เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ เช่นกันกับ Lenovo แบรนด์คอมพิวเตอร์ชื่อดังที่ก็ได้ปรับตัวตามอยู่ตลอดเวลา และล่าสุดก็ได้ส่งผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์พกพาพกพาหรือโน๊ตบุ๊คที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีตอย่าง ThinkPad กลับลงตลาดอีกครั้ง ในคราวนี้ทาง Lenovo ได้ปรับรูปแบบ ThinkPad รุ่นใหม่ให้เป็นแท็บเล็ต และโน๊ตบุ๊คแยกกันได้อย่างอิสระในตัวเดียว และให้ชื่อว่า “ThinkPad Helix Tablet”
แน่นอนสำหรับ ThinkPad Helix ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็น ThinkPad สำหรับกลุ่มนักธุระกิจที่ต้องการฮาร์ดแวร์ที่สเถียรสูง เชื่อถือได้ และมีความคงทนแข็งแรงไว้อย่างเต็มเปี่ยมเหมือนในอดีต แต่ก็ได้ปรับเปลี่ยนดีไซน์ในหลายๆจุดให้มีความทันสมัยมากขึ้น มาพร้อมด้วยหน้าจอแสดงผลสัมผัสแบบ Full-HD คมชัดสูง , ใช้สเปคภายที่ในที่มีประสิทธิภาพและสเถียรภาพดีเยี่ยมเช่นหน่วยประมาลผลกลาง Intel Core i5 พ่วงด้วยที่เก็บข้อมูล SSD ความเร็วสูง มอบประสบการณ์ใช้งานที่รวดเร็วผู้ใช้ในระดับองค์กรณ์อย่าง แน่นอน ซึ่งจะมีความสวยงามและประสิทธิภาพเป็นอย่างไรบ้างรับชมต่อได้ด้านล่างเลยครับ
Video Introduce
Specification
ในเรื่องของประสิทธิภาพวางใจเจ้า ThinkPad Helix ได้เลย เพราะถึงแม้จะเป็นแท็บเล็ต ที่ปรับเปลี่ยนใช้งานในรูปแบบของโน๊ตบุ๊คได้ แต่มันก็เลือกใช้หน่วยประมวลผลกลางทรงประสิทธิภาพในระดับ Laptop Grade จาก Intel Core i5-3337u แบบ 2 คอร์ 4 เธรด ความเร็วสูงสุด 2.7 GHz แบบฝังไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ , พ่วงด้วยการ์ดจอออนบอร์ด Intel HD Graphics 4000 ประสิทธิภาพพอตัว , ใช้แรม DDR3L บัส 1600MHz แบบประหยัดไฟความจุตามมาตราฐาน 4GB (ใส่แรมได้สูงสุด 1 แผง) และที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ผ่านการเชื่อต่อ SATA 3 ความจุตามมาตราฐานเช่นกันที่ 128GB ตอบสนองการเข้าถึงข้อมูลและใช้งานทางด้านเอกสารวิชาการ และความบันเทิงได้รวดเร็วและทันท่วงทีแน่แน่น
เจ้า Helix ติดตั้งหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาดค่อนข้างใหญ่โต(เมื่อเทียบกับแท็บเล็ต)ถึง 11.6 นิ้ว มีความละเอียด Full-HD 1920 x 1080 พิกเซล รองรับและมี?Digitizer Pen ติดตั้งมาให้ในชุด พร้อมด้วยกล้องคู่ Dual Camera ความคมชัดสูง มีกล้องหน้าแบบ 2 ล้านพิกเซล พร้อมไมโครโฟนแบบ Noise- canceling digital microphone ให้เพื่อนๆแชทและวิดีโอคอลได้อย่างคมชัดลื่นไหล พ่วงด้วยกล้องหลัก 5 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช LED สามารถบันทึกวิดีโอ FHD ได้?30FPS แบบชิวๆ นอกจากนี้ก็ยังรองรับฟีเจอร์ด้านความบันเทิงอีกพอสมควรไม่ว่าจะเป็นระบบเสียง Dolby Home Theater v4 และลำโพงคู่ Dual Stereo Speakers
พอร์ตเชื่อมต่อที่เจ้าเจ้า Helix รองรับก็จะมี USB 3.0 2 พอร์ต , USB 2.0 1 พอร์ต , Mini Display Port สำหรับต่อหน้าจอแยก 2 ชุด , Audio Jack สำหรับเชื่อมต่อไมค์และหูฟัง , รองรับการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง 2 x 2 WiFi , NFC , 3G และมีน้ำหนักตัวเริ่มต้นอยู่ที่ 840 กรัมเมื่อใช้งานในโหมดแท็ต และมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 64bit ลิขสิทธิ์แท้ สนนราคาอยู่ที่ 51,900 บาท
Design
อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า “ThinkPad Helix Tablet สามารถใช้งานเป็นแท็บเล็ต และโน๊ตบุ๊คแยกกันได้อย่างอิสระในตัวเดียว ซึ่งถูกจัดกลุ่มอยู่ในโน๊ตบุ๊คแบบ Hybrid Ultrabook ที่ได้รับการปรับปรุงต่อยอดมาจากผลิตภัณฑ์โน๊ตบุ๊คในตระกูล ThinkPad ผู้พี่ตัวก่อนหน้าหลากหลายรุ่นให้ดียิ่งขึ้นในหลายๆด้าน รวมไปถึงปรับเปลี่ยนการออกแบบในสไตล์ ThikPad ให้มีความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอาย ThinkPad อยู่บ้างพอสมควร สำหรับเพื่อนๆสมาชิกท่านใดที่ติดตามผลิตภัณฑ์ในตระกูลนี้อยู่คงรู้สึกแปลกตาอยู่พอสมควร
เราจะมากล่าวถึงการออกแบบรวมๆกันก่อน ซึ่งก็เชื่อได้เลยว่าการออกแบบน่าจะโดนใจเพื่อนๆที่รักความทันสมัยและรับได้กับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็อาจจะขัดใจเพื่อนๆที่ชอบ ThinkPad ในแบบต้นฉบับจาก IBM โดยเจ้านี้เน้นความเรียบหรูของเนื้องานเป็นหลัก ด้วยการเล่นธีมดำด้านตลอดทั้งตัวเครื่องแลดูภูมิฐานแลดูเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความหรูหราและเคร่งขรึม ฝาหลังของตัวเครื่องใช้สีดำด้านตลอดทั้งตัวเครื่องตัดด้วยโลโก้ Lenovo , กล้องหลัก 5 ล้านพิกเซล และโลโก้ ThinkPad เข้ากับตัวเครื่องเป็นอย่างดี?เช่นกันกับฝาด้านล่างของเครื่องหรือ Dock Keyboard ที่ใช้โทนสีดำด้านในลักษณะเดียวกันตลอดทั้งตัวที่มาในแบบเรียบๆ แลดูแปลกตา พร้อมด้วยสติกเกอร์ Windows 8 ติดตั้งไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ก็ยังมียางรองฐานเครื่อง 4 มุมที่ช่วยป้องกันรอยได้เวลาปรับใช้งานแบบโน๊ตบุ๊คปกติทั่วไป
ด้านในตัวเครื่องบริเวณที่พักมือและคีย์บอร์ดมีรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะทีเดียวไม่ว่าจะเป็นสติกเกอร์ระบุความเป็น Ultrabook ระบุรุ่นหน่วยประผลกลาง และมีโลโก้ ThinkPad ด้วยเช่นกัน ซึ่งบริเวณนี้นี่เองก็ใช้วัสดุสีดำด้านตามโทนของเครื่องให้สัมผัสที่ไม่ลื่นมือมอบประสบการณ์ใช้งานได้ในแบบพรีเมียมดีทีเดียว ในส่วนของคีย์บอร์ดเจ้า Helix เลือกใช้คีย์บอร์ด Full-sized 6 แถวแบบ AccuType มาพร้อมระบบป้องกันน้ำ spill-resistant สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในชั่วโมงเร่งด่วน แต่น่าเสียดายที่ตัวคีย์บอร์ดจะไม่มีไฟแสดงสถานะ
นอกจากนี้เจ้า Helix ก็ไม่ลืมที่จะติดตั้ง TrackPoint (Point Stick) มาให้ด้วยบริเวณกลางตัวคีย์บอร์ด ซึ่งก็สามารถใช้งานควบคู่ไปกับ TrackPad ขนาดใหญ่ที่มีปุ่มกดถึง 5 ปุ่มได้เป็นอย่างดี ในด้านการใช้งานปกติทั่วไปก็พบว่าตัวคีย์บอร์ดแบบ AccuType ตอบสนองกับการพิมพ์ แบบงานเอกสารได้ดีพอสมควร แต่อย่างไรก็ดีตัวแป้นมีการเว้นระยะห่างที่แคบกว่าปกติอาจทำให้ต้องปรับตัวสักเล็กน้อย แต่เมื่อใช้งานไปสักระยะก็คุ้นเคยได้ไม่ยาก ในส่วนของ TrackPad ที่มีขนาดใหญ่โต ก็ สามารถใช้งานหลายนิ้วมือผ่านชุดคำสั่งแบบ Multi Gesture บน Windows 8 ได้ดี ยิ่งถ้าใช้งาน TrackPoint และ TrackPad ควบคู่กันไปด้วยจะยิ่งใช้งานได้ไวมากขึ้น (กล่าวคือใช้นิ้วมือพิมพ์แป้มพิมพ์ตามปกติ และใช้นิ้วชี้บังคับ Point stick และใช้นิ้งโป้งในการกดปุ่มคลิ๊กทั้งสามปุ่ม ถ้าฝึกให้คุ้นชินก็จะยิ่งใช้งานได้ลื่นไหล และรวดเร็วมากๆ เลยละครับ
มาดูทางด้านหน้าจอแสดงผลกันบ้าง ซึ่งอย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่า Lenovo เลือกที่จะติดตั้งจอแสดงผลแบบสัมผัสแบบไร้ขอบที่เลือกใช้กระจกชิ้นเดียวแบบเต็มแผ่นบนเทคโนโลยีจาก Corning Gorrilla Glass ให้ความคงทนแข็งแรงเป็นเยี่ยม ขนาด 11.6 นิ้ว ความละเอียด Full-HD พร้อมติดตั้งพาเนลจอแบบ IPS ให้ภาพคมชัดสมบูรณ์แบบในทุกเฉดสี มีปากกา Digitizer Pen มาให้ด้วยในชุดซึ่งตอบโจทย์กับผู้ใช้งานแบบมือชีพได้สมบูรณ์แบบทีเดียว นอกจากนี้บริเวณหน้าจอและขอบจอแสดงผลก็จะเป็นที่ตั้งของกล้อง Webcam 2 ล้านพิกเซล และไมค์โครโฟนที่ไว้สำหรับ Video Call ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งนอกจากนี้ในบริเวณขอบจอก็ยังมีปุ่มกดต่างๆ และฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกเยอะซึ่งตามต่อได้ในหัวข้อถัดไป
Connector / Thin And Weight
ถึงแม้จะเป็นแท็บเล็ตกึ่ง Ultrabook แต่พอร์ตเชื่อมต่อของ Lenovo Helix ก็จัดมาให้อย่างเต็มเปี่ยมและเยอะแยะมากมายจนน่าเหลือเชื่อ โดยในบริเวณคีย์บอร์ดด๊อคกิ้งนั้นตัวพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆจะอยู่ทางด้านหลังทั้งหมดซึ่งก็จะมีพอร์ตเชื่อมต่อ USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต , พอร์ต Mini Display Port จำนวน 1 พอร์ต สำหรับต่อจอแยก และพอร์ตเชื่อมต่ออะแอดเตอร์ชาร์จไฟมาตราฐานใหม่จากเลอโนโวที่จะเป็นหัว 4 เหลี่ยมครับ
ทางด้านขอบจอแสดงผลทางด้านบนนั้นก็จะมีที่ Digitizer Pen อยู่ทางมุมซ้าย ไล่มาด้วยช่องระบายความร้อนขนาดเล็ก และปุ่มเปิดปิดตัวเครื่องที่จะอยู่บริเวณมุมขวา ทางด้านขอบจอทางด้านขวาก็จะมีช่องเชื่อมต่อไมค์-ลำโพง ช่องปรับเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มล๊อคหน้าจอครับผม
ไล่มาดูทางด้านล่างของตัวแท็บเล็ตกันบ้าง ซึ่งเมื่อถอดตัวจอแท็บเล็ต Helix แยกออกมาจากตัว Dock ก็จะเจอกับช่องเชื่อมต่อ USB 2.0 1 , พอร์ต Mini Display Port , ช่องใส่ซิมสำหรับใช้งาน 3G , ช่องเชื่อมต่อตัวแท็บเล็ตกับ Dock และช่องเชื่อมต่ออะแดปเตอร์ชาร์จไฟ นอกจากนี้ในบริเวณนี้ทั้งซ้ายและขวาก็จะเป็นที่ซ่อนของลาเบลแสดงมาตราฐานของเครื่องที่รองรับครับผม
ในส่วนของน้ำหนักตัวเครื่องเอาตามจริงก็จะอยู่ที่ 1.6 กิโลกรัมในขณะที่เสียบกับ Dock , 2.09 กิโลกรัมขณะเสียบกับ Dock และรวมที่ชาร์จไฟ และก็จะอยู่ที่ 840 กรัมในขณะที่ถอดใช้งานในลักษณะของแท็บเล็ตซึ่งถือว่าดูดีทีเดียวครับ ซึ่งนอกจากน้ำหนักที่ดูดีแล้วหลังจากที่ได้ลองทดสอบผ่าน BatteryMon บนการตั้งค่าที่ Balance และใช้งานเปิดเว็ปและเชื่อมต่อไวไฟเจ้า Helix ก็ทำได้ดีเช่นกันโดยในการใช้งานขณะเสียบ Dock สามารถใช้งานได้สูงสุดถึงราวๆ 8.30 ชั่วโมงทีเดียว และในขณะที่ใช้งานเป็นแท็บเล็ตก็สามารถใช้ต่อเนื่องได้ถึง 4 ชั่วโมงกว่ากันเลยทีเดียวซึ่งถือได้ว่าใช้ได้ยาวนานพอสมควร ยิ่งถ้าปรับแต่งดีๆ 10 ชั่วโมง++ ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
และที่จะลืมพูดถึงไปไม่ได้คืออัตราการบริโภคไฟที่ค่อนข้างโอเคทีเดียวโดยมีอัตราการกินไฟปกติทั่วไปหรือ Idel อยู่ที่ราว 50 Watt และเมื่อใช้งานเบบเต็มประสิทธิภาพก็ขึ้นมาแค่ 54.4 Watt ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยจริงเชียว
Multi Mode
มาถึงไฮไลท์กันแล้วนะครับกับเจ้า ThinkPad Helix ที่นอกจากจะเป็นโน๊ตบุ๊คปกติในรูปแบบ Ultrabook ขนาด 11.6 นิ้วได้แล้ว ยังสามารถปรับเปลี่ยนไปเป็นแท็บเล็ตได้อย่างรวดเร็วและอิสระออกจากกันได้อีกด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่มากๆสำหรับโน๊ตบุ๊คในตระกูล ThinkPad ที่ไม่เคยมีตัวไหนทำได้มาก่อน นอกเสียจาก ThinkPad Tablet ซึ่งเจ้า Helix สามารถที่จะปรับการใช้งานได้แบบกว้างๆ ถึง 4 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Laptop Mode , Stand Mode , Tablet+ Mode และ Tablet Mode แบบปกติ
โดย Laptop Mode นั้นจะให้คุณปรับใช้งานในแบบ Ultrabook ปกติทั่วไปตามรูปแบบมาตราฐานที่สามารถตอบสนองการใช้งานในงานเอกสาร และการส่งอีเมลต่างๆ ได้ค่อนข้างดีทีเดียว
Stand Mode สำหรับในโหมดนี้จะตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ ของหลายๆท่านที่หลงรักในความบันเทิงอย่างเต็มเปี่ยมให้เพื่อนๆ ได้ใช้งานในด้านความบันเทิงได้เป็นอย่างเต็มรูปแบบไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง ก็เต็มอรรถรสได้ด้วยลำโพง Steroe 2.0 แบบ Dolby Home Theater v4 ให้พลังเสียงสมจริงสมจัง ที่สำคัญในโหมดนี้ยังใช้งานวิดีโอคอลได้เต็มรูปแบบมากขึ้นอีกด้วย รวมไปถึงยังสามารถใช้พรีเซนต์งานในที่ประชุมได้เป็นอย่างดี เพราะทุกๆคนในที่ประชุมจะโฟกัสไปที่จอแสดงผลเพียงอย่างเดียว
Tablet Mode สำหรับ Tablet Mode นั้นก็เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์กันเลยทีเดียวเชียวละครับ ซึ่งในโหมดนี้ก็จะแบ่งได้เป็นสองรูปแบบคือ Tablet Mode แบบปกติที่จะจะปรับเจ้า Helix ให้กลายร่างเป็นแท็บเล็ต Windows 8.1 ขนาด 11.6 นิ้วแบบอิสระ โดยทำการถอดตัวเครื่องออกมาใช้งานแยกต่างหากที่ก็ทำได้ง่ายดายเพียงกดปุ่มปลดล๊อคที่อยู่ด้านซ้ายมือของตัวเครื่อง ซึ่งในการใช้งานจริงก็ทำได้สะดวกดีมากเพราะในโหมด Tablet เจ้านี่มีน้ำหนักตัวเพียง 800 กรัมกว่าๆเท่านั้น แถมยังสามารถใช้งานควบคู่ ไปกับปากกา Digitizer Pen ขีดๆเขียนได้เป็นอย่างดี แถมยังปกป้องหน้าจอได้แกร่งกว่าใครด้วยกระจกจาก Corling อีกด้วย ที่สำคัญยังสะดวกยิ่งกว่าด้วยกล้องหลังขนาด 5 ล้านพิกเซลใช้งานได้ไม่น้อยหน้าแท็บเล็ต Windows 8.1 ตัวอื่นๆ ในท้องตลาดเลยละครับ?และอีกรูปแบบหนึ่งอย่าง Tablet+ Mode ก็จะให้ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้งานได้เช่นกันแต่ ในโหมดนี้จะถอดตัวแท็บเล็ตออกมาก่อนและทำการเสียบเข้าไปแบบพลิกหน้าจอไปอีกด้านหนึ่งซึ่งจะใช้ประโยชน์ของแบตเตอรี่ที่ฝังอยู่ในตัว Dock Keyboard ได้อย่างเต็มที่ทำให้ในโหมดนี้ใช้งานได้ยาวนานกว่าถึง 8-9 ชั่วโมงเลยทีเดียว
เรียกได้ว่าทั้ง 4 โหมดนั้นก็ใช้งานได้สะดวกสบายและปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ดีมีข้อสังเกตอยู่เล็กน้อยตรงที่เจ้า Helix มีความร้อนที่ค่อนข้างสูงมากเมื่อ ใช้งานในห้องอุณหภูมิปกติ ซึ่งจะให้ดีใช้งานในห้องปรับอากาศจะดีที่สุดครับ
Performance / Software
ถึงช่วงทดสอบหรือ Benchmark กันแล้วนะครับ สำหรับเจ้า Lenovo Helix ก็มาพร้อมด้วยสเปคเครื่องในระดับ Ultrabook ที่ประหยัดไฟเป็นพิเศษ แต่ประสิทธิภาพก็ใช่ย่อยนะครับ แบะไม่ได้ด้อยกว่าโน๊ตบุ๊คปกติมากเลยนัก ยิ่งได้ที่เก็บข้อมูลความเร็วสูงอย่าง SSD ด้วยแล้วละก็เรียกได้ว่า โน๊ตบุ๊คปกติทั่วไปเป็นรองเลยละครับ แต่ถ้าเทียบระดับราคาแล้วละก็ห่างกันเยอะอยู่เหมือนกัน
โปรแกรมอย่าง CPU-Z ก็แสดงสเปคออกมาได้ตรงตามที่ Lenovo ระบบมาทุกส่วน ยกเว้นแต่แรมของระบบที่แสดงเพียง 3.8GB ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเจ้า Helix ได้ทำการแชร์แรมไปให้การ์ดจอออนบอร์ดนั่นเองละคร๊าบบ รวมไปถึงซีพียูที่ใช้รุ่นสูงกว่าปกติครับผม
ตัวเก็บข้อมูลของระบบที่ Helix เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจ ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดไดร์ฟแบบจานหมุนหรือฮาร์ดดิสก์ลูกผสมอย่าง SSHD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนละครับ
และตบท้าบด้วยชุดทดสอบของ FuterMark ก็ไม่ได้หวือหวาอะไรและทำได้อยู่ในระดับมาตราฐานทั่วไปเท่าทื่มันควรจะเป็น
อีกหนึ่งจุดเด่นสำหรับ ThinkPad Helix นั่นก็คือตัวซอฟแวร์ต่างๆ ที่บันเดิลมาให้กับเครื่องที่มีมามากมาย และพิเศษกว่าใครทั้ง Lenovo Solution Center , Lenovo Power Manager และซอฟเวอร์อื่นๆ
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
สำหรับซอฟแวร์ตัวแรกอย่าง Lenovo Solution Center นั้นจะเป็นซอฟแวร์ที่ไว้คอยจัดการระบบโดยรวมของตัวเครื่อง ThinkPad Helix ที่สามารถทำได้ตั้งแต่การตรวจ และตั้งค่าความปลอดภัยโดยรวมของตัวเครื่องว่ามีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ , มีแพซต์ใหม่ๆให้อัพเดทหรือเปล่า รวมไปถึงการเช็คสถานะอุปกรณ์ต่างๆ ว่าอยู่ในสภาพปกติ ฮาร์ดดิสก์เต็มไหม หรือแม้แต่แบคอัพข้อมูล-คื่นค่าระบบก็ย่อมได้
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
ซอฟแวร์ตัวที่สองอย่าง Lenovo Power Manager ก็เรียกได้ว่าเป็นซอฟแวร์ที่มีประโยชน์มาก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดสรรพลังได้ในหลายๆ ส่วน ทีสำคัญตัวซอฟแวร์แวร์ยังค่อนข้างมีความละเอียดมากทีเดียว ทำให้เหล่า Power User สามารถปรับแต่งการใช้พลังงานได้ในรูปแบบที่คุณต้องการ ช่วยให้ ThinkPad Helix อยู่ได้นานขี้นแม้ ไม่ได้เสียบชาร์จไฟกันเลยทีเดียวเชียวละครับ
Conclusion / Award
Lenovo Helix ก็เป็นอีกหนึ่ง Ultrabook กึ่ง Tablet หรือ Hybrid Ultrabook ที่ครบเครื่องและตอบโจทย์ผู้ใช้มืออาชีพและกลุ่มนักธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยม แถมด้วยการออกแบบของตัวเครื่องที่เชื่อได้เลยว่าถ้าเพื่อนๆสมาชิกเห็นตัวเป็นๆจะต้องชื่นชอบอชัวร์ๆ ด้วยการออกแบบของตัวเครื่องที่เรียบหรูมากๆ สำหรับท่านใดที่ชอบลักษณะการออกแบบของ Lenovo ThinkPad รุ่นก่อนๆ ต้องหลงรักเจ้า Helix อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อยูเซอร์ได้ลองใช้งานฟีเจอร์ แบบ Multi Mode ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานในหลากหลายโหมดหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Laptop Mode , Stand Mode , Tablet Mode และ Tablet+ Mode ที่ให้ประสบการณ์ใช้งานที่หาจากโน๊ตบุ๊คตัวไหนไม่ได้แล้วละก็ เชื่อได้เลยว่ายูเซอร์จะต้องอยากครอบครองเป็นเจ้าของกันแบบไม่ต้องสงสัย
รวมไปถึงในด้านของสเปคของตัวเครื่องของ Helix ในระดับ Ultrabook ที่จัดสรรพลังงานได้อย่างเป็นเยี่ยมและมีประสิทธิภาพสูงด้วยหน่วยประมวลผลกลางอย่าง Intel Core i5 , แรม DDR3L และฮาร์ดไดร์ฟแบบ SSD ที่สำคัญยังใช้งานสามารถใช้งานต่อเนื่องโดยไม่มีพักและไม่เสียบอะแดปเตอร์ชาร์จไฟได้สูงสุดถึง 8 ชั่วโมง++ เลยทีเดียว พ่วงด้วยน้ำหนักตัวเครื่องที่เบาพอรับได้ และขนาดตัวเครื่องที่อยู่ในระดับ Ultrabook เพื่อนๆท่านใดที่มองหาโน๊ตบุ๊คแบบ Ultrabook ที่สามารถใช้งานเป็นแท็บเล็ตแบบอิสระและปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลายรูปแบบ แถมมีน้ำหนักเบา บนประสิทธิภาพสูง พร้อมใช้งานได้ยาวนาน รวมไปถึงรองรับฟีเจอร์ไร้สายสุดเจ๋งอย่าง 3G และ NFC แล้วละก็ เจ้า?Lenovo Helix เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆตัวนึงเลยละครับ โดยเจ้า Lenovo Helix มีค่าตัวอยู่ที่ 51,900 บาท โดยสามารถสั่งแบบ Buy Order ได้จากตัวแทนจำหน่ายของ Lenovo Thailand ได้เลยครับผม
ข้อดี
- ดีไซน์สวยงามโดดเด่น
- ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลายรูปแบบ
- รองรับ NFC และใส่ซิมแบบ 3G ได้
- หน้าจอแสดงผล 11.6 นิ้ว แบบ FHD IPS พร้อม?Corning Gorrilla Glass?
- รองรับและมีปากกา Digitizer Pen มาให้ด้วย
- มี MiniDisplay Port และรองรับ USB 3.0 ถึง 2 พอร์ต
- ใช้งานได้ต่อเนื่องและยาวนาน 8 ชั่วโมงขึ้นไป
- ซอฟแวร์ที่ติดมากับตัวเครื่องใช้งานได้จริงตามสไตล์ ThinkPad
- มาพร้อมกล้องหลัง 5 ล้าน และกล้องหน้า 2 ล้านพิกเซลใช้งานได้สะดวก
ข้อสังเกต
- ใช้งานได้ดีแต่มีความร้อนที่ค่อนข้างมาก
Awards
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับโน๊ตบุ๊คในกลุ่ม Hybird Ultrabook ขนาดหน้าจอ 11.6 นิ้ว ซึ่ง?Lenovo Helix?ก็ได้รับรางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Ultrabook
ในกลุ่ม Ultrabook ระดับหน้าจอแสดงผล 11.6 นิ่วนั้น ถือได้ว่าเจ้า Lenovo Helix มีความโดดเด่นในมากทีเดียวด้วยการออกแบบที่เหนือกว่าและขนาดตัวที่ไม่หนักจนเกินไป รวมไปถึงมีสเปคเครื่องที่อยู่ในระดับ Ultrabook ที่ประสิทธิภาพค่อนข้างโอเค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฟีเจอร์ Multi-Mode ที่ใช้งานได้จริง ซึ่ง Ultrabook ตัวอื่นๆในตลาดทำไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อรองรับการใช้งานควบคู่ Digitizer Pen , 3G และ NFC ด้วยแล้ว เรียกได้ว่าเจ้า Helix ตอบโจทย์ด้านความหลากหลายและครอบคลุมได้มากกว่า Ultrabook ตัวอื่นๆอย่างแน่นอน
Video Introduce
Specification
ในเรื่องของประสิทธิภาพวางใจเจ้า ThinkPad Helix ได้เลย เพราะถึงแม้จะเป็นแท็บเล็ต ที่ปรับเปลี่ยนใช้งานในรูปแบบของโน๊ตบุ๊คได้ แต่มันก็เลือกใช้หน่วยประมวลผลกลางทรงประสิทธิภาพในระดับ Laptop Grade จาก Intel Core i5-3337u แบบ 2 คอร์ 4 เธรด ความเร็วสูงสุด 2.7 GHz แบบฝังไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ , พ่วงด้วยการ์ดจอออนบอร์ด Intel HD Graphics 4000 ประสิทธิภาพพอตัว , ใช้แรม DDR3L บัส 1600MHz แบบประหยัดไฟความจุตามมาตราฐาน 4GB (ใส่แรมได้สูงสุด 1 แผง) และที่เก็บข้อมูลแบบ SSD ผ่านการเชื่อต่อ SATA 3 ความจุตามมาตราฐานเช่นกันที่ 128GB ตอบสนองการเข้าถึงข้อมูลและใช้งานทางด้านเอกสารวิชาการ และความบันเทิงได้รวดเร็วและทันท่วงทีแน่แน่น
เจ้า Helix ติดตั้งหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาดค่อนข้างใหญ่โต(เมื่อเทียบกับแท็บเล็ต)ถึง 11.6 นิ้ว มีความละเอียด Full-HD 1920 x 1080 พิกเซล รองรับและมี?Digitizer Pen ติดตั้งมาให้ในชุด พร้อมด้วยกล้องคู่ Dual Camera ความคมชัดสูง มีกล้องหน้าแบบ 2 ล้านพิกเซล พร้อมไมโครโฟนแบบ Noise- canceling digital microphone ให้เพื่อนๆแชทและวิดีโอคอลได้อย่างคมชัดลื่นไหล พ่วงด้วยกล้องหลัก 5 ล้านพิกเซลพร้อมแฟลช LED สามารถบันทึกวิดีโอ FHD ได้?30FPS แบบชิวๆ นอกจากนี้ก็ยังรองรับฟีเจอร์ด้านความบันเทิงอีกพอสมควรไม่ว่าจะเป็นระบบเสียง Dolby Home Theater v4 และลำโพงคู่ Dual Stereo Speakers
พอร์ตเชื่อมต่อที่เจ้าเจ้า Helix รองรับก็จะมี USB 3.0 2 พอร์ต , USB 2.0 1 พอร์ต , Mini Display Port สำหรับต่อหน้าจอแยก 2 ชุด , Audio Jack สำหรับเชื่อมต่อไมค์และหูฟัง , รองรับการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง 2 x 2 WiFi , NFC , 3G และมีน้ำหนักตัวเริ่มต้นอยู่ที่ 840 กรัมเมื่อใช้งานในโหมดแท็ต และมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 64bit ลิขสิทธิ์แท้ สนนราคาอยู่ที่ 51,900 บาท
Design
อย่างที่ผู้เขียนได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า “ThinkPad Helix Tablet สามารถใช้งานเป็นแท็บเล็ต และโน๊ตบุ๊คแยกกันได้อย่างอิสระในตัวเดียว ซึ่งถูกจัดกลุ่มอยู่ในโน๊ตบุ๊คแบบ Hybrid Ultrabook ที่ได้รับการปรับปรุงต่อยอดมาจากผลิตภัณฑ์โน๊ตบุ๊คในตระกูล ThinkPad ผู้พี่ตัวก่อนหน้าหลากหลายรุ่นให้ดียิ่งขึ้นในหลายๆด้าน รวมไปถึงปรับเปลี่ยนการออกแบบในสไตล์ ThikPad ให้มีความล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอาย ThinkPad อยู่บ้างพอสมควร สำหรับเพื่อนๆสมาชิกท่านใดที่ติดตามผลิตภัณฑ์ในตระกูลนี้อยู่คงรู้สึกแปลกตาอยู่พอสมควร
เราจะมากล่าวถึงการออกแบบรวมๆกันก่อน ซึ่งก็เชื่อได้เลยว่าการออกแบบน่าจะโดนใจเพื่อนๆที่รักความทันสมัยและรับได้กับการเปลี่ยนแปลง แต่ก็อาจจะขัดใจเพื่อนๆที่ชอบ ThinkPad ในแบบต้นฉบับจาก IBM โดยเจ้านี้เน้นความเรียบหรูของเนื้องานเป็นหลัก ด้วยการเล่นธีมดำด้านตลอดทั้งตัวเครื่องแลดูภูมิฐานแลดูเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความหรูหราและเคร่งขรึม ฝาหลังของตัวเครื่องใช้สีดำด้านตลอดทั้งตัวเครื่องตัดด้วยโลโก้ Lenovo , กล้องหลัก 5 ล้านพิกเซล และโลโก้ ThinkPad เข้ากับตัวเครื่องเป็นอย่างดี?เช่นกันกับฝาด้านล่างของเครื่องหรือ Dock Keyboard ที่ใช้โทนสีดำด้านในลักษณะเดียวกันตลอดทั้งตัวที่มาในแบบเรียบๆ แลดูแปลกตา พร้อมด้วยสติกเกอร์ Windows 8 ติดตั้งไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ก็ยังมียางรองฐานเครื่อง 4 มุมที่ช่วยป้องกันรอยได้เวลาปรับใช้งานแบบโน๊ตบุ๊คปกติทั่วไป
ด้านในตัวเครื่องบริเวณที่พักมือและคีย์บอร์ดมีรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะทีเดียวไม่ว่าจะเป็นสติกเกอร์ระบุความเป็น Ultrabook ระบุรุ่นหน่วยประผลกลาง และมีโลโก้ ThinkPad ด้วยเช่นกัน ซึ่งบริเวณนี้นี่เองก็ใช้วัสดุสีดำด้านตามโทนของเครื่องให้สัมผัสที่ไม่ลื่นมือมอบประสบการณ์ใช้งานได้ในแบบพรีเมียมดีทีเดียว ในส่วนของคีย์บอร์ดเจ้า Helix เลือกใช้คีย์บอร์ด Full-sized 6 แถวแบบ AccuType มาพร้อมระบบป้องกันน้ำ spill-resistant สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในชั่วโมงเร่งด่วน แต่น่าเสียดายที่ตัวคีย์บอร์ดจะไม่มีไฟแสดงสถานะ
นอกจากนี้เจ้า Helix ก็ไม่ลืมที่จะติดตั้ง TrackPoint (Point Stick) มาให้ด้วยบริเวณกลางตัวคีย์บอร์ด ซึ่งก็สามารถใช้งานควบคู่ไปกับ TrackPad ขนาดใหญ่ที่มีปุ่มกดถึง 5 ปุ่มได้เป็นอย่างดี ในด้านการใช้งานปกติทั่วไปก็พบว่าตัวคีย์บอร์ดแบบ AccuType ตอบสนองกับการพิมพ์ แบบงานเอกสารได้ดีพอสมควร แต่อย่างไรก็ดีตัวแป้นมีการเว้นระยะห่างที่แคบกว่าปกติอาจทำให้ต้องปรับตัวสักเล็กน้อย แต่เมื่อใช้งานไปสักระยะก็คุ้นเคยได้ไม่ยาก ในส่วนของ TrackPad ที่มีขนาดใหญ่โต ก็ สามารถใช้งานหลายนิ้วมือผ่านชุดคำสั่งแบบ Multi Gesture บน Windows 8 ได้ดี ยิ่งถ้าใช้งาน TrackPoint และ TrackPad ควบคู่กันไปด้วยจะยิ่งใช้งานได้ไวมากขึ้น (กล่าวคือใช้นิ้วมือพิมพ์แป้มพิมพ์ตามปกติ และใช้นิ้วชี้บังคับ Point stick และใช้นิ้งโป้งในการกดปุ่มคลิ๊กทั้งสามปุ่ม ถ้าฝึกให้คุ้นชินก็จะยิ่งใช้งานได้ลื่นไหล และรวดเร็วมากๆ เลยละครับ
มาดูทางด้านหน้าจอแสดงผลกันบ้าง ซึ่งอย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่า Lenovo เลือกที่จะติดตั้งจอแสดงผลแบบสัมผัสแบบไร้ขอบที่เลือกใช้กระจกชิ้นเดียวแบบเต็มแผ่นบนเทคโนโลยีจาก Corning Gorrilla Glass ให้ความคงทนแข็งแรงเป็นเยี่ยม ขนาด 11.6 นิ้ว ความละเอียด Full-HD พร้อมติดตั้งพาเนลจอแบบ IPS ให้ภาพคมชัดสมบูรณ์แบบในทุกเฉดสี มีปากกา Digitizer Pen มาให้ด้วยในชุดซึ่งตอบโจทย์กับผู้ใช้งานแบบมือชีพได้สมบูรณ์แบบทีเดียว นอกจากนี้บริเวณหน้าจอและขอบจอแสดงผลก็จะเป็นที่ตั้งของกล้อง Webcam 2 ล้านพิกเซล และไมค์โครโฟนที่ไว้สำหรับ Video Call ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งนอกจากนี้ในบริเวณขอบจอก็ยังมีปุ่มกดต่างๆ และฟีเจอร์ที่น่าสนใจอีกเยอะซึ่งตามต่อได้ในหัวข้อถัดไป
Connector / Thin And Weight
ถึงแม้จะเป็นแท็บเล็ตกึ่ง Ultrabook แต่พอร์ตเชื่อมต่อของ Lenovo Helix ก็จัดมาให้อย่างเต็มเปี่ยมและเยอะแยะมากมายจนน่าเหลือเชื่อ โดยในบริเวณคีย์บอร์ดด๊อคกิ้งนั้นตัวพอร์ตเชื่อมต่อต่างๆจะอยู่ทางด้านหลังทั้งหมดซึ่งก็จะมีพอร์ตเชื่อมต่อ USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต , พอร์ต Mini Display Port จำนวน 1 พอร์ต สำหรับต่อจอแยก และพอร์ตเชื่อมต่ออะแอดเตอร์ชาร์จไฟมาตราฐานใหม่จากเลอโนโวที่จะเป็นหัว 4 เหลี่ยมครับ
ทางด้านขอบจอแสดงผลทางด้านบนนั้นก็จะมีที่ Digitizer Pen อยู่ทางมุมซ้าย ไล่มาด้วยช่องระบายความร้อนขนาดเล็ก และปุ่มเปิดปิดตัวเครื่องที่จะอยู่บริเวณมุมขวา ทางด้านขอบจอทางด้านขวาก็จะมีช่องเชื่อมต่อไมค์-ลำโพง ช่องปรับเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่มล๊อคหน้าจอครับผม
ไล่มาดูทางด้านล่างของตัวแท็บเล็ตกันบ้าง ซึ่งเมื่อถอดตัวจอแท็บเล็ต Helix แยกออกมาจากตัว Dock ก็จะเจอกับช่องเชื่อมต่อ USB 2.0 1 , พอร์ต Mini Display Port , ช่องใส่ซิมสำหรับใช้งาน 3G , ช่องเชื่อมต่อตัวแท็บเล็ตกับ Dock และช่องเชื่อมต่ออะแดปเตอร์ชาร์จไฟ นอกจากนี้ในบริเวณนี้ทั้งซ้ายและขวาก็จะเป็นที่ซ่อนของลาเบลแสดงมาตราฐานของเครื่องที่รองรับครับผม
ในส่วนของน้ำหนักตัวเครื่องเอาตามจริงก็จะอยู่ที่ 1.6 กิโลกรัมในขณะที่เสียบกับ Dock , 2.09 กิโลกรัมขณะเสียบกับ Dock และรวมที่ชาร์จไฟ และก็จะอยู่ที่ 840 กรัมในขณะที่ถอดใช้งานในลักษณะของแท็บเล็ตซึ่งถือว่าดูดีทีเดียวครับ ซึ่งนอกจากน้ำหนักที่ดูดีแล้วหลังจากที่ได้ลองทดสอบผ่าน BatteryMon บนการตั้งค่าที่ Balance และใช้งานเปิดเว็ปและเชื่อมต่อไวไฟเจ้า Helix ก็ทำได้ดีเช่นกันโดยในการใช้งานขณะเสียบ Dock สามารถใช้งานได้สูงสุดถึงราวๆ 8.30 ชั่วโมงทีเดียว และในขณะที่ใช้งานเป็นแท็บเล็ตก็สามารถใช้ต่อเนื่องได้ถึง 4 ชั่วโมงกว่ากันเลยทีเดียวซึ่งถือได้ว่าใช้ได้ยาวนานพอสมควร ยิ่งถ้าปรับแต่งดีๆ 10 ชั่วโมง++ ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
และที่จะลืมพูดถึงไปไม่ได้คืออัตราการบริโภคไฟที่ค่อนข้างโอเคทีเดียวโดยมีอัตราการกินไฟปกติทั่วไปหรือ Idel อยู่ที่ราว 50 Watt และเมื่อใช้งานเบบเต็มประสิทธิภาพก็ขึ้นมาแค่ 54.4 Watt ถือว่าทำได้ไม่เลวเลยจริงเชียว
Multi Mode
มาถึงไฮไลท์กันแล้วนะครับกับเจ้า ThinkPad Helix ที่นอกจากจะเป็นโน๊ตบุ๊คปกติในรูปแบบ Ultrabook ขนาด 11.6 นิ้วได้แล้ว ยังสามารถปรับเปลี่ยนไปเป็นแท็บเล็ตได้อย่างรวดเร็วและอิสระออกจากกันได้อีกด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องใหม่มากๆสำหรับโน๊ตบุ๊คในตระกูล ThinkPad ที่ไม่เคยมีตัวไหนทำได้มาก่อน นอกเสียจาก ThinkPad Tablet ซึ่งเจ้า Helix สามารถที่จะปรับการใช้งานได้แบบกว้างๆ ถึง 4 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Laptop Mode , Stand Mode , Tablet+ Mode และ Tablet Mode แบบปกติ
โดย Laptop Mode นั้นจะให้คุณปรับใช้งานในแบบ Ultrabook ปกติทั่วไปตามรูปแบบมาตราฐานที่สามารถตอบสนองการใช้งานในงานเอกสาร และการส่งอีเมลต่างๆ ได้ค่อนข้างดีทีเดียว
Stand Mode สำหรับในโหมดนี้จะตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ ของหลายๆท่านที่หลงรักในความบันเทิงอย่างเต็มเปี่ยมให้เพื่อนๆ ได้ใช้งานในด้านความบันเทิงได้เป็นอย่างเต็มรูปแบบไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง ก็เต็มอรรถรสได้ด้วยลำโพง Steroe 2.0 แบบ Dolby Home Theater v4 ให้พลังเสียงสมจริงสมจัง ที่สำคัญในโหมดนี้ยังใช้งานวิดีโอคอลได้เต็มรูปแบบมากขึ้นอีกด้วย รวมไปถึงยังสามารถใช้พรีเซนต์งานในที่ประชุมได้เป็นอย่างดี เพราะทุกๆคนในที่ประชุมจะโฟกัสไปที่จอแสดงผลเพียงอย่างเดียว
Tablet Mode สำหรับ Tablet Mode นั้นก็เรียกได้ว่าเป็นไฮไลท์กันเลยทีเดียวเชียวละครับ ซึ่งในโหมดนี้ก็จะแบ่งได้เป็นสองรูปแบบคือ Tablet Mode แบบปกติที่จะจะปรับเจ้า Helix ให้กลายร่างเป็นแท็บเล็ต Windows 8.1 ขนาด 11.6 นิ้วแบบอิสระ โดยทำการถอดตัวเครื่องออกมาใช้งานแยกต่างหากที่ก็ทำได้ง่ายดายเพียงกดปุ่มปลดล๊อคที่อยู่ด้านซ้ายมือของตัวเครื่อง ซึ่งในการใช้งานจริงก็ทำได้สะดวกดีมากเพราะในโหมด Tablet เจ้านี่มีน้ำหนักตัวเพียง 800 กรัมกว่าๆเท่านั้น แถมยังสามารถใช้งานควบคู่ ไปกับปากกา Digitizer Pen ขีดๆเขียนได้เป็นอย่างดี แถมยังปกป้องหน้าจอได้แกร่งกว่าใครด้วยกระจกจาก Corling อีกด้วย ที่สำคัญยังสะดวกยิ่งกว่าด้วยกล้องหลังขนาด 5 ล้านพิกเซลใช้งานได้ไม่น้อยหน้าแท็บเล็ต Windows 8.1 ตัวอื่นๆ ในท้องตลาดเลยละครับ?และอีกรูปแบบหนึ่งอย่าง Tablet+ Mode ก็จะให้ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนลักษณะการใช้งานได้เช่นกันแต่ ในโหมดนี้จะถอดตัวแท็บเล็ตออกมาก่อนและทำการเสียบเข้าไปแบบพลิกหน้าจอไปอีกด้านหนึ่งซึ่งจะใช้ประโยชน์ของแบตเตอรี่ที่ฝังอยู่ในตัว Dock Keyboard ได้อย่างเต็มที่ทำให้ในโหมดนี้ใช้งานได้ยาวนานกว่าถึง 8-9 ชั่วโมงเลยทีเดียว
เรียกได้ว่าทั้ง 4 โหมดนั้นก็ใช้งานได้สะดวกสบายและปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ดีมีข้อสังเกตอยู่เล็กน้อยตรงที่เจ้า Helix มีความร้อนที่ค่อนข้างสูงมากเมื่อ ใช้งานในห้องอุณหภูมิปกติ ซึ่งจะให้ดีใช้งานในห้องปรับอากาศจะดีที่สุดครับ
Performance / Software
ถึงช่วงทดสอบหรือ Benchmark กันแล้วนะครับ สำหรับเจ้า Lenovo Helix ก็มาพร้อมด้วยสเปคเครื่องในระดับ Ultrabook ที่ประหยัดไฟเป็นพิเศษ แต่ประสิทธิภาพก็ใช่ย่อยนะครับ แบะไม่ได้ด้อยกว่าโน๊ตบุ๊คปกติมากเลยนัก ยิ่งได้ที่เก็บข้อมูลความเร็วสูงอย่าง SSD ด้วยแล้วละก็เรียกได้ว่า โน๊ตบุ๊คปกติทั่วไปเป็นรองเลยละครับ แต่ถ้าเทียบระดับราคาแล้วละก็ห่างกันเยอะอยู่เหมือนกัน
โปรแกรมอย่าง CPU-Z ก็แสดงสเปคออกมาได้ตรงตามที่ Lenovo ระบบมาทุกส่วน ยกเว้นแต่แรมของระบบที่แสดงเพียง 3.8GB ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเจ้า Helix ได้ทำการแชร์แรมไปให้การ์ดจอออนบอร์ดนั่นเองละคร๊าบบ รวมไปถึงซีพียูที่ใช้รุ่นสูงกว่าปกติครับผม
ตัวเก็บข้อมูลของระบบที่ Helix เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจ ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดไดร์ฟแบบจานหมุนหรือฮาร์ดดิสก์ลูกผสมอย่าง SSHD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนละครับ
และตบท้าบด้วยชุดทดสอบของ FuterMark ก็ไม่ได้หวือหวาอะไรและทำได้อยู่ในระดับมาตราฐานทั่วไปเท่าทื่มันควรจะเป็น
อีกหนึ่งจุดเด่นสำหรับ ThinkPad Helix นั่นก็คือตัวซอฟแวร์ต่างๆ ที่บันเดิลมาให้กับเครื่องที่มีมามากมาย และพิเศษกว่าใครทั้ง Lenovo Solution Center , Lenovo Power Manager และซอฟเวอร์อื่นๆ
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
สำหรับซอฟแวร์ตัวแรกอย่าง Lenovo Solution Center นั้นจะเป็นซอฟแวร์ที่ไว้คอยจัดการระบบโดยรวมของตัวเครื่อง ThinkPad Helix ที่สามารถทำได้ตั้งแต่การตรวจ และตั้งค่าความปลอดภัยโดยรวมของตัวเครื่องว่ามีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ , มีแพซต์ใหม่ๆให้อัพเดทหรือเปล่า รวมไปถึงการเช็คสถานะอุปกรณ์ต่างๆ ว่าอยู่ในสภาพปกติ ฮาร์ดดิสก์เต็มไหม หรือแม้แต่แบคอัพข้อมูล-คื่นค่าระบบก็ย่อมได้
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
ซอฟแวร์ตัวที่สองอย่าง Lenovo Power Manager ก็เรียกได้ว่าเป็นซอฟแวร์ที่มีประโยชน์มาก ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดสรรพลังได้ในหลายๆ ส่วน ทีสำคัญตัวซอฟแวร์แวร์ยังค่อนข้างมีความละเอียดมากทีเดียว ทำให้เหล่า Power User สามารถปรับแต่งการใช้พลังงานได้ในรูปแบบที่คุณต้องการ ช่วยให้ ThinkPad Helix อยู่ได้นานขี้นแม้ ไม่ได้เสียบชาร์จไฟกันเลยทีเดียวเชียวละครับ
Conclusion / Award
Lenovo Helix ก็เป็นอีกหนึ่ง Ultrabook กึ่ง Tablet หรือ Hybrid Ultrabook ที่ครบเครื่องและตอบโจทย์ผู้ใช้มืออาชีพและกลุ่มนักธุรกิจได้อย่างดีเยี่ยม แถมด้วยการออกแบบของตัวเครื่องที่เชื่อได้เลยว่าถ้าเพื่อนๆสมาชิกเห็นตัวเป็นๆจะต้องชื่นชอบอชัวร์ๆ ด้วยการออกแบบของตัวเครื่องที่เรียบหรูมากๆ สำหรับท่านใดที่ชอบลักษณะการออกแบบของ Lenovo ThinkPad รุ่นก่อนๆ ต้องหลงรักเจ้า Helix อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อยูเซอร์ได้ลองใช้งานฟีเจอร์ แบบ Multi Mode ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานในหลากหลายโหมดหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Laptop Mode , Stand Mode , Tablet Mode และ Tablet+ Mode ที่ให้ประสบการณ์ใช้งานที่หาจากโน๊ตบุ๊คตัวไหนไม่ได้แล้วละก็ เชื่อได้เลยว่ายูเซอร์จะต้องอยากครอบครองเป็นเจ้าของกันแบบไม่ต้องสงสัย
รวมไปถึงในด้านของสเปคของตัวเครื่องของ Helix ในระดับ Ultrabook ที่จัดสรรพลังงานได้อย่างเป็นเยี่ยมและมีประสิทธิภาพสูงด้วยหน่วยประมวลผลกลางอย่าง Intel Core i5 , แรม DDR3L และฮาร์ดไดร์ฟแบบ SSD ที่สำคัญยังใช้งานสามารถใช้งานต่อเนื่องโดยไม่มีพักและไม่เสียบอะแดปเตอร์ชาร์จไฟได้สูงสุดถึง 8 ชั่วโมง++ เลยทีเดียว พ่วงด้วยน้ำหนักตัวเครื่องที่เบาพอรับได้ และขนาดตัวเครื่องที่อยู่ในระดับ Ultrabook เพื่อนๆท่านใดที่มองหาโน๊ตบุ๊คแบบ Ultrabook ที่สามารถใช้งานเป็นแท็บเล็ตแบบอิสระและปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลายรูปแบบ แถมมีน้ำหนักเบา บนประสิทธิภาพสูง พร้อมใช้งานได้ยาวนาน รวมไปถึงรองรับฟีเจอร์ไร้สายสุดเจ๋งอย่าง 3G และ NFC แล้วละก็ เจ้า?Lenovo Helix เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากๆตัวนึงเลยละครับ โดยเจ้า Lenovo Helix มีค่าตัวอยู่ที่ 51,900 บาท โดยสามารถสั่งแบบ Buy Order ได้จากตัวแทนจำหน่ายของ Lenovo Thailand ได้เลยครับผม
ข้อดี
- ดีไซน์สวยงามโดดเด่น
- ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลายรูปแบบ
- รองรับ NFC และใส่ซิมแบบ 3G ได้
- หน้าจอแสดงผล 11.6 นิ้ว แบบ FHD IPS พร้อม?Corning Gorrilla Glass?
- รองรับและมีปากกา Digitizer Pen มาให้ด้วย
- มี MiniDisplay Port และรองรับ USB 3.0 ถึง 2 พอร์ต
- ใช้งานได้ต่อเนื่องและยาวนาน 8 ชั่วโมงขึ้นไป
- ซอฟแวร์ที่ติดมากับตัวเครื่องใช้งานได้จริงตามสไตล์ ThinkPad
- มาพร้อมกล้องหลัง 5 ล้าน และกล้องหน้า 2 ล้านพิกเซลใช้งานได้สะดวก
ข้อสังเกต
- ใช้งานได้ดีแต่มีความร้อนที่ค่อนข้างมาก
Awards
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับโน๊ตบุ๊คในกลุ่ม Hybird Ultrabook ขนาดหน้าจอ 11.6 นิ้ว ซึ่ง?Lenovo Helix?ก็ได้รับรางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Ultrabook
ในกลุ่ม Ultrabook ระดับหน้าจอแสดงผล 11.6 นิ่วนั้น ถือได้ว่าเจ้า Lenovo Helix มีความโดดเด่นในมากทีเดียวด้วยการออกแบบที่เหนือกว่าและขนาดตัวที่ไม่หนักจนเกินไป รวมไปถึงมีสเปคเครื่องที่อยู่ในระดับ Ultrabook ที่ประสิทธิภาพค่อนข้างโอเค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฟีเจอร์ Multi-Mode ที่ใช้งานได้จริง ซึ่ง Ultrabook ตัวอื่นๆในตลาดทำไม่ได้อย่างแน่นอน ยิ่งเมื่อรองรับการใช้งานควบคู่ Digitizer Pen , 3G และ NFC ด้วยแล้ว เรียกได้ว่าเจ้า Helix ตอบโจทย์ด้านความหลากหลายและครอบคลุมได้มากกว่า Ultrabook ตัวอื่นๆอย่างแน่นอน