แท็บเล็ตก็ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและล้นหลามในปัจจุบัน แน่นอนแท็บเล็ตเองก็มีให้เลือกใช้เลือกซื้อหลานแบรนด์มากๆ แต่ครั้นจะเลือกซื้อแท็บเล็ตให้โดนใจ ต้องดูอะไรบ้างนั้นหลายคนยังไม่รู้ครับ วันนี้เราทีมงาน NotebookSPEC จึงขออาสาแนะนำวิธีเลือกซื้อแท็บเล็ตให้ถูกใจเพื่อนๆสมาชิกกัน
เลือกซื้อแท็บเล็ตตามราคา
แน่นนอนช่วงราคานั้นก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญที่สุดเลยในการเลือกซื้อแท็บเล็ตเลยละครับ โดยช่วยราคาของแท็บเล็ตนั้นก็จะแบ่งได้อยู่ 3 ช่วงหลักๆ ดังนี้คือ
- 1-5,000 บาท ในช่วงราคานี้จะค่อนข้างหลากหลายครับ ซึ่งก็มีแท็บเล็ตที่มีคุณภาพ และแท็บเล็ตจากจีน จะให้ดีในกลุ่มราคานี้เริ่มต้นที่ 3,000 บาท ขึ้นไปก็ได้แท็บเล็ตที่ค่อนข้างคุ้มแล้วละครับ ซึ่งในกลุ่มนี้จะได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน
- 5,000-10,000 บาท ในช่วงระดับราคานนี้จัดได้ว่าอยู่ในกลุ่มแท็บเล็ตคุ้มค่า ที่มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์และมีประสิทธิภาพต่างๆ ที่ค่อนข้างสูงมากๆ และการออกแบบต่างๆ ก็มีคุณภาพและมีความทนทานพอสมควร
- 10,000 บาทขึ้นไป ในกลุ่มนี้จัดได้ว่าเป็นแท็บเล็ตละดับท็อปเลยกว่าได้ ซึ่งในช่วงราคานี้จะเป็นแหล่งรวมของแท็บเล็ตสำหรับมืออาชีพเอาไว้อย่างมากมายทีเดียว
ลักษณะการใช้งาน
- เล่นไวไฟ อ่านอีบุ๊ค เป็นกลุ่มแท็บเล็ตที่ได้รับความนิยมมากสุดๆ ในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ด้วยรูปแบบการใช้งานที่ง่ายๆ และแท็บเล็ตทุกตัวรองรับเป็นงานหลักอยู่แล้ว
- ติดแชท ติดโทร Advance ขึ้นมาอีกในกลุ่มนี้มีผู้ใช้หลักๆก็จะเป็นวันทำงาน และนักเรียนนักศึกษาผู้ใช้ที่นิยมการแชทตลอดเวลาและการโทรไปด้วย เพราะแท็บเล็ตในกลุ่มนี้ต้องรองรับการใส่ซิมการ์ดในตัวด้วยครับ จึงจะสามารถโทรเข้าและนำไปแชทนอกสถานที่ได้ซึ่งรุ่นที่น่าสนใจก็จำพวก Lenovo A1000 , Samsung Galaxy Tab S เป็นต้น
- ติดแชท ติดโทร เน้นทำงานด้วย ในกลุ่มนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มศิลปิน หรือผู้ใช้งานแบบจริงจังที่ชอบใช้ปากกาจากตัวแท็บเล็ตเองที่ก็สามารถจดเอกสาร และวาดรูปต่างๆ รวมไปถึงยังมีความสามารถในการแชท และโทรได้ซึ่งตัวที่ได้รับความนิยมอย่างล้มหลามก็คือ Galaxy Note 8 นั่นเอง
- ชอบความแตกต่างและใช้งานจริงจัง เช่นกันในกลุ่มนี้ก็หนีไม่พ้นกลุ่มผู้ใช้แท็บเล็ต iOS หรือแท็บเล็ต Windows ครับที่สามารถทำงานได้หลากหลายด้วยแอพพลิเคชั่นที่ออกแบบสำหรับทำงานมีมาก ยิ่งกับแท็บเล็ต Windows 8 ที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดย่อมก็ช่วยให้การทำงานสะดวกยิ่งขึ้น
เลือกซื้อตามสเปค
ซึ่งถ้ามองให้ลึกลงไปอีก และมีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีอยู่บ้างการเลือกซื้อแท็บเล็ตตามสเปคก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจครับ โดยสามารถเลือกได้จาก
หน่วยประมวลผล (CPU)
ถ้าพูดถึงส่วนที่สำคัญที่สุดของแท็บเล็ตในปัจจุบันอาจจะกล่าวได้ว่าคือตัวประมวลผล ซึ่งในปัจจุบันตัวประมวลผลนั้นประกอบไปด้วย CPU เเละ GPU ในตัวเดียวกัน ซึ่งตัวประมวลผลนี้ส่งผลโดยตรงต่อความเร็วเเละความลื่นไหลในการใช้งานโดยตรงของเครื่อง ซึ่งปกติเเล้วเครื่องระดับไฮเอนด์จะใช้ตัวประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูงทำให้การใช้งานนั้นมีความเร็วสูงตามไปด้วย ในขณะที่เครื่องรุ่นล่างเเละกลางก็จะใช้ตัวประมวลผลที่มีประสิทธิภาพรองลงมา องค์ประกอบหลักๆ มีสามส่วนดังนี้ครับ
- ความเร็วซีพียู ถูกวัดด้วยค่า MHz เเละ GHz จำนวน 1000 MHz จะถูกนับเป็น 1 GHz จำนวนยิ่งมากยิ่งประสิทธิภาพสูง
- จำนวนคอร์ จำนวนคอร์ยิ่งมากยิ่งสามารถรองรับการทำงานได้ดีขึ้น เเบ่งเป็น Single Core, Dual Core เเละ Quad Core (1 คอร์ 2 คอร์ เเละ 4 คอร์) เห็นผลได้ชัดในการสลับเรียกโปรเเกรมหรือมีโปรเเกรมทำงานพื้นหลังอยู่
- สถาปัตยกรรม เรียงจากจำนวนตัวเลข โดยเริ่มจาก ARM Cortex A5, A8, A9 เเละ A15 ในความเร็วเท่ากัน ถ้าสถาปัตยกรรมดีกว่าจะมีความเร็วที่สูงกว่า เช่น Cortex A9 ที่ความเร็ว 1 GHz ประสิทธิภาพจะสูงกว่า ARM Cortex A5 ความเร็ว 1 GHz เเต่ Qualcomm นั้นมีสถาปัตยกรรมที่เเยกต่างหากจาก ARM โดย Scorpion จะเทียบเท่า Cortex A8 ส่วน Krait จะอยู่เหนือกว่า Cortex A9 แต่ไม่ถึง Cortex A15 ครับ และปัจจุบัน ARM ก็ได้วาง Cortex-A17 Quad core สำหรับสมาร์ทโฟนระดับกลางไปเรียบร้อย
- เทคโนโลยีการผลิต ในปัจจุบันเเบ่งเป็น 40 นาโนเมตร 32 นาโนเมตร เเละ 28 นาโนเมตร จำนวนยิ่งต่ำยิ่งประหยัดพลังงานเเละมีประสิทธิภาพดีกว่าในจำนวนความเร็วซีพียูที่เท่ากัน
- GPU ส่วนใหญ่วัดจากชื่อรุ่น โดยดูจากผลเทสว่าทำคะเเนนได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆ เเค่ไหน
- Play : MSM8225 (Dual Core)
- Plus : MSM8227 (Dual Core), MSM8260A (Dual Core), MSM8960 (Dual Core)
- Pro : APQ8064 (Quad Core)
- Prime : MPQ8064 (Quad Core)
NVIDIA Tegra 4
ด้านของ NVIDIA เอง ปีนี้ก็ได้ทำการเปิดตัวชิปประมวลผลรุ่นใหม่ของตนออกมา นั่นก็คือ Tegra 4 ซึ่งยังคงคอนเซ็ปท์การแบ่งคอร์ประมวลผลเป็นสองชุดอยู่เช่นเดียวกับ Tegra 3 คือมี 1 คอร์สำหรับประมวลผลงานเบาๆ ทั่วไป และระหว่างสแตนด์บาย ส่วนอีก 4 คอร์ที่เหลือจะเก็บไว้ใช้สำหรับการประมวลผลหนักๆ ซึ่งช่วยให้ในระหว่างการทำงานทั่วไป ระบบจะไม่กินพลังงานมากนัก ส่วนด้านการประมวลผลกราฟิก ก็มีการเพิ่มคอร์ของ GPU ทำให้ประสิทธิภาพการประมวลผลกราฟิกสูงขึ้นกว่า Tegra 3 ถึงหกเท่า
โดยอุปกรณ์ที่ใช้งานชิป Tegra 4 น่าจะเริ่มออกมาตั้งแต่ช่วงปลายปีเป็นต้นไป คาดว่าในช่วงแรกน่าจะเน้นไปที่กลุ่มแท็บเล็ต Android ก่อนเช่นเคย
Samsung Exynos
ส่วนของ Samsung เองก็ได้จัดการเปิดตัวชิปประมวลผล Exynos รุ่นใหม่ของตนด้วยเช่นกัน ในชื่อ Exynos Octa ที่น่าสนใจก็คือมีคอร์ประมวลผลสูงสุดถึง 8 คอร์ แต่จะแบ่งคอร์ออกเป็นสองชุด คือชุดที่ใช้สถาปัตยกรรม Cortex A7 จำนวน 4 คอร์ ไว้สำหรับประมวลผลงานเบาๆ ธรรมดาทั่วไป ส่วนอีก 4 คอร์เป็นสถาปัตยกรรม Cortex A15 โดยเอาไว้ใช้ประมวลผลงานหนักๆ ซึ่งตัวของ Exynos Octa นี้น่าจะลงมาอยู่ในสมาร์ทโฟน/แท็บเล็ตรุ่นไฮเอนด์ของ Samsung ในปีนี้อย่างแน่นอน
ชิปประมวลผลจากผู้ผลิตรายอื่นๆ
ในปีนี้เราน่าจะได้เห็นชิปประมวลผลจากผู้ผลิตรายอื่นๆ มาอยู่ในสมาร์ทโฟน/แท็บเล็ตมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องราคาประหยัด หรือที่เรียกง่ายๆ ว่ามือถือจีน แท็บเล็ตจีน รวมไปถึงแท็บเล็ตราคาประหยัดจากอินเตอร์แบรนด์หลายๆ รายที่หันลงมาเล่นตลาดนี้ด้วย ซึ่งเครื่องกลุ่มนี้มักจะใช้ชิปประมวลผลจาก MediaTek เป็นหลัก ซึ่งประสิทธิภาพก็อยู่ในระดับที่สามารถใช้งานทั่วไปได้สบายๆ แต่อาจจะมีกระตุกบ้างถ้ามีการใช้งานหนักๆ ซึ่งก็เป็นไปตามราคาเครื่องครับ
Intel
นอกเหนือจากนี้ยังมีในส่วนของแท็บเล็ตที่ใช้ชิปประมวลผลของทาง Intel โดยสถาปัตยกรรมเป็น X86 ที่ส่วนมากแล้วแท็บเล็ตประเภทนี้จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows ซึ่งในส่วนของ Intel จะมีการเลือกใช้งานในแท็บเล็ตตั้งแต่ชิปประมวลผล Intel Atom ที่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป และ Intel Core i จะเหมาะกับการใช้งานที่เน้นการประมวลผลหรือใช้งานหนัก
AMD
แน่นอนว่าเป็นสถาปัตยกรรมเป็น X86 และหลักๆ แล้วจะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows คาดว่าจะมีการใช้งานในแท็บเล็ตและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปีนี้ ที่สำคัญคือจะมาเป็นเทคโนโลยี APU ซึ่งมีหน่วยประผลกราฟิกที่เหนือกว่าฝั่งของ Intel
เเรม (RAM)
เเรมหรือหน่วยความจำนั้นเป็นที่เก็บข้อมูลชั่วคราวที่เรากำลังเรียกใช้งานอยู่ ซึ่งปกติเเล้วเเรมจะมีความเร็วสูงกว่าข้อมูลที่เก็บเอาไว้ในพื้นที่เก็บข้อมูลปกติ (รอม) ทำให้สามารถใช้งานเเบบมัลติทาสก์ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้เเล้วเเอพลิเคชันบางตัวมีการใช้งานหน่วยความจำที่สูง จึงไม่มีเเรมเพียงพอที่จะรันเซอร์วิสในเเบคกราวด์อื่นๆ ทำให้เกิดอาการเเอพลิเคชันไม่รันในเเบคกราวด์เพราะโปรเเกรมที่อยู่ในพื้นหลังจะปิดตัวเองอัตโนมัติถ้าเเรมไม่พอ ทำให้ไม่สามารถใช้งานมัลติทาสก์ได้อย่างเต็มที่ถ้าเเรมมีน้อยเกินไป เพราะเมื่อสลับเเอพนั้นจะเหมือนเราเปิดเเอพขึ้นมาใหม่เสมอ ไม่ใช่สภาพล่าสุดที่เราใช้งานเเรมมาตรฐานถ้าต้องการใช้งานได้ดีขั้นต่ำควรอยู่ที่ 512 MB ขึ้นไปครับ โดยในปัจจุบันแรมของสมาร์ทโฟนจะมีแบ่งตามระดับราคาคร่าวๆ ดังนี้
- ช่วงราคาไม่เกิน 10,000 บาท โดยมากจะมีแรมอยู่ที่ 512 MB – 1024 MB
- ช่วงราคา 10,001 บาท – 15,000 บาท โดยมากจะมีแรมอยู่ที่ 1024MB – 2 GB
- ช่วงราคา 15,001 บาทเป็นต้นไปจะมีทั้ง 1 GB และ 2 GB (รุ่นท็อปของปีนี้น่าจะเป็น 3 GB กันหมด)
รอม (ROM)
รอมหรือพื้นที่เก็บข้อมูลนั้นในปัจจุบันได้พัฒนาความจุไปมาก โดยส่วนใหญ่เเล้วในรุ่นระดับกลางก็จะเห็นตั้งเเต่ 8 GB ขึ้นไป ซึ่งจะเเบ่งออกเป็นสองส่วนคือ System Partition ที่เป็นส่วนของระบบในการติดตั้งตัวรอมเเละพื้นที่ติดตั้งเเอพลิเคชันในเครื่อง ส่วนที่เหลือก็เป็นที่เก็บข้อมูลเเบบปกติเหมือนกับ micro-SD card ทั่วไป เช่น เอาไว้เก็บรูปหรือเพลงได้
ขนาดเเละความละเอียดของหน้าจอ (Size & Resolution)
ในปัจจุบันหน้าจอของแท็บเล็ตหลักๆ แล้วจะมีตั้งเเต่ขนาด 7 นิ้วไปจนถึง 11 นิ้ว ซึ่งมีให้เลือกตามความเหมาะสม สำหรับคนที่ต้องการพกพาที่สะดวกสบายที่สุดคงต้องมองเป็นขนาดหน้าจอ 7 – 8 นิ้ว ที่นอกจากนี้เเล้วส่วนมากหน้าจอที่มีขนาดเล็กมักจะมีราคาต่ำกว่าหน้าจอขนาดใหญ่อีกด้วย โดยความละเอียดสูงสุดจะอยู่ที่ 1280 x 720 พิกเซลขึ้นไป
สำหรับคนที่ต้องใช้งานแท็บเล็ตอ่านข่าวสารและเล่นเกมเป็นหลักนั้น ควรเลือกหน้าจอที่มีขนาด 9 นิ้วขึ้นไป เพราะตัวอักษรจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเเละอ่านได้สบายตากว่าในระยะเวลานาน ส่วนความละเอียดหน้าจอนั้นควรจะอยู่ที่ 1280 x 720 พิกเซลขึ้นไป โดยแท็บเล็ตรุ่นระดับสูงๆ จะมาพร้อมกับความละเอียดที่สูงมากๆ อย่าง 1920 x 1080 ขึ้นไป เพื่อความเรียบเนียบในการแสดงผล ส่งผลให้ได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี
เทคโนโลยีหน้าจอ (Panel)
ปัจจุบันนี้หน้าจอเเยกออกเป็นสองเเบบใหญ่ๆ คือ LCD เเละ AMOLED โดย LCD นั้นจะเป็นเทคโนโลยีเเบบดังเดิมคือมีเเสงไฟปล่อยจากข้างหลังจอเเละมีการเปิดปิดของพิกเซลในการเเสดงสี ส่วน AMOLED นั้นพิกเซลจะเปล่งเเสงได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยไฟ Backlit เหมือน LCD
โดยธรรมชาตินั้นข้อดีของ LCD คือสามารถเเสดงสีได้เป็นธรรมชาติเเละมีอายุการใช้งานยาวนาน อีกทั้งยังมีต้นทุนที่ต่ำเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่มีมานานเเล้ว ข้อจำกัดคือไม่สามารถเเสดงสีดำได้สนิทนักโดยจะเห็นว่ามีเเสงสีขาวเเสดงขึ้นมาบ้าง
ส่วน AMOLED นั้นมีข้อดีคือสามารถเเสดงสีดำได้สนิทเนื่องจากเป็นการปิดการเเสดงสีของพิกเซลที่เเท้จริง เเละไม่มีเเสงไฟปล่อยจากด้านหลังเหมือนหน้าจอ LCD เเต่ส่วนใหญ่เเล้วจอ AMOLED นั้นจะมีการเเสดงคอนทราสที่สูง ทำให้สีนั้นมีความสดกว่าต้นฉบับ ซึ่งอาจจะกระทบต่อการใฃ้งานสำหรับคนที่ต้องการความเที่ยงตรงของสีได้
จอ LCD ในปัจจุบันเเบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ
- TN Panel (Twisted nematic) เป็นหน้าจอเเบบปกติที่ใช้กันทั่วไป ส่วนใหญ่ใช้ในเครื่องระดับล่าง – กลาง
- IPS Panel (In-Plane-Switching) เป็นพาเนลที่ถูกพัฒนาในเรื่องของมุมการมองที่กว้างขึ้นกว่า TN เเละสร้างเม็ดสีที่ออกมาคมชัดเเละเที่ยงตรงกว่าเเบบ TN ที่ส่วนใหญ่ถูกใช้ในเครื่องระดับกลางไปทางสูงเเละเครื่องระดับสูง
ส่วนจอ OLED นั้นปัจจุบันที่ถูกใช้กันอย่างเเพร่หลายมีเฉพาะของ Samsung เท่านั้นโดยในชื่อเครื่องหมายการค้าชอง Samsung ที่ชื่อ Super AMOLED ซึ่งข้อดีชองจอชนิดนี้ก็อย่างที่กล่าวมาข้างต้นคือ นอกจากนี้เเล้วยังมีการประหยัดพลังงานที่ยืดหยุ่นตามการใช้งาน คือจะใช้พลังงานเมื่อเฉพาะมีการเปล่งเเสงสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำออกมา เเต่ถ้ามีการเปล่งเเสงอื่นๆ (ขาว เเดง เขียว น้ำเงิน เเละอื่นๆ) ออกมามากที่ไม่ใช่สีดำก็มีอัตราการกินพลังงานไม่ต่างกับหน้าจอชนิดอื่นเช่นกัน
จอ Super AMOLED ในปัจจุบันเเบ่งออกมาสองประเภทหลักๆ คือ
- การเรียงพิกเซลเเบบ Pentile การเรียงพิกเซลโดยใช้จำนวน Subpixel ที่ไม่ใช่ตามปกติ (RGB) โดยมีการเพิ่ม Subpixel เข้าไปทำให้พิกเซลนั้นไม่ได้เรียงตัวเเบบปกติเเละมีรอยหยักที่เห็นได้ชัดเจนเเละไม่คมชัดเท่าเเบบ RGB เเบบปกติ จอที่มีการเรียงเเบบ Subpixel จะมีสีที่เพี้ยนตามจำนวน Subpixel ที่เพิ่มเข้ามา เช่นถ้าเป็น RGBG ภาพก็จะออกมาเป็นโทนเขียวมากกว่าปกติ เเม้จะเเสดงสีขาวก็จะเป็นเเบบสีขาวอมเขียว ซึ่งทาง Samsung ได้บอกว่าการเรียงพิกเซลเเบบนี้จะทำให้จอ Super AMOLED มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นเพราะจะมีพิกเซลสีน้ำเงินน้อยกว่าปกติซึ่งเป็นเม็ดพิกเซลที่เสื่อมสภาพก่อนเม็ดอื่นๆ
- การเรียงพิกเซลเเบบ RGB เป็นการใช้การเรียงพิกเซลเเบบมาตรฐานเหมือนกับจอ LCD ทำให้ไม่ภาพที่ได้ออกมาไม่มีรอยหยักเเละมีความคมของภาพมากกว่า
กล้องดิจิตอล (Camera)
เทคโนโลยีกล้องดิจิตอลสำหรับอุปกรณ์พกพาในตอนนี้ส่วนใหญ่เเล้วจะเเข่งกันที่ความละเอียดพิกเซลเสียส่วนใหญ่ เเต่ก็มีการพัฒนาในเรื่องของค่ารูรับเเสงที่ดียิ่งขึ้นทำให้ถ่ายรูปในที่เเสงน้อยได้ดีกว่าเดิม โดยดูจากค่า F ที่มีจำนวนยิ่งน้อยถือว่ายิ่งรับแสงสว่างได้ดี เช่น F2.2 นั้นดีกว่ากล้องที่มีค่า F ที่ 2.4 ซึ่งนอกเหนือจากค่า F ที่มีเลขน้อยจะช่วยให้รับแสงสว่างได้ดีขึ้นแล้ว ยังจะช่วยให้สามารถถ่ายภาพแบบ หน้าชัดหลังเบลอ ได้ดีขึ้นอีกด้วย เเละส่วนใหญ่ก็มี LED Flash มาให้สำหรับเพิ่มเเสงสว่างเวลาถ่ายในที่มืดเหมือนกันหมด
ที่ปกติแล้วแท็บเล็ตหลายๆ รุ่นก็จะมีการติดตั้งกล้องมาไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งด้านหน้าจะไว้ใช้งาน VDO Call หรือถ่ายรูปตัวเองเป็นหลัก คุณภาพของกล้องก็จะไม่สูงมากนัก สเปกเริ่มต้นอยูที่สามแสนพิกเซล จนไปถึงระดับ 1 – 2 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องด้านหลังจะมีคุณภาพที่สูงกว่าเพราะไว้ใช้งานถ่ายรูปแบบหลัก ซึ่งมีความละเอียดส่วนมากเริ่มต้นตั้งแต่ 2 พิกเซลขึ้นไป
อย่างไรก็ตามกล้องที่มีคุณภาพดีนั้น ปัจจัยหลักที่สำคัญคือเรื่องของเซนเซอร์ที่ยังไม่มีการพูดถึงกันมากนักสำหรับผู้ผลิต ทำให้ส่วนใหญ่ต้องดูจากภาพถ่ายของเครื่องจริง หรือข้อมูลเฉพาะรุ่นเป็นส่วนใหญ่ว่าเน้นเรื่องกล้องมากเเค่ไหน ส่วนใหญ่เเล้วแท็บเล็ตที่ใช้กล้องคุณภาพสูงอาจจะยังไม่มีมากมายนักหากเทียบกับสมาร์ทโฟน นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของภาพถ่ายก็คือเรื่องของซอฟต์แวร์และกระบวนการประมวลผลภาพในตัวเครื่อง
ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตอีกเช่นกัน ว่าจะทำส่วนนี้ออกมาได้ดีขนาดไหน ไล่มาตั้งแต่ก่อนถ่ายภาพเลย ว่าจะคำนวณค่าความสว่าง, White Balance, ISO ได้ดีขนาดไหน รวมไปถึงกระบวนการประมวลผลหลังถ่ายภาพแล้วอีก ทำให้ไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่ากล้องตัวไหนจะดีจะแย่ขนาดไหน ต้องชมจากภาพตัวอย่างที่เอามาเปิดบนจอเดียวกัน ไม่ใช่เปิดบนจอแท็บเล็ตเครื่องใครเครื่องมัน
วัสดุของตัวเครื่อง (Material)
อีกส่วนประกอบหนึ่งในการเลือกซื้อแท็บเล็ต อย่างวัสดุในการผลิตจนเป็นแท็บเล็ตหนึ่งเครื่อง ที่หลักๆ แล้ววัสดุที่เราเห็นกันก็จะมี อาทิเช่น พลาสติก (มีทั้งแบบด้านและแบบมัน), ซอฟท์ทัช และลูมิเนียมอัลลอยด์ (อะลูนิเนียมผสมโลหะอื่น) ว่าแล้วเราก็ไปชมรายละเอียดของแต่ละวัสดุกันเลย
พลาสติก
โดยเรียกได้พลาสติกนั้นว่าเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการประกอบเป็นเครื่องแท็บเล็ต ที่อาจจะเป็นพลาสติกแบบเกรดธรรมดา หรือคุณภาพสูงอย่าง ABS (มีทั้งแบบด้านและแบบมันวาว) ซึ่งของดีของการใช้พลาสติกเป็นวัสดุในการประกอบสำหรับผู้ผลิตค่ายต่างๆ ก็คือ มีต้นทุนที่ถูกที่สุด รวมไปถึงสามารถขึ้นรูปทรงได้ง่าย ถ่ายเทความร้อนได้งดี (ไม่อมความร้อน) ถึงว่าความแข็งแรงทนทานอาจจะมีไม่มากนัก สามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างสบายๆ อย่างไม่ต้องกังวล แต่ก็อาจจะมีข้อสังเกตอยู่ว่า หากใช้ไปนานๆ อาจจะมีอาการกรอบ ทำให้แตกหักได้ง่าย รวมไปถึงสีสันที่เคลือบเอาไว้อาจจะหลุดลอกได้
ซอฟท์ทัช
ซอฟท์ทัช (Soft Touch) เป็นวัสดุประเภทพลาสติกกึ่งยางที่เกิดจากกระบวนการฉีดพลาสติกเข้าสู่แม่พิมพ์แล้วทำการรีดผ่านโรลเย็น โดยวิธีการทำนั้นต้องอาศัยเวลาและน้ำหนักการดึงที่พอดี ไม่เช่นนั้นพื้นผิวยางจะเกิดความเสียหายได้ โดยหลังจากผ่านกระบวนการข้างต้นแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการ Thermoforming ที่เป็นกระบวนการขึ้นรูป ให้พลาสติกขึ้นรูปเป็นรูปแบบต่างๆ ได้ด้วย
ซอฟท์ทัชจัดเป็นพลาสติก ABS ประเภทหนึ่ง โดดเด่นด้านสัมผัสที่ดี ไม่ลื่นหลุดมือง่าย ไม่สะท้อนแสงและไม่มันวาว แต่ทนต่อรอยขีดข่วนกับการถลอกได้ไม่ดีนัก ใช้ไปนานๆ ก็มีโอกาสที่จะลอกหลุดได้ โดยมีความหนาไม่ถึง 1 มิลลิเมตร ทำให้เมื่อนำมาปิดทับจะไม่ทำให้เครื่องหนาเกินไปรวมทั้งเสริมมูลค่าให้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ รวมทั้งทำให้ดูดียิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
อะลูมิเนียมอัลลอยด์
เป็นอีกขั้นของวัสดุในการประกอบเป็นแท็บเล็ต กับอะลูมิเนียมอัลลอยด์ ที่ในตอนนี้เราจะเห็นกันได้ง่ายๆ จาก iPad ของ Apple ที่ใช้กระบวนการพิเศษในการขึ้นรูปตัวเครื่องด้วยอะลูมิเนียมอัลลอยด์เพียงชิ้นเดียว (Unibody) ซึ่งก็จะได้ในเรื่องความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบา รวมไปถึงเมื่อใช้งานก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแรงและหรูหรากว่าวัสดุที่เป็นพลาสติก ที่สำคัญด้วยความที่อะลูมิเนียมอัลลอยด์เป็นโลหะ ให้ในการขึ้นรูปทรงเป็นชิ้นส่วนบางๆ ได้ง่ายโดยยังให้ในเรื่องความทนทานอยู่ แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ค่อนข้างจะเป็นสื่อนำความร้อนได้ง่าย
สำหรับการใช้วัสดุอย่างอะลูมิเนียมอัลลอยด์สิ่งหนึ่งที่ทางผู้ผลิตค่ายนั้นๆ ต้องรับภาระมากยิ่งขึ้นก็คือต้นทุนในผลิต เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าอะลูมิเนียมมีต้นทุนในผลิตนั้นสูงกว่าพลาสติก จึงทำให้แท็บเล็ตที่ใช้อะลูนิเนียมอัลลอยด์เป็นวัสดุนั้น ต้องเน้นไปในเรื่องความความหรูหรา สวยงาม หรือเน้นไปในทิศทางของไลฟ์สไตล์ โดยไม่เน้นในส่วนของราคาที่คุ้มค่าต่อสเปกที่ได้ซักเท่าไหร่นัก
ช่องใส่ซิมการ์ดและเชื่อมต่อ 3G, 4G
แท็บเล็ตบางรุ่นจะมีในส่วนของรุ่นที่รองรับการใส่ซิมการ์ดได้ ทำให้สามารถใช้งานในเรื่องอินเตอร์เน็ต 3G ตามผู้ให้บริการต่างๆ ได้ และปัจจุบันนั้นในประเทศไทยได้มีการเปิดให้บริการ 3G ในระยะเริ่มเเรกเเล้ว โดยเเบ่งเป็นของ true เเละ dtac ในความถี่ 850 MHz, AIS ที่ 900 MHz เเละ TOT ที่ 2100 MHz ซึ่งต้องมีการตรวจสอบสเปกให้ดีว่าแท็บเล็ตเครื่องไหนใช้คลื่นอะไรได้บ้าง
อีกความเเตกต่างหนึ่งคือความเร็วสูงสุดของ 3G ที่รองรับ โดย HSPA จะรองรับที่ความเร็วสูงสุด 7.2 Mbps ส่วนเครื่องที่รองรับ HSPA+ นั้นจะได้ความเร็วสูงสุดถึง 21 Mbps หรือแท็บเล็ตในบางรุ่นก็พร้อมรองรับคลื่น 4G กันแล้ว ซึ่งอาจจะใช้ชื่อสเปกว่า LTE หรือชื่อรุ่นต่อท้ายว่า LTE ก็ให้เข้าใจกันว่าแท็บเล็ตรุ่นนั้นๆ รองรับการใช้งานแบบ 4G กันแล้ว อย่างไรก้ตามสำหรับในประเทศไทยตอนนี้ยังอยู่ในขั้นทดสอบกันอยู่ แต่ในอนาคตก็จะเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการแน่นอน
นอกเหนือจากนี้แท็บเล็ตบางรุ่นยังรองรับการโทรการรับสายได้แบบมือถือทั่วไปอีกด้วยจากการที่สามารถใช้ซิมการ์ดได้ ที่เรียกได้ว่าทำให้แท็บเล็ตนั้นสามารถใช้แทนที่สมาร์ทโฟนได้อย่างเต็มรูปแบบทีเดียว สำหรับราคาก็ถือว่าไม่แพงเลย มีรุ่นที่เริ่มต้นเพียงประมาณ 3,900 บาทเท่านั้น
การเชื่อมต่อไร้สาย (Bluetooth & Wi-Fi)
สิ่งที่เเตกต่างในเเต่ละเลขเวอร์ชันของ Bluetooth คือความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์กับเครื่อง ในเวอร์ชันล่าสุดคือ Bluetooth 4.0 นั้นถูกออกเเบบมาให้ใช้พลังงานต่ำเเละมีความเร็วในการเเพร์อุปกรณ์ที่เร็วกว่าเดิม อีกทั้งยังมีระยะทำการที่กว้างขึ้น
เป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจากอุปกรณ์กระจายสัญญาณ Wi-Fi อย่างเราเตอร์ ซึ่งส่วนใหญ่เเล้วรองรับกับอุปกรณ์กระจายสัญญาณ Wi-Fi ที่รองรับเทคโนโลยีใหม่สุดคือ 802.11n ที่กำลังจะเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมในอีกไม่นานนี้ ไม่มีความเเตกต่างกันระหว่างรุ่นมากนัก ส่วนมาตรฐาน 802.11ac ที่เป็นมาตรฐานใหม่นั้น ยังไม่แท็บเล็ตตัวไหนที่ใช้งานกัน อีกทั้งอุปกรณ์ส่งคลื่น (เช่นพวก router) ยังไม่รับความนิยมมากนักในตลาด ดังนั้นก็ยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อแท็บเล็ตในปีนี้แต่อย่างใด
GPS
ระบบจับตำเเหน่งของผู้ใช้โดยใช้สัญญาณดาวเทียม ซึ่งจริงๆ เเล้ว GPS นั้นหมายถึงระบบดาวเทียมระบุตำเเหน่งของสหรัฐ โดยมีดาวเทียมทั้งหมด 31 ดวงในการช่วยระบุตำเเหน่ง เเต่จริงๆ เเล้วระบบดาวเทียมยังมีของ GLONASS ที่ใช้บริการดาวเทียมของรัสเซียอีก 24 ดวงฝนการระบุตำเเหน่งเช่นเดียวกัน ซึ่งไว้ใช้งานหลักๆ ก็คือการระบุตำแหน่งของแท็บเล็ตเครื่องนั้นๆ ประกอบกับการใช้งานแอพพลิเคชั่นบางประเภท
ที่โดยส่วนมากนั้นแท็บเล็ตเกือบทุกตัวในตลาดจะติดตั้ง GPS มาให้อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีแท็บเล็ตประเภทราคาถูกอาจจะไม่ได้มีการติดตั้งมาให้ ซึ่งถ้าใครคิดว่าไม่ได้ใช้งานอยู่แล้วในส่วนของการระบุตำแหน่ง ก็ไม่กังวลมากนัก
เเบตเตอรี่ (Battery)
ในปัจจุบันเเบตเตอรี่ที่ใช้ส่วนใหญ่นั้นมีสองประเภทใหญ่ๆ คือ Li-ion เเละ Li-Po ที่ไม่เเตกต่างกันด้านการใช้งานเท่าไรนัก เเต่ Li-Po จะมีข้อได้เปรียบตรงที่ไม่เกิดอาการเเบตเตอรี่ระเบิดเเบบ Li-ion ทำให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัยกว่าเเน่นอน
ค่าของเเบตเตอรี่ในสมาร์ทโฟนนั้นถูกนับหน่วยเป็น mAh มียิ่งมากยิ่งถือว่าใช้งานได้ยาวนานขึ้น เเต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ อย่างหน้าจอเเละตัวประมวลผลด้วย ที่โดยส่วนมากแท็บเล็ตจะติดตั้งความจุของแบตเตอรี่มาอยู่ที่มากกว่า 4,000 mAh สำหรับแท็บเล็ตหน้าจอ 7 นิ้ว ส่วน 10 นิ้วโดยส่วนมากแล้วก็จะให้มามากกว่า 9,000 mAh เพื่อการใช้งานที่ต่อเนื่องยาวนาน มากกว่า 5-6 ชั่วโมง