ทศวรรษที่ผ่านมา AMD นำเราไปสู่ยุคสมัยของซีพียูที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ล้ำสมัยมากมาย เริ่มต้นที่เห็นได้เด่นชัดก็จะเป็น Dual Core x86 (AMD Athlon) ที่ AMD เปิดตัวเป็นเจ้าแรก ตามมาด้วยซีพียูแบบ Tri-core และ Quad-Core (AMD Phenom) ในปี 2008 ที่ AMD ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับซีพียูแบบ Octa-core ที่ AMD เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีเสมอๆ โดยสามารถพบเห็นได้ใน AMD FX Series รวมไปถึงในส่วนของ Console Next-Gen เอง AMD ก็ประสบความสำเร็จในด้านของซีพียูเช่นกัน ทั้งกับ Sony PlayStation 4 และ Microsoft Xbox One ที่ก็ต่างเลือกใช้ซีพียู (APU) ของ AMD เป็นแกนกางในการประมวลผลแทบทั้งสิ้น
ในวันนี้ AMD ก็ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการส่งซีพียู AMD Kaveri รุ่นใหม่ล่าสุดลงสู่ตลาดเดสท็อป และโน๊ตบุ๊ค (ถ้าจะเรียกให้ถูกก็จะเป็น APU เสียมากกว่า) และ AMD Kaveri นั้นก็มาพร้อมเทคโนโลยีล้ำน่ากว่าคู่แข่งเหมือนเช่นเคย โดยทำการควบรวมซีพียูจำนวน 4 คอร์ (Quad-Core) และจีพียู(ชิปประมวลผลกราาฟิก) อีกจำนวน 8 คอร์ (Octa-core) เข้า ด้วยกันและเรียกคอร์ 12 คอร์ทั้งหมดรวมกันว่า “12 compute cores”
“COMPUTE CORES”
?
COMPUTE CORES คือออะไร? เหตุผลที่ AMD เรียก GPU Core ภายใน Kavari ว่า “Compute Cores” เพราะเจ้าชิป GPU นี้มีความแตกต่างกับ GPU Core ตัวอื่นๆ ในซีพียูของเดสท็อป ซึ่งเป็นอะไรที่มากกว่าการแสดงผล 3 มิติทั่วไป โดยมันจะสามารถจะช่วยแบ่งเบาภาระของ CPU ได้ ด้วยการที่มันสามารถเข้าถึง system memory ได้โดยตรง และประมวลผลงาน(Task)นั้นๆ ได้อย่างอิสระแทบจะทำหน้าที่ได้เหมือนกับที่ CPU ทำได้เลยละ แต่อย่างไรก็ดีก็ยังมีความต่างอยู่บ้าง โดย GPU Core จะทำงานได้ดีกว่าในส่วนของการประมวลผลแบบขนานที่ไม่ซับซ้อนมากนัก(parallel processing.) มากกว่าที่จะมาใช้แบบอนุกรมที่มีความซับซ้อนสูง (serial processing) นั่นเอง
ซึ่ง AMD ยังกล่าวอีกว่าในขณะนี้นักพัฒนาซอฟแวร์สำหรับคอมพิวเตอร์หลายๆ เจ้าก็พร้อมแล้วที่จะใช้ประโยชน์จาก GPU Core ใน AMD Kaveri พัฒนาซอฟแวร์ผ่านเครื่องมืออบ่าง OpenCL ที่จะสามารถใช้เพิ่มประสิทธิภาพ และเร่งความเร็วในทุกโปรแกรมตั้งแต่ Photoshop ไปถึง Spreadsheets ขนาดมหึมาได้ แต่อย่างไรก็ดี Open CL ต้องการโค้ดจำนวนมาก และต้องการการเคลื่อนกลับไปกลับมา ระหว่าง GPU และ CPU เยอะพอสมควร แต่”ถ้า”นักพัฒนายึดมั่นใน HSA มันก็ช่วยลดขั้นตอนเหล่านั้นไปได้มาก ซึ่งในตอนนี้ AMD ก็กำลังเร่งหาคู่ค้าร่วมในการพัฒนา HSA แล้ว และย่างน้อย AMD ก็ได้ผลักดันเจ้าซิลิก่อน(วัสดุในการผลิต CPU)กว่าล้านตัวไปสู่เครื่อง Console Next-Gen ได้แล้ว ซึ่งน่าจะช่วยให้นักพัฒนาหันมาสนใจ Kaveri และจะช่วยผลักดันให้ “Compute Cores” แสดงศักยภาพของมันออกมา ซึ่งจะช่วยให้ Kaveri ประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก
Gaming
การเล่นเกมใน AMD Kaveri ก็ไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งก็ได้มีผลทดสอบ Benchmark เปรียบเทียบระหว่าง Kaveri A10-7850K และ Core i5-4670K บางส่วน โดยเกมทั้งหมดที่ทำการทดสอบนั้นใช้ความละเอียดภาพที่ 1920×1080 พิกเซล และปรับความละเอียดสูงสุด โดยใช้การ์ดจอแยกระดับกลางอย่าง AMD Radeon R9 270X เพื่อให้เห็นภาพของซีพียูชัดที่สุด ซึ่งผลสรุปก็ออกมาดังภาพ ที่สูสีกันมาก และดูเจ้า Kaveri จะมีประสิทธิภาพต่อราคาดีกว่า Haswell ที่มีราคาสูงกว่าเกือบๆ 70 ดอลลาร์สหรัฐ เสียอีก (Kaveri A10-7850K ราคา 172 ดอลลาร์สหรัฐ / Core i5-4670K ราคา 239 ดอลลาร์สหรัฐ)
POWER EFFICIENCY – ONBOARD GRAPHICS
สำหรับการ์ดจอแยกก็แรงไม่เบาทีเดียวสำหรับ AMD Kaveri ที่มาพร้อมชิป GPU ใหญ่โตกว่า Intel มากที่เดียว โดยรวมมีขนาดถึง 47% ของทรานซิสเตอร์ทั้งหมดรวมๆ กว่าล้านตัว ที่เพียงพอที่จะรันเกม ใหม่ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก พร้อมกันนั้นยังมาพร้อมการจัดการพลังงานที่ดีขึ้น ช่วยให้ประหยัดไฟ และประหยัดเงินมากขึ้น โดย AMD Kaveri สามารถเล่นเกม BioShock Infinite ที่ ความละเอียด 1920×1080 พิกเซล (ปรับความละเอียดต่ำสุด) ซึ่งคาดหมายกันว่าจะรันได้ที่ 30FPS นิ่งๆ ไม่แกว่ง นอกจากนี้ AMD ก็ยังเคลมว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่ AMD “Kaveri” A10-7850K รุ่นท็อปสุดจะแถมเกม Battlefield 4 มาให้เป็นบันเดิลฟรี (แต่ต้องเตรียมใจปรับภาพต่ำสุดเอาไว้เลยถ้าเล่นแบบไม่ใช้การ์ดจอออนบอร์ด)
เช่นเดียวกันกับในเรื่องของการกินไฟ ที่แน่นอนว่า Intel มาพร้อมการจัดการพลังานที่ดีกว่า เพราะ Haswell มีจำนวนทรานซิสเตอร์ที่น้อยกว่า (1.4 พันล้าน ส่วน Kaveri 2.3 พันล้าน) และทรานซิสเตอร์ของซีพียูก็มีขนาดเล็กลงอย่างมีนัยสำคัญ (Haswell ขนาด 22nm / Kaveri 28nm) ด้วยขนาดที่เล็กลงจะช่วยประหยัดไฟมากกว่า แต่อย่างน้อย AMD ก็มีขนาดที่เล็กลงเช่นกัน แต่อย่าลืมว่ามีสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่ AMD เหนือกว่าก็คือเมื่อคุณนึกถึงโน๊ตบุ๊ค , Hybrid โน๊ตบุ๊ค และแท็บเล็ตที่ใช้ AMD Kaveri คุณจะมั่นใจได้เลยว่ามันจะประหยัดไฟกว่า และมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน(หรือมากกว่า)กับเครื่องที่ซีพียู Haswell พ่วงกับใช้การ์ดจอแยก (ในบางแหล่งข่าวบอกว่าการ์ดจอออนบอร์ด AMD Kaveri มีประสิทธิภาพเทียบเท่า AMD Radeon HD7750 ครับ)
MANTLE – TRUEAUDIO
Mantle อีกหนึ่งโปรแกรมเฉพาะที่ AMD เขียนขึ้นมารองรับกับ Kaveri โดย Mantle นั้นจะเป็นเครื่องที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเร่งประสิทธิภาพของชิปที่กินไฟต่ำ เช่น HTPC และ โน๊ตบุ๊ค ในการเล่นเกม โดย Matnle นั้นจะรันบนชิป GPU ของ AMD มาก่อนที่มาพร้อมสถาปัตกรรม Graphics Core Next (GCN) ซึ่งสืบเนื่องมาจากการที่ AMD Kaveri ใช้ชิปกราฟฟิกแบบ GNC เช่นเดียวกันกับการ์ดจอแยกจำพวก AMD Radeon Rx200 Series ทำให้การ์ดจอออนบอร์ดของ Kaveri สามารถใช้งาน Mantle เพื่อเร่งประสิทธิภาพในการเล่นเกม รวมไปถึงในการใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ โดย AMD ได้เคลมว่าคุณจะได้เห็นประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นในเกมอย่าง Battle Field 4 ถึง 45% (หลังจากที่คุณได้รับอัพเดท Metal ในปลายเดือนนี้) และมากกว่า 300% ในเกมวางแผน RTS ที่ใช้ Star Swarm game engine
นอกจาก Mantle แล้ว สิ่งที่ Kaveri ดึงข้ามมาจากฝั่งการ์ดจอ AMD Radeon Rx200 Series ก็คือ True Audio ที่เป็นโปรแกรมทางด้านเสียงแยกต่างหาก เขียนขึ้นมาเพื่อประมวลผลทางด้านเสียงโดยเฉพาะ ฝังไปบนชิป Kaveri เช่นกัน โดย True Audio สามารถช่วยในเรื่องของระบบเสียงภายในเกม และถอดรหัสข้อมูลเสียงตามที่ตั้ง ให้เสียงที่เปล่งออกมาสมจริง ตามระยะใกล้ไกลเหมือนได้อยู่ในสถานที่จริง และยังช่วยเพิ่มจำนวนของคำพูด และซาวน์เอฟเฟกต่างๆ ให้ได้ยินพร้อมๆ กันในแต่ละครั้งมากขึ้น
ทิ้งท้าย
AMD Kaveri นั้นใช้เวลากว่า 4 ปีในการพัฒนา เหตุผลก็เพราะมันยากทีเดียว ที่จะนำเทคโนโลยีเจ๋งๆ หลากหลายตัวมาบีบให้เล็กลง และจับยัดไปในชิปเพียงตัวเดียว ทั้ง HSA , Mantle , TrueAudio ซึ่งนี่ก็สามารถอธิบายได้ถึงเหตุผลได้แล้วว่าทำไม Kaveri ถึงมีราคาแพงกว่า ซีพียูตัวก่อนหน้าอย่าง Richland ของ AMD โดยราคาของเจ้า Kaveri นั้นจะเริ่มจากรุ่นเล็กอย่าง A8-7600 ที่ 119 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 3,900 บาท , A10-7700K 152 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 5,000 บาท , และตัวเรือธงอย่าง A10-7850K ที่ 172 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 5660 บาท
ซึ่งอย่างไรก็ดีอย่างเพิ่งรีบซื้อนะครับรอให้เว็บตางๆ นำมาทดสอบเปรียบเทียบกันเสียก่อน ว่าสรุปแล้วเจ้า AMD Kaveri สมกับการตั้งหน้าตั้งตารอหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ดีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้เลยก็คือ AMD เลือกที่จะนำหลายๆ อย่างที่เจ๋งๆ และฉลาดๆ มาใส่เจ้า Kaveri มากมาย ถึงแม้จะจ่ายเงินในจำนวนที่มากกว่าเก่า แต่ด้วยเทคโนโลยีเยอะขนาดนี้ช่วยให้มันมีความคุ้มค่าได้ไม่อยากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณนำ Kaveri ไปใช้กับการ์ดจอ AMD Radeon Rx200 Series แล้วละก็ Kaveri จะยิ่งช่วยผลักดันประสิทธิภาพของการ์ดจอแยกไปได้อีก เพราะมันสามารถ Dual Graphics ได้ช่วยให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ (คล้าย Crossfire ในอดีต) ซึ่งในทีสุดแล้วถ้าซอฟแวร์ต่างๆ ในอนาคตรองรับ Mantle และ HSA มากกว่านี้ (ซึ่งมันก็น่าจะเป็นแบบนั้น) ตามขาด Intel จ๋อยแน่
หมายเหตุ AMD Kaveri ใช้ Socket FM 2+ และมีชิป AMD A88x , AMD A78 และ AMD 55 ที่รองรับ
ที่มา : engadget