่ายังคงติดอยู่กับการใช้งาน Start Menu อยู่ การบังคับอย่างทันทีทันใดให้ผู้ใช้เปลี่ยนรูปแบบการใช้งานนั้นทำให้ Windows 8 ไม่สามารถที่จะทำยอดขายได้มากเท่าไรครับ ทั้งๆ ที่จริงแล้ว Windows 8 นั้นมีทั้งความเสถียรในการใช้งาน ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า Windows 7 แถมยังมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอย่างมากมาย เช่น Windows Store ที่เป็นแหล่งสำหรับแอปพลิเคชันบน Modern UI ที่มีทั้งของฟรีและแอปเสียเงินต่างๆ ให้เลือกอย่างมากมาย แถม Windows 8 ยังรองรับการใช้งาน USB 3.0 ในตัวอีกด้วย อีกทั้งยังรองรับการใช้งานร่วมกับ NFC และ cloud computing มีการบูทระบบปฏิบัติการที่รวดเร็วอย่าง UEFI Secure Boot(เฉพาะรุ่นที่ mainboard รองรับ UEFI firmware เท่านั้น)
ถึงแม้จะมากับ Start Screen แบบใหม่ แต่ Windows 8 ก็ยังไม่ได้ทิ้งหน้าจอแบบ Desktop เก่าไปครับ ผู้ใช้ยังสามารถที่จะทำการสลับใช้งานระหว่างหน้าจอ Start Screen กับ Desktop แบบเก่าได้อยู่ ทว่าผู้ใช้บางคนก็มองว่านี่เป็นข้อเสียเพราะเหมือนกับว่าต้องสลับการใช้งานไปมาไม่สะดวกครับ Windows 8 ยังคงมีการติดตั้งบริการ?Microsoft SmartScreen phishing filtering มาให้ผู้ใช้เลยตั้งแต่เริ่มต้นซึ่งบริการนี้ก็คือซอฟต์แวร์ antivirus ของทาง Microsoft นั่นเองครับ ถึงจะมีเสียงบ่นที่ค่อนข้างจะหนาหูอยู่พอสมควรแต่ทว่า Windows 8 นั้นก็สามารถที่จะทำยอดขายไปได้ถึง 60 ล้านหน่วยในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากที่วางขายครับ(นับตั้งแต่วันวางจำหน่ายจนถึงเดือนมกราคม 2013)
เวลาผ่านไปไม่นานมากนักในวันที่ 27 กรกฎาคม 2013 ทาง Microsoft ก็ได้ทำการปล่อยอัปเดท Windows 8 ในชื่อ Windows 8.1 ออกมาครับ โดยได้ส่งไปให้ทางผู้ผลิตต่างๆ และ Windows 8.1 ก็เริ่มเปิดตัวออกสุ่ตลาดจริงๆ จังๆ ในวันที่ 17 ตุลาคม 2013 โดยในการอัพเดทนี้ก็ถือได้ว่า Microsoft ใส่ใจกับเสียงตอบรับจากผู้ใช้งาน Windows 8 เป็นอย่างดีครับ โดยในครั้งนี้นั้นผู้ใช้สามารถที่จะตั้งค่าให้เข้าสู่หน้าจอแบบ Desktop ได้เลยโดยไม่ต้องผ่าน Start Screen ก่อน นอกไปจากนั้นก็มีการปรับปรุงใหม่ๆ อีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านประสิทธิภาพ ความเสถียร และความปลอดภัย โดยผู้ใช้งาน Windows 8 อยู่นั้นสามารถที่จะทำการอัพเดทเป็น Windows 8.1 ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียค่าบริการใดๆ เพียงเขาไปที่ Windows update ครับ
Windows 8 นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 รุ่นใหญ่ๆ ครับ คือ Windows 8 สำหรับ CPU x86/x64 แบบธรรมดา ส่วนอีกรุ่นนั้นคือ Windows RT 8 ซึ่งสามารถใช้งานได้บน tablet ที่ใช้ CPU ที่มีสถาปัตยกรรมเป็น ARM ครับ การที่ทาง Microsoft แบ่งระบบปฏิบัติการ Windows 8 ออกเป็น 2 รุ่นใหญ่ๆ นี่เองทำให้เราเห็นได้ครับว่า Microsoft เริ่มมีการตื่นตัวกับการมาของ smartphone และ tablet เป็นอย่างมาก และจาก Windows 8 นี้เองครับที่ทำให้เราเห็นได้ว่า Microsoft ใสใจกับบริการ cloud มากขึ้น โดยทาง Microsoft ได้มีการพัฒนา OneDrive บริการพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ cloud ของตัวเองแล้วเชื่อมการใช้งานเข้ากับ Windows 8 อย่างจริงจังครับ โดย Windows 8 นั้นยังมาพร้อมกับ Internet Explorer 11 ครับ
สำหรับระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 นั้นทาง Microsoft จะหยุดให้การสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มกราคม 2018 หยุดการสนับสนุนส่วนขยายในวันที่ 10 มกราคม 2023 แต่ทว่าผ่านไปไม่ถึง 3 ปี ณ ปัจจุบันนี้ทาง Microsoft ก็ได้เปิดตัวระบบปฏิบัติการรุ่นถัดไปอย่าง Windows 10 ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ ทั้งนี้รายละเอียดของระบบปฏิบัติการ Windows 10 นั้นยังคงเป็นปริศนาในหลายๆ อย่างแต่ผู้ใช้ก็สามารถที่จะทำการลง Windows 10 Technical Preview เพื่อทดสอบใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows 10 ได้ครับ
บทสรุปของ Windows
จากบทความความเป็นมาของ Windows ตั้งแต่ตอนที่ 1, ตอน ที่ 2 และตอนจบนี้หลายๆ ท่านคงจะเห็นได้ครับว่าระบบปฏิบัติการ Windows นั้นอยู่คู่กับเรามาหลายยุคหลายสมัย มีทั้งช่วงเวลาที่ดี และช่วงเวลาที่แย่ปะปนกันไป สลับกันไปมาจนกระทั่งมีคนบอกว่า Microsoft จะผลิตระบบปฏิบัติการออกมาได้ดีและไม่ดีสลับกันไป ทั้งนี้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่เปิดให้โหลด Technical Preview มาใช้งานกันนั้นก็ยังจะต้องมีการพัฒนาไปอีกมากพอสมควร แต่แน่นอนครับว่า Microsoft คงไม่มีทางหยุดพัฒนาอะไรใหม่ๆ ใส่เข้ามาในระบบปฏิบัติการให้เราๆ ท่านๆ ได้ลองใช้งานกันอย่างแน่นอนครับ
ที่มา : microsoft, wikipedia, wpcenter