หากสังเกตฮาร์ดดิสก์ WD ที่มีจำหน่ายอยู่ในเวลานี้ มีการแยกรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปอย่าง WD Caviar Black Green Blue และ Red ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจุเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังมีเรื่องของ ประสิทธิภาพ การใช้พลังงาน ระยะเวลาของการทำงาน รวมไปถึงการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ในแบบอื่นๆ เช่น ทำเป็น Storage Network เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่เวลานี้มีฮาร์ดดิสก์ที่ออกมามากมายหลายรุ่น เช่นเดียวกับฮาร์ดดิสก์จากค่าย WD ที่ต้องถือว่าเป็นรายแรกๆ และรายเดียวที่แยกฮาร์ดดิสก์ตามการใช้งานออกมาให้กับผู้ใช้ได้เลือกสรรตามการใช้งาน
โดยฮาร์ดดิสก์ในแต่ละรุ่นจากทาง WD ที่วางจำหน่ายอยู่นั้น มีอยู่ด้วยกันหลายรุ่นและใช้สีเป็นตัวแบ่งการทำงาน สังเกตได้คือ มีในรุ่นที่เป็น สีดำ (Black), เขียว (Green), น้ำเงิน (Blue) และล่าสุดในรุ่น (Red) ซึ่งต้องบอกว่าแม้จะเป็นฮาร์ดดิสก์ที่ในแบบเดียวกัน ความจุก็ไม่ได้ต่างกันนัก แต่โครงสร้างและการออกแบบในการใช้งานนั้นต่างกันพอสมควรเลยทีเดียวและสิ่งที่น่าสนใจก็คือ เทคโนโลยีที่มีอยู่ภายในฮาร์ดดิสก์แต่ละรุ่นก็ต่างกันอีกด้วย แต่จะเป็นฮาร์ดดิสก์แบบไหนและเหมาะกับการใช้งานอย่างไรนั้น ต้องมาดูกันที่รายละเอียด
WD Caviar Blue มาเริ่มกันที่ฮาร์ดดิสก์ในรุ่นมาตรฐานของทาง WD ที่ใช้สำหรับงานทั่วไป จะเก็บข้อมูลก็ได้หรือใช้ติดตั้งโปรแกรมหรือระบบปฏิบัติการก็ดี เป็นแบบกลางๆ ที่ใช้กับงานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร เกมหรือมัลติมีเดีย จุดเด่นคือ การทำงานที่เงียบและมีควมเร็วในการเรียกใช้ข้อมูลที่ดีพอสมควร บนความเร็ว 7200rpm แต่ที่สำคัญคือ มีเทคโนโลยีที่ใช้ป้องกันและลดการสั่นสะเทือน ซึ่งช่วยยืดอายุในการใช้งานออกไป
เทคโนโลยีที่มีอยู่ใน WD Caviar Blue
NoTouch? ramp load : เป็นเทคโนโลยีพิเศษที่ออกแบบมา เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน โดยที่ป้องกันหัวบันทึกข้อมูล ซึ่งจะไม่สัมผัสกับตัวดิสก์ ทำให้มั่นใจในการใช้งานได้ว่าการเสื่อมของตัวฮาร์ดดิสก์ที่เกิดจากการใช้งานนั้นจะส่งผลต่อฮาร์ดดิสก์ได้น้อยมากนั่นเอง
IntelliSeek? : เป็นเทคโนโลยีที่จะช่วยลดปริมาณการใช้พลังงาน และลดการสั่นสะเทือน รวมถึงการเกิดเสียงรบกวนจากการทำงานของฮาร์ดดิสก์
ShockGuard? : เป็นอีกเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันระบบกลไกภายใน Harddisk ไม่ว่าจะเกิดจากภาวะที่ทำให้สั่นสะเทือน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายหรือพกพาไปยังที่ต่างๆ ระหว่างการเดินทาง
WD Caviar Black เป็นเหมือนฮารฺดดิสก์รุ่นพี่ที่มีความฮาร์ดคอร์มากที่สุดในตอนนี้ เมื่อเทียบกับ WD Caviar Blue, Green หรือ Red ก็ตาม ด้วยการจัดเต็มเทคโนโลยีและฟีเจอร์สำหรับจัดการข้อมูลได้อยู่หมัด ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งในด้านความเร็ว การเข้าถึงข้อมูลและลดการสั่นสะเทือน เหมาะสำหรับกลุ่มของเกมเมอร์ ทำงานกราฟฟิกหรือซอฟต์แวร์ที่ต้องการความเร็วในการจัดการข้อมูล อย่างเช่น งานตัดต่อหรือมัลติมีเดีย ด้วยชิปประมวลผลแบบคู่และ Buffer size ขนาดใหญ่ ที่จะตอบสนองต่อข้อมูลได้รวดเร็วและเทคโนโลยีและกลไกที่ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีที่มีอยู่ใน WD Caviar Black
StableTrac? : เป็นรูปแบบของการยึดเพลาของมอเตอร์ไว้อย่างแน่นหนาที่ปลายทั้งสองด้ าน ส่งผลให้ลดการเกิดแรงสั่นสะเทือน จากการทำงานของตัวระบบได้ดี ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับแผ่นจานแม่เหล็ก ทำให้ค้นหาข้อมูลได้อย่างแม่นยำทั้งในระหว่างที่อ่านหรือเขียนข้อมูลก็ตาม
NoTouch? ramp load : เป็นรูปแบบของเทคโนโลยีสำหรับใช้ในการพักหัวเข็ม เพื่อช่วยให้มั่นใจว่าหัวบันทึกข้อมูลจะไม่สัม ผัสโดนผิวหน้าของตัว ดิสก์ ส่งผลให้ปริมาณการสึกหรอของหัวบันทึกและผิวหน้าดิสก์ลง อีกทั้งช่วยปกป้องตัวไดรฟ์ในระหว่างการเคลื่อนย้ายได้ดียิ่งขึ้น
Dynamic Cache : เป็นการจัดสรรค์การทำงานระหว่างการเขียนและการอ่านให้เหมาะสม ทำให้ลดปัญหาการติดขัดของการส่งข้อมูลอีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำ งานโดยรวมของฮาร์ดดิสก์
WD Caviar Green เป็นฮาร์ดดิสก์รุ่นที่ได้รับการพัฒนา เพื่อให้รองรับกับการใช้งานในด้านการจัดเก็บข้อมูลและจัดการพลังงานได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มเทคโนโลยี Green หรือระบบประหยัดพลังงานเข้าไปนั่นเอง ซึ่งนอกจากจะช่วยเซฟการใช้พลังงานแล้ว ก็ยังลดเสียงรบกวนและความร้อนลงไปได้อีกด้วย พูดง่ายๆ คือ ไม่ได้เน้นที่ประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับ Blue หรือ Black แต่ใส่เทคโนโลยีที่ทำหน้าที่จัดการพลังงานเข้าไปแทน เหมาะกับการนำไปใช้ในการสำรองข้อมูลและมีการเรียกใช้ไม่บ่อยนักหรือจะใช้เป็นตัวพักข้อมูลที่มีอัพเดตบ่อยๆ
เทคโนโลยีที่มีอยู่ใน WD Caviar Green
IntelliPower? : เป็นการปรับแต่งให้การทำงานทั้งในด้านของความเร็วของการหมุน การโอนถ่ายข้อมูล และหน่วยความจำแคช โดยออกแบบมาเพื่อการประหยัดพลังงานและประสิทธิภาพในการทำงาน และฮาร์ดไดรฟ์นี้ยังมี GreenPower ที่ใช้พลังงานในระหว่างเริ่มต้นทำงานน้อยลงอีกด้วย
IntelliSeek? : เป็นการคำนวณความเร็วในการค้นหาข้อมูลที่เหมาะสม เพื่อลดอัตราการบริโภคพลังงานรวมทั้งเสียงรบกวนแ ละการสั่นสะเทือน
NoTouch? เป็นรูปแบบของเทคโนโลยีสำหรับใช้ในการพักหัวเข็ม : ออกแบบเพื่อช่วยให้มั่นใจว่าหัวบันทึกข้อมูลจะไม่สัม ผัสโดนผิวหน้าของตัว ดิสก์ ส่งผลให้ปริมาณการสึกหรอของหัวบันทึกและผิวหน้าดิสก์ลง อีกทั้งช่วยปกป้องตัวไดรฟ์ในระหว่างการเคลื่อนย้ายได้ดียิ่งขึ้น
WD Caviar Red เป็นฮาร์ดดิสก์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการใช้งานในรูปแบบของ NAS (Network Attached Storage) โดยที่ WD Caviar Red จะสามารถใช้กับ NAS Box ได้เกือบทุกรุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงการออกแบบและทดสอบโดยเฉพาะ เพื่อให้รองรับการใช้งานบน NAS Box ในรุ่นต่างๆ ที่สำคัญ WD Caviar Red ยังได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานได้ตลอดในแบบ 24/7 หรือ 24 ชั่วโมงต่อวันทั้ง 7 วัน เรียกว่าไม่มีวันหยุด ด้วยขนาด Buffer Size ที่ 64MB และมีอายุการใช้งานเฉลี่ยหรือ MTBF ที่ 1,000,000 ชั่วโมง รองรับแรงสั่นสะเทือนในขณะทำงานได้ที่ 65G และขณะไม่ทำงานที่ 350G เหมาะสำหรับการจัดเก็บข้อมูลภายในบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็กได้ดี ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยี NASware และ 3D Active Balance Plus รับประกัน 3 ปี
เทคโนโลยีที่มีอยู่ใน WD Caviar Red
NASware? : คือ Firmware ที่อยู่ภายใน WD Caviar Red ช่วยในการทำงานและปกป้องข้อมูล ซึ่งแสดงประสิทธิภาพสูงสุดบน NAS และ RAID ทำให้รองรับการทำงานได้ในแบบ 24 ชั่วโมงต่อวันและ 7 วันต่อสัปดาห์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มคนที่ชอบการโหลดบิท แชร์ไฟล์และผ่าน FTP รวมถึงมีการใช้เทคโนโลยีอย่าง
Notouch ลดการสัมผัสกับตัวจานแม่เหล็ก ออกแบบเพื่อช่วยให้มั่นใจว่าหัวบันทึกข้อมูลจะไม่สัมผัสโดนผิวหน้าของตัว ดิสก์ ส่งผลให้ปริมาณการสึกหรอของหัวบันทึกและผิวหน้าดิสก์ลง อีกทั้งช่วยปกป้องตัวไดรฟ์ในระหว่างการเคลื่อนย้ายได้ดียิ่งขึ้น
ShockGuard : เป็นการป้องกันแรงสะเทือนที่รองรับได้มากกว่าปกติ เพื่อช่วยถนอมการทำงานและข้อมูลในฮาร์ดดิสก์
3D Active Balance Plus? : เป็นเทคโนโลยีการควบคุมความสมดุล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมของ HDD ในกรณีที่วางหรือติดตั้งไม่เหมาะสมและส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือน และเสียงรบกวนมากเกินไปสำหรับการทำงานกับระบบ Drive ที่มีหลายๆ ตัว นั่นก็หมายถึงทำให้ HDD มีอายุการใช้งานสั้นลงนั่นเอง เทคโนโลยีนี้ก็จะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา