มาถึงรีวิวตัวสุดท้ายของเครื่องพิมพ์จาก HP ครั้งนี้ก็เป็นตัวของ Deskjet Ink Advantage 3545 ที่เป็นรุ่นกึ่งกลางระหว่าง HP Deskjet 2545 กับ 4515 ก็อาจจะเรียกรุ่นนี้ว่าเป็น sweet spot ของทั้งสองรุ่น คือได้ฟีเจอร์ของของรุ่นใหญ่ของ HP Deskjet 4515 มาทั้งหมดแต่ราคาถูกกว่า 1 พันบาท จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟีเจอร์สำหรับงานพิมพ์ในระดับสูงอย่าง Borderless Printing และ Automatic Duplex ในราคาที่ประหยัดกว่าโดยแลกกับหน้าจอทัชสกรีนที่หายไปแต่เป็นหน้าจอแบบปกติทั่วไปมาแทน ส่วนรายละเอียดต่อตามด้านล่างเลยครับ
ตัวเครื่อง
ถ้าใครได้อ่านรีวิวของ HP Deskjet 4515 นั้นก็คงสังเกตได้ว่าเครื่องนั้นมีลักษณะคล้ายกับ Deskjet 3545 มากยกเว้นแต่เพียงหน้าจอด้านหน้าที่เป็นจอ LCD แบบปกติที่สั่งงานด้วยปุ่ม 6 อย่างข้างๆ ซึ่งต่างกับรุ่น 4515 ที่จะเป็นจอสัมผัสสั่งงานได้โดยตรง ส่วนดีไซน์อื่นที่เห็นนั้นอาจจะเรียกว่าเป็นพิมพ์เดียวกันเลยก็ได้
พาเนลด้านหน้าของเครื่องนั้นมีขนาด 2 นิ้วแสดงผลได้แบบขาว-ดำ เวลากดเลือกคอนเฟิร์มก็สามารถใช้ตรงคำสั่ง OK เพื่อยืนยันได้ ในบางครั้งนั้นสองปุ่มล่างสุด (ที่เป็นเครื่องหมายขีดกับปุ่ม OK) จะเป็นช็อตคัตเพื่อเลือกใช้งานได้ด้วย คล้ายๆ กับเมนูของมือถือตระกูล Symbian เมื่อก่อนครับ
ตัวเครื่องส่วนใหญ่ของ HP Deskjet 3545 นั้นเป็นพลาสติกดำด้านเกือบทั้งหมด ยกเว้นบริเวณพาเนลเท่านั้นที่เป็นแบบเงา
ชุดอุปกรณ์ที่แถมมานั้นก็มีสายไฟ 1 เส้น สาย USB 1 เส้น (ไม่ต้องใช้ถ้าต่อแบบไร้สาย) เสียบทางด้านหลังของเครื่อง เครื่องนี้ต่างกับ HP Deskjet ไดรเวอร์ 1 แผ่น ตลับหมึก HP678 สีรวมและสีดำอย่างละตลับ
ช่องที่รับส่งกระดาษนั้นยังมีทางเดียว โดยเราป้อนกระดาษเข้าไปในช่องพลาสติกสีครีม กระดาษที่พิมพ์ออกมาแล้วก็จะออกมาทางช่องเดียวกัน ส่วนนอกสุดนั้นยังสามารถขยายออกมาเพื่อรับกระดาษที่พิมพ์ออกมา เวลาจะใส่กระดาษก็ต้องดึงถาดออกมาก่อน พอใส่เสร็จแล้วก็ดันเข้าไปเป็นอันเสร็จพิธีครับ
บริเวณส่วนบนของเครื่องเมื่อยกออกมาก็จะเป็นส่วนของแสกนเนอร์ ตรงนี้เวลาก็ใช้เวลาพิมพ์งานแบบก็อปปี้เหมือนกัน
เมื่อยกขึ้นมาอีกชั้น ก็จะพบกับภายในของเครื่อง ซึ่งเป็นที่ใส่ตลับหมึกของ HP Deskjet 3545 ตลับหมึกที่ใช้เป็นของ HP678 ที่เป็นตลับหมึกดำกับตลับสีรวม ตามสเปคนั้นสีดำจะพิมพ์ได้เยอะกว่าคือ 480 หน้า ของสีรวมนั้นพิมพ์ได้ประมาณ 150 หน้า
หน้าจอหน้าเครื่อง
การใช้งานหน้าจอบริเวณหน้าเครื่องพิมพ์นั้นทำให้การตั้งค่าบนเครื่องพิมพ์นั้นทำได้โดยไม่ต้องพึ่ง PC เท่านั้น และหน้าจอแสดงผลนั้นทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นกว่าเครื่องพิมพ์ที่มีปุ่มก็อปปี้หรือแสกนอย่างเดียว แต่เมื่อลองใช้งานก็อปปี้รุ่นนี้ค่อนข้างจะจำกัดกว่าตัว HP Deskjet 4515 ที่มีออพชันให้เลือกคุณภาพของการพิมพ์ได้ แต่ Deskjet 3545 นั้นก็ยังสามารถก็อปปี้ได้สองหน้า หรือทำก็อปปี้ได้หลายชุด (สูงสุดที่ 50 ชุด) ได้เหมือนเดิม สามารถเลือกก็อปปี้สีหรือขาวดำก็ได้ ตรงส่วนนี้เมื่อรวมเข้ากับการต่อเครื่องแบบไร้สายเข้าไปด้วยนั้นทำให้รู้สึกว่าเครื่องนี้เหมาะกับผู้ที่ใช้แบบ Home Office ค่อนข้างมาก เพราะการเชื่อมต่อไร้สายที่รองรับผู้ใช้งานได้หลายคน และการก็อปปี้หรือแสกนนั้นมีฟีเจอร์ที่เหมาะกว่ารุ่นน้องอย่าง Deskjet 2545 ที่สั่งก็อปปี้ได้ทีละชุด ส่วนการก็อปปี้สองหน้านั้นก็ต้องสลับหน้าไปมาเอง ซึ่ง Deskjet 3545 นั้นทำได้เพราะว่าได้ฟีเจอร์อย่าง Automatic Duplex มาแล้วนั่นเองครับ
นอกจากการก็อปปี้แล้วสิ่งที่ทำได้ผ่านเครื่องก็คือการแสกน เมื่อกดสั่งแสกนแล้วจะเลือกไปยังเครื่องที่เราติดตั้งไดรเวอร์เครื่องพิมพ์ไว้อยู่แล้ว ส่วนอื่นๆ นั้นเป็นการปรับแต่ค่า อย่าง Wi-Fi Direct หรือการตั้งค่าให้เครื่องพิมพ์ต่อเข้ากับเครื่องแบบไร้สายได้ หรือเช็คระดับหมึก / ล้างหัวหมึกผ่านหน้าจอนี้ก็ทำได้เหมือนกัน
การพิมพ์งาน
เครื่องรุ่นนี้รองรับการพิมพ์งานขนาดใหญ่สุดที่ขนาด A4 ที่เป็นขนาดมาตรฐานส่วนใหญ่ของเครื่องพิมพ์ในช่วงราคานี้ และรองรับขนาดอื่นๆ อย่าง A5, B5, DL, C6, A6 และตลับหมึก HP678 แบบสีดำ และสีรวม จากดีไซน์ของตลับหมึกที่เป็นสีรวมนั้นทำให้อาจจะรู้สึกว่าไม่คุ้มกับการพิมพ์สีเท่าไรนักเพราะถ้าสีใดสีหนึ่งในตลับหมดก่อนก็จะทำให้ต้องเปลี่ยนหมดทั้งตลับ แต่ตลับของ HP678 นั้นก็ไม่ถือว่าแพงนัก ตกอยู่ราคาราวๆ 300 กว่าบาทเท่านั้น ตลับของ HP รุ่นนี้เมื่อเปลี่ยนก็จะเปลี่ยนหัวพิมพ์พร้อมกันไปด้วย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องหัวพิมพ์ตันเหมือนเครื่องพิมพ์ Inkjet รุ่นอื่นๆ ความละเอียดในการพิมพ์สูงสุดอยู่ที่ 4800 x 1200 พิกเซล
เนื่องจากผมได้เทสตัวของ HP ที่ใช้ตลับหมึก 678 มามากพอสมควร และแบบคละกันไปมาหลายรุ่นนั้น คนที่ใช้งานพิมพ์เอกสารปกตินั้นถือว่าพิมพ์ได้เยอะมากและอาจจะใกล้เคียงกับสเปคที่ HP เขียนเอาไว้คือประมาณ 480 หน้า แต่สำหรับงานสีนั้นอาจจะแตกต่างกันได้มากจากปริมาณสีที่พิมพ์ลงบนกระดาษว่ามากน้อยแค่ไหน ใช้สีไหนบ่อยกว่า แต่จากราคาหมึกที่แค่สามร้อยกว่าบาทนั้นตกไปแล้วก็อาจจะไม่ต้องคิดมากกับเรื่องนี้เท่าไร แต่จากที่ประมาณแล้วถ้าพิมพ์งานเอกสารที่มีแซมสีหน่อยๆ บ้างก็น่าจะได้ประมาณร้อยหน้าขึ้นไป แต่ถ้าใครคิดจะพิมพ์งานสีเป็นหลักแล้วเครื่องรุ่นนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร หาซื้อเครื่องพิมพ์ที่เป็นตลับสีแยกน่าจะดีกว่าครับ
การเชื่อมต่อและพิมพ์งานแบบไร้สาย
จุดที่ทำให้ HP Deskjet 3545 (รวมไปถึงรุ่นอื่นอย่าง Deskjet 2545 และ 4515 ด้วย) คือการที่เครื่องรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายมาให้ซึ่งก็น่าจะเป็นมาตรฐานสำหรับเครื่องพิมพ์รุ่นหลังๆ ได้แล้ว (คงคล้ายๆ กับยุคเน็ตแบบสายกับยุค Wi-Fi) เพราะนอกจากจะไม่เกะกะสายแล้วยังสามารถใช้อุปกรณ์อื่นๆ อย่างพีซี โน๊ตบุ๊ค หรือแท็บเล็ต สามารถเชื่อมต่อเข้าด้วยกันได้ทั้งหมด เพราะถ้าใช้สายนั้นก็จะต้องเสียบผ่านพอร์ท USB เท่านั้นถึงจะใช้งานได้ การเปิดใช้งานนั้นแค่นำเครื่องพิมพ์ล็อกอินเข้าไปใน Wi-Fi ของเรา จากนั้นเครื่องที่อยู่ในวงเดียวกันก็จะเห็นเครื่องพิมพ์นี้แล้ว หรือในกรณีที่ไม่มีเราเตอร์ไว้กระจายสัญญาณ Wi-Fi เราก็สามารถให้เครื่องพิมพ์กระจายสัญญาณ Wi-Fi ด้วยตัวเองได้หรือที่เรียกว่า Wi-Fi Direct นั่นเองครับ
ส่วนการพิมพ์งานผ่านอุปกรณ์อื่นๆ อย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนั้น สามารถดาวโหลดตัวแอพ HP ePrint ผ่านทาง Google Plays หรือ Apple Appstore ก็ได้ ออพชันการพิมพ์ต่างๆ เรียกว่าไม่ต่างกับการใช้งานบนคอมพิวเตอร์เลยครับ
การดูแลรักษาและประกัน
ส่วนนี้อาจจะเรียกว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของเครื่องพิมพ์จาก HP คือการประกันที่เรียกว่า Smart Friend ที่มาบริการมาซ่อมถึงที่ ซึ่งแตกต่างกับเครื่องพิมพ์เจ้าอื่นๆ ที่เมื่อมีปัญหาก็ต้องยกไปซ่อมที่ศูนย์บริการเอง จุดนี้ถือว่าสะดวกถ้าเครื่องเกิดมีปัญหาขึ้นมา ส่วนอื่นๆ ก็จะเป็น Callcenter ที่ให้บริการ 24 ชั่วโมงหรือการประกันระยะเวลา 2 ปี ซึ่งมากกว่าเจ้าอื่นในตลาด สำหรับใครที่ต้องการประกันและดูแลรักษาในระยะยาวตรงนี้ถือว่า HP ให้มาดีกว่าเจ้าอื่นๆ มากครับ
ส่วนเรื่องหัวพิมพ์ตันที่เป็นปัญหาของเครื่องพิมพ์ Inkjet หลายรุ่นนั้นก็ตัดปัญหาสำหรับเครื่องพิมพ์รุ่นนี้ไปได้เลย เพราะว่าทุกครั้งที่เปลี่ยนตลับหมึกก็จะเปลี่ยนหัวพิมพ์ให้ด้วย ในกรณีเลวร้ายที่สุดที่ต้องเปลี่ยนเปลี่ยนทั้งเซ็ทก็เกิน 700 บาท ต่างกับเครื่องพิมพ์ Inkjet ส่วนใหญ่ที่หัวพิมพ์ติดกับเครื่องซึ่งเวลาเปลี่ยนทีก็เสียหลักพันขึ้นไปจนไปถึงหลายพันก็มี
สรุป
HP Deskjet Ink Advantage 3545 นั้นถ้าใครอ่านแล้วรีวิวตัวก่อนหน้ามาอย่าง Deskjet 2545 และ Deskjet 4515 นั้นคงพูดได้ว่า HP Deskjet 3545 นั้นเป็นรุ่นที่ลงตัวที่สุดในแง่ของ Inkjet All-in-one ที่รองรับการพิมพ์ ก็อปปี้ และแสกน เพราะว่ามีฟีเจอร์การพิมพ์ที่ดีกว่า HP Deskjet 2545 อย่าง Borderless Printing ที่พิมพ์ภาพได้แบบไม่ต้องเว้นขอบกระดาษอีก และการพิมพ์ Duplex อัตโนมัติที่ไม่ต้องมานั่งสลับกระดาษซึ่งอาจจะผิดพลาดระหว่างเวลาใช้งานจริงๆ ได้ ซึ่งฟีเจอร์ทั้งสองนี้มีใน HP Deskjet 4515 ที่มีราคาแพงกว่าประมาณ 1,000 บาท (Deskjet 3545 มีราคากลางที่ 3,590 บาท ส่วน Deskjet 4515 อยู่ที่ 4,590 บาท)
การใช้งานรวมๆ นั้นจัดว่าเป็นกลุ่มเครื่องพิมพ์ Inkjet ออกแบบมาสำหรับ?Home Office หรือผู้ใช้งานที่ต้องการฟีเจอร์ระดับสูงอย่าง Automatic Duplex หรือ Borderless Printing และอยากได้เครื่องเดียวครบทั้งปริ๊น สแกน ก็อปปี้ การใช้งานนั้นทำได้ง่าย และมีขั้นตอนการแนะนำบอกผ่านหน้าจอเป็นระยะๆ อย่างการเซ็ทการพิมพ์แบบไร้สายนั้นสำหรับคนไม่คุ้นเคยก็ทำได้ไม่ยากนัก?สิ่งที่ HP Deskjet 3545 แตกต่างออกไปจาก HP Deskjet 4515 นั้นก็มีเพียงหน้าจอทัชสกรีน ถ้าเทียบแล้วก็ราคาก็แพงกว่า 1,000 บาท ซึ่งไม่ได้แตกต่างกันในด้านการใช้งานมากนัก ใครที่เน้นเรื่องฟีเจอร์มากกว่าความหรูหราก็อาจจะพิจารณารุ่นนี้มากกว่าครับ
ข้อดี
- ไม่ต้องใช้สายในการเชื่อมต่อจึงไม่เกะกะ
- สั่งพิมพ์งานแบบไร้สายได้ทั้งพีซี โน๊ตบุ๊ค
- แอพลิเคชัน HP ePrint ทำออกมาดีและใช้งานได้ง่ายสำหรับ Android และ iOS
- รองรับการพิมพ์ภาพแบบไร้ขอบ และ Duplex อัตโนมัติ
- ตลับหมึกแท้ราคาไม่แพง
- ดีไซน์ดีกว่าเครื่องพิมพ์ยี่ห้ออื่นๆ ในราคาระดับใกล้ๆ กัน
- หน้าจอ LCD ใช้งานได้สะดวกกว่าแบบไม่มี
- ประกัน 2 ปีนานกว่าเจ้าอื่นและซ่อมถึงที่
จุดสังเกต
- ตลับหมึกสีรวมจึงไม่สามารถพิมพ์งานสีได้มากนัก