เชื่อได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Apple ที่หลายๆ คนรอการกลับมาของรุ่นใหม่อย่างแท็บเล็ต iPad ที่ในตอนนี้ก็เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ iPad Air ที่ถือได้ว่าเป็น iPad รุ่นที่ 5 แล้ว ซึ่งมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร แต่ก็เป็นไปตามคาดตามภาพที่หลุดออกมา ก็คือหน้าตาจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับ iPad mini ทั้งในเรื่องของวัสดุงานประกอบและดีไซน์ที่บางเบากว่าเดิม โดยยังคงใช้ความละเอียดหน้าจอและขนาดหน้าจอเท่าเดิมอยู่
ในส่วนของสเปกภายใน iPad Air ก็เรียกได้ว่าจัดเต็มด้วยชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด อีกทั้งยังมาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวช่วย ซึ่งเพื่อให้การทำงานโดยรวมนั้นดียิ่งกว่าเดิม ทำให้พูดได้เลย ว่า iPad Air เครื่องนี้เป็นอีกหนึ่งสุดยอดแท็บเล็ตในตลาดที่น่าสนใจ สนนราคา iPad Air เริ่มต้นอยู่ที่ 16,900 บาท เทียบกับรุ่นก่อนหน้าอาจจะแพงกว่า 400 บาท แต่ประสบการณ์ใช้งานที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นนั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอนทีเดียว?
Introducing VDO
Specification
iPad Air นั้นนอกเหนือจากจะอัพเกรดชิปประมวลผลเป็น Apple A7 Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz ทำงานแบบ 64-bit มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก PowerVR G6430?ที่เป็นแบบ Quad-core พร้อมแรมขนาด 1GB (เท่าเดิม) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอ Retina Display ที่มีความละเอียดเท่าเดิม ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว รวมไปถึงยังเสริมด้วยชิปประมวลผล Apple M7 ที่ช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ
โดย iPad Air?แบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 32GB, 64GB, 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad Air นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G เช่นเดิม (แน่นอนว่าใช้ 3G, 4G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 32GB และ 64GB, 128GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว iPad with Retina Display นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ
- Wi-Fi 16GB : 16,900 บาท
- Wi-Fi 32GB : 20,400 บาท
- Wi-Fi 64GB : 23,900 บาท
- Wi-Fi 128GB : 27,400 บาท
- Wi-Fi + Cellular 16GB : xx,xxx บาท
- Wi-Fi + Cellular 32GB : xx,xxx บาท
- Wi-Fi + Cellular 64GB : xx,xxx บาท
- Wi-Fi + Cellular 128GB : xx,xxx บาท
สำหรับในส่วนของสเปกเต็มๆ สามารถคลิกชมกันได้ ที่นี่ เลยนะครับ
Hardware / Design
ภายในกล่องของ iPad Air ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, สาย USB > Lightning, อแดปเตอร์ USB, คู่มือการใช้งานเบื้องต้น และสติ๊กเกอร์โลโก้ Apple ที่หลายๆ ท่านที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple อยู่คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ iPad นั้น ไม่มีหูฟังแถมมาให้อย่างใน iPhone หรือ iPod นะครับ ต้องซื้อแยกเองอีกทีหากต้องการใช้งาน
iPad Air?เครื่องที่ทีมงานใช้ในการรีวิวนั้นเป็นรุ่น WiFi ความจุ 16 GB สีดำหรืออีกชื่อทางการก็คือ?Space Gray?ที่จัดได้ว่าเป็นสีใหม่เหมือนกับ iPhone 5s สำหรับงานประกอบตัวเครื่องนั้นก็มีความแน่นหนาตามมาตรฐานของ Apple โดยด้านหน้าเป็นกระจก Gorilla Glass ที่มีคุณสมบัติกันรอยกันกระแทกในระดับนึง ซึ่งมีการสะท้อนแสงอยู่พอสมควรแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ขอบของตัวเครื่องด้านหน้าจะเป็นขอบเงาๆ ที่เกิดจากการใช้เพชรเจียระไนขอบอะลูมิเนียมเช่นเดียวกับ iPhone 5s, iPad mini, iPod Touch Gen5 ที่นอกเหนือจะให้ในเรื่องความสวยงามหรูหราแล้ว ยังส่งผลให้จัวถือได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้นจากที่ดีไซน์แบบนี้ รูปทรงโดยรวมถ้าจะบอกว่าเป็น iPad mini ขยายร่างขึ้นมาก็คงไม่ผิดนัก
นอกจากนี้ยังมีกล้องหน้าและเซ็นเซอร์วัดแสงอยู่ตรงกลาง ส่วนบนของจอ และปุ่ม Home ก็อยู่ตามตำแหน่งเดิมๆ เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เดิมๆ ตามสไตล์ iDevice ของ Apple อยู่แล้ว
วัสดุที่ใช้เป็นฝาหลังของ iPad Air ก็คืออะลูมิเนียมที่ผ่านการอะโนไดซ์มาแล้ว ที่แน่นอนว่าผิวสัมผัสจึงแทบจะไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ของ Apple เลย ส่วนสีของฝาหลังนั้นก็จะเป็นไปตามสีเครื่องครับ อย่างรุ่นสี Space Gray?ก็จะมีฝาหลังสีเทาๆ ส่วนรุ่นขาวก็จะมีฝาหลังสีขาวๆ เงินๆ เรียกได้ว่าสีสันแบบเดียวกับ iPhone 5s ก็ว่าได้
ขอบของเครื่องด้านหลังจะมีความโค้งมนเข้ามือ ทำให้สามารถถือ iPad Air อยู่ในมือได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดร่วงจากมือเท่าไหร่นัก ต่างจาก iPad 4 ที่ถือมือเดียวลำบาก ส่วนตัวกล้องหลังของ iPad Air จะฝังแนบมาเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง มีอะลูมิเนียมเนื้อเดียวกับฝาหลังเป็นขอบแยกออกมา ที่ส่วนกล้องจะนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน เนื่องจากตัวเครื่องที่บางมากนั่นเอง พร้อมกันนั้นบริเวณกลางตัวเครื่องจะมีโลโก้ Apple แบบมันวาว และข้อมูลเกี่ยวตัวเครื่องตรงด้านล่างของโลโก้ ตามแบบฉบับของผลิตภัณฑ์ iDevice ที่เรามักคุ้นกันดี
ตำแหน่งของปุ่มกดต่างๆ ก็ยังคงเดิมไม่ว่าจะเป็น ปุ่มเปิด/ปิด/sleep อยู่ตรงมุมบนขวาของเครื่อง (เทียบจากด้านหน้า) และปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงและสวิตช์เปิด/ปิดเสียง (หรือจะตั้งค่าเป็นปุ่มล็อกการหมุนหน้าจอก็ได้) อยู่ทางฝั่งขวาของเครื่อง ทางด้านซ้ายที่โล่งไม่มีปุ่มหรืออะไรใดๆ เลย สุดท้ายกับด้านล่างของตัวเครื่องก็เป็นตำแหน่งของพอร์ต Lightning และลำโพงสเตอริโอ เรียกได้เป็น iPad ขนาดปกติตัวแรกที่มาพร้อมกับลำโพงแบบสเตริโอทีเดียว
Screen / Speaker
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีขนาด 9.7 นิ้ว และความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) สัดส่วนจอเป็น 4:3 แบบเดิมๆ ซึ่งต่างจากสัดส่วนจอของ iPhone 5s หรือ iPod Touch รุ่นล่าสุดที่เป็น 16:9 รวมไปถึงแท็บเล็ต Android ที่ส่วนมากเป็น 16:9 เรียกได้ว่าสัดส่วนหน้าจอ 4:3 นี้เหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book หรือ แอพพลิเคชั่น แม็กกาซีนที่ให้ดาวน์โหลดได้ต่างๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีความหนาแน่นเท่ากับ iPhone 5s ซึ่งค่าอยู่ที่ 326 PPI หรือ iPad mini Retina แต่ก็เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใข้บนแท็บเล็ตแล้วครับ เพราะปกติเราจะใช้ห่างตากว่าบนสมาร์ทโฟนอยู่แล้วครับ ฉะนั้นความละเอียดมากไปกว่านี้ก็จะไม่เห็นความแตกต่าง
นอกจากนี้กับขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเท่ากับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่กลับมีความละเอียดหน้าจอถึง 2048 x 1536 พิกเซล (iPad 1, iPad 2 มีความละเอียดเพียง 1024 x 768 พิกเซลเท่านั้น) ซึ่งหากเรานำมาเทียบกับ LCD TV ในปัจจุบันที่มีขนาดหน้าจอ 32 ? 50 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลแล้วล่ะก็ จะเห็นได้ว่า iPad ตัวใหม่นี้ นั้นมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วขึ้นเยอะมาก (ซึ่งในส่วนนี้เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พัฒนาไปกว่า iPad 3 หรือ 4 เลย)
ลำโพงที่ติดตั้งมาใน iPad Air ถือว่าเป็นลำโพงระบบสเตอริโอ (มีลำโพงสองตัว) ตัวแรกใน iPad ขนาดปกติ โดยจากเท่าที่ทดลองฟัง พบว่ามีความแตกต่างจากลำโพงใน iDevice ตัวอื่นๆ เล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือให้เสียงค่อนข้างดัง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีคุณภาพเสียงมากมายอะไรนัก (แต่ก็ดีกว่าเดิมแบบรู้สึกได้) แนะนำว่าถ้าให้ดีก็ควรต่อหูฟัง หรือเชื่อมต่อกับลำโพงจะเหมาะกว่า ซึ่งคุณภาพจัดได้ว่าไพเราะกว่าการใช้ iPhone ฟังเพลงแน่นอน ไม่จะเชื่อมต่อด้วยสายหรือแบบไร้สายด้วยสัญญาณ Bluetooth ก็ตามที และสำหรับไมโครโฟนที่ไว้ใช้งานสนทนา VDO Call หรืออัดเสียงเป็นหลักจะอยู่บริเวณขอบบนตรงกึ่งกลางเครื่อง พร้อมกับลำโพงอีกตัวที่ช่วยในการตัดเสียงรบกวน ซึ่งเพิ่งติดตั้งมาให้ครั้งแรกบน iPad Air เครื่องนี้
Connector / Thin And Weight
?
iPad Air ก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้หันไปใช้พอร์ต Lightning แล้วเช่นกัน โดยตัวพอร์ตเองนั้นได้ถูกติดตั้งบริเวณขอบด้านล่างของตัวเครื่องโดยอยู่กึ่งกลางลำโพงสเตอริโอ ในส่วนของการใช้งานนั้นต้องบอกว่ามีความสะดวกสบายมากกว่าเดิมพอสมควร เพราะด้วยขนาดที่เล็กลง ซึ่งการเชื่อมต่อนั้นยังไม่จำเป็นต้องมาคอยดูว่าเสียบถูกด้านไหน เพราะว่าทาง Apple ออกแบบให้พอร์ต Lightning เชื่อมต่อได้ทั้งสองด้านเลย ไม่ต้องพลิกบนล่างอย่างที่เคยมีมา
สำหรับสายเชื่อมต่ออีกด้านก็จะเป็นแบบ USB ที่เองนั้นสามารถใช้งานในการซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์หรือชาร์จพลังงานก็สามารถทำได้ทั้งชาร์จด้วย USB จากคอมพิวเตอร์ หรือชาร์จจากอแดปเตอร์ก็ทำได้ทันที โดยตัวอแดปเตอร์ที่ทาง Apple ให้มามีขนาด ?12W เช่นเดียวกับที่ให้มาใน iPad 4 ส่วนมุมบนซ้ายก็เป็นตำแหน่งของช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรที่ตัวเบ้าเป็นสีขาวตามสีเดียวกับตัวเครื่อง แน่นอนว่าถ้าเครื่องเป็นสีดำตัวเบ้าก็จะเป็นสีดำเช่นกัน
iPad Air มีเรื่องที่เป็นจุดเด่นเลยก็คือ การปรับเปลี่ยนรูปทรงให้มีความบางและเบาลงอย่างรู้สึกได้และเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยมีน้ำหนักเพียง 469 กรัมเท่านั้น (iPad 4 หนัก 652 กรัม) เรียกได้ว่าเบามากๆ ซึ่งจากการทดลองใช้งานจริงก็ถือใช้งานมือเดียวได้อย่างสบายๆ ไม่ล้ามือมากนัก ต่างกับ iPad 4 รุ่นก่อนโดยสิ้นเชิงด้วยน้ำหนักที่มากจนเกินกว่าการที่ถือมือเดียวนานๆ นอกเหนือไปจากนี้ตัวเครื่องยังมีความบางที่บางลงกว่าเดิมเพียง 7.5 มิลลิเมตรเท่านั้น (iPad 4 หน้า 9.4 มิลลิเมตร)?
ที่สำคัญกว่านั้นมิติตัวเครื่อง iPad Air ยังได้รับการออกแบบให้เล็กและแคบลงกว่าเดิม เพื่อการพกพาที่สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยหลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันไม่เห็นจะเป็นนวัฒกรรมอะไรเลย แต่ก็ต้องบอกว่าการที่เราได้ iPad ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นโดยที่น้ำหนักเบาลงและตัวเครื่องเล็กลงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ผลิตรายไหนจะทำก็ได้ ที่แม้พูดไปอาจจะเห็นภาพไม่ชัดเจนมากนัก เราก็สามารถชมได้จากภาพประกอบเทียบ iPad Air และ iPad 4 ด้านข้างได้เลย?
* iPad?with Retina Display รุ่น?Wi-Fi + Cellular?จะมีน้ำหนักมากกว่ารุ่น Wi-Fi ปกติ 9 กรัม
Performance / Software
สำหรับประสิทธิภาพของ iPad Air ที่ใช้ชิปประมวลผล Apple A7 ความเร็ว 1.4 GHz (สูงกว่าใน iPhone 5s นิดหน่อย) ก็ถือว่าให้ความแรงในระดับที่น่าประทับใจ ซึ่งในด้านการทดสอบจะเห็นผลต่างของคะแนนอย่างชัดเจน ส่วนในด้านการใช้งานจริง เท่าที่ลองใช้งานเปรียบเทียบกับ iPad 4 ดู พบว่า iPad Air สามารถตอบสนองการสั่งงานได้เร็วขึ้นกว่า iPad 4 เช่นการเปิดแอพ การโหลดเกม การเปิดหน้าเว็บต่างๆ พบว่าทำได้ดีกว่า เร็วกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย เรียกว่าได้ความรู้สึกเหมือนตอนใช้งาน iPhone 5s เลย คือเปิดอะไรๆ ก็ขึ้นเร็วทันใจไปหมด
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการของ iPad Air จะเริ่มต้นมาเป็น iOS 7 แล้ว โดยในเครื่องที่เราได้มามีการติดตั้ง iOS 7.0.4 มาให้ โดยในส่วนของรูปแบบการใช้งานก็ไม่แตกต่างไปจากใน iPad หรือ iPhone ก่อนหน้านี้เท่าไหร่นัก สำหรับคนที่เคยใช้งานอยู่แล้วก็เรียกได้ว่าซื้อมาแล้วใช้งานได้ทันที ส่วนถ้าใครไม่เคยใช้งาน iOS ก็รับรองได้ว่าจับแค่ไม่ถึง 30 นาทีก็น่าจะใช้งานในระดับเริ่มต้นได้คล่องมือแล้วนะครับ
ตัวอย่างของการเปิดแอพพลิเคชั่น App Store แหล่งดาวน์โหลดของฟรีและเสียเงิน และตัวอย่างการเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น Facebook ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้สะดวกมากเมื่อเทียบกับการใช้งานบน iPhone ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่า
อีกทั้งในส่วนของการใช้งาน E-Magazine ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีจากขนาดที่ใหญ่ และความละเอียดหน้าจอที่สูง แน่นอนว่าถ้าใครชอบอ่านไฟล์ต่างๆ ในแท็บเล็ตเป็นประจำ iPad Air ต้องตอบโจทย์อย่างแน่นอน ซึ่ง E-Magazine นี้ก็มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินนะครับ ยังไงลองเลือกซื้อเลือกหากันตามไลฟ์สไตล์กันดู ซึ่งจากการซูมดูก็จะเห็นว่าไม่มีลักษณะภาพแตก (ต้นฉบับต้องมีความละเอียดระดับ Retina อยู่แล้ว)?
นอกจากนี้การใช้งานแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อย่างเกม 2 มิติ 3 มิติ ก็สนับสนุนการใช้งานบน iPad Air ได้อย่างสบายๆ ทั้งในเรื่องของความคมชัดและกราฟิกที่สวยงามเรียบเนียน ที่เราจะเห็นได้ชัดเจนในเกมที่เป็นกราฟิก 3 มิติหนักๆ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญเพราะใช้ชิปประมวลผลที่แรงกว่าชิปรุ่นเดิมถึง 2 เท่าด้วยกัน รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นรวมโซเซียสเน็ตเวิร์คอย่าง Flipboard ที่จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่ควรติดเครื่อง iPad เอาไว้ เพราะด้วยหน้าจอขนาดใหญ่กว่า iPhone และ iPad mini ทำให้เราสามารถรับชมได้อย่างสบายตาทีเดียวครับ
สรุปการใช้งานและประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่อง iPad Air นั้น สามารถตอบสนองการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเล่นอินเตอร์เน็ต อ่าน E-Book, E-Magazine หรือเล่นเกมที่ใช้กราฟิกที่สวยงาม ทุกอย่างล้วนมีความลื่นไหลและสวยงาม โดยรวมก็มีความลื่นไหลมากๆ ซึ่ง iPad Air เหมาะมากๆ สำหรับคนที่เน้นในเรื่องความแรงของประสิทธิภาพ เพราะเรียกได้ว่าชิป Apple 7 นั้น มีความแรงมากที่สุดในหมู่อุปกรณ์ iDevice ด้วยกัน ที่ถือว่าอาจจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนมากนักหากเทียบกับ iPad 4 แต่จะเห็นได้เล็กๆ น้อยๆ ว่าโหลดเกมหรือเข้าใช้งานแอพพิลเคชั่นต่างๆ แต่ในส่วนของการใช้งานทั่วไปบอกได้เลยว่าแทบไม่แตกต่างกันครับ
Battery / Heat
ด้วยการที่ iPad Air เปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A6 เป็น Apple A7 พร้อมเพิ่มชิปช่วยประมวลอีกตัวอย่าง M7 ยังคงมีอัตราการใช้พลังงานต่ำลงกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ Apple ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องก็ยังต้องเป็น 10 ชั่วโมงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ด้วยขนาดที่เล็กและบางลงเบาลง จึงทำให้ iPad Air นี้ มีความจุของแบตเตอรี่น้อยลงกว่าเดิมที่ 8827 mAh?เรียกได้ว่าหากเทียบความจุแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะเห็นได้ชัดเจนว่ามี ความจุมากกว่า 2-3 เท่าทีเดียว โดยจากการทดสอบใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi สลับกับการเล่นเกม 3 มิติบ้างตลอดทั้งวัน ตัวของ iPad Air ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เล่นต่อเนื่องขนาดนี้ 2-3 วันชาร์จไฟครั้งหนึ่งก็ยังได้ ส่วนการชาร์จไปเข้า iPad Air จาก 10% ถึง 100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่นานจนเกินไป
ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมีมาก โดยส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลม) แต่ถ้าอยู่ในนอกสถานที่ที่ค่อนข้างร้อน ตำแหน่งซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากขึ้น แต่ก็ไม่ขนาดที่จับไม่ได้นะครับ เรียกได้ว่ามีการปรับปรุงเรื่องความร้อนได้ดีกว่าเดิมพอตัว
Camera
ในส่วนของกล้องด้านหลังอีกด้วย ที่ในตามภาพจะเห็นเป็นวงกลมสีดำ ซึ่งตัวกล้องเองสามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 5 ล้านพิกเซลเหมือน iPad 4 ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดย iPad Air นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์และชุดเลนส์เช่นเดียวกับ iPhone 5 ส่งผลให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมานั้นมีความสวยงามและชัดเจนกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีทางสวยไปกว่า iPhone 5s แน่นอน
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ติดตั้งมาให้ครับ ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายที่อยู่ทางด้านข้างนะครับ (สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้) ที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจทีเดียวกับภาพจากบนแท็บเล็ตเครื่องนี้
ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A7 ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายตามสไตล์ของ iOS7 เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ
พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้แล้ว
ในส่วนของกล้องด้านหน้าจะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซล (1280 x 720 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ?
Conclusion / Award
ถ้าจะบอกว่า iPad Air นั้น เป็น iPad ที่ทำเสร็จแล้วก็คงไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมาสำหรับ iPad ขนาดปกติหน้าจอ 9.7 นิ้ว ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ อย่าง อาทิ รุ่นแรกก็ทั้งหนาและหนักแถมจอไม่ละเอียด ต่อมารุ่นสองก็ดีขึ้นตรงเบาลงบางลงแต่จอก็ไม่ละเอียดอยู่ดี จนมาถึงรุ่นสามขนาดตัวเครื่องก็กลับมาหนาและหนัก ที่แม้ว่าหน้าจอจะเป็น Retina Display ?แล้วก็ตาม แต่ดันมีปัญหาเรื่องความแรงเพราะด้วยสเปกที่แรกขึ้น และก่อนรุ่นล่าสุดอย่างรุ่นที่ 4 ก็มีการแก้ไขเรื่องความร้อนพร้อมเปลี่ยนพอร์ตเป็น Lightning แต่ก็ยังหนาและหนักเหมือนเดิม จนท้ายที่สุดและล่าสุดกับ iPad Air ก็มาพร้อมความบางและเบาอย่างเหลือเชื่อถือไช้งานมือเดียวได้สบายๆ อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีเยี่ยม โดยที่ไม่เกิดปัญหาเรื่องความร้อนแต่อย่างใด เรียกได้ว่าถ้า Steve Jobs ไม่ด่วนล่วงลับไปเสียก่อน คงได้มีน้ำตาไหลกันอย่างแน่นอน?
iPad Air หรือ iPad 5 นั้น ยังถือได้ว่าเป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน ด้วยความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ น้ำหนัก ความบาง ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย (แน่นอนว่าใครใช้งานจริงคงรู้ดี) เรียกได้ว่าทำให้สมหวังกันเสียทีเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่อย่างไรก็ตาม iPad คงไม่ใช่คำตอบในการใช้งานแท็บเล็ตของหลายๆ คนแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายส่วน อาทิเช่น ปากกา หรือความอิสระในการถ่ายโอนข้อมูล (Apple จำกัดไว้เพราะมีตกลงเรื่องลิขสิทธิ์อย่างเพลงหรืภาพยนตร์) นอกเหนือจากนี้ iPad Air ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน)
ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนๆ มา จะเห็นว่าการมาของ iPad Air ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์อย่าง iOS 7 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว รวมไปถึงความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากชิปประมวลผล Apple A7 และ M7 ที่เร็วขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อพอร์ต Lightning ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้สะดวกมากกว่าถ้าใช้งานคู่กับ iPhone 5 หรือ iPhone 5s อยู่แล้ว
สำหรับคนที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตอะไรมากก่อนเลย iPad Air ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,900 บาท ?(แพงกว่ารุ่นก่อน 400 บาท) แต่ถ้าใครใช้ iPad 4 อยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก หากไม่ต้องได้ใช้งานที่ลื่นไหลและความบางเบามากกว่าเดิม (แต่สำหรับบางคนก็ถือได้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว) รวมไปถึงใครคนไหนที่ต้องการใช้งานพกพาบ่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพอาจจะเป้นรอง iPad Air เล็กน้อย ก็สามารถมาจับจอง iPad mini Retina แทน iPad Air ได้นะครับ สนนราคาก็เริ่มต้นเพียง 13,400 บาทเท่านั้นเอง (แพงกว่าเดิม 2,200 บาท)
จุดเด่น
- มีดีไซน์และความสวยงามหรูหรามากกว่าเดิม
- ตัวเครื่องมีความบางและเบากว่ารุ่นก่อนมาก จับถือไและพกพาด้ง่ายกว่าเดิม
- หน้าจอมีความสวยงาม ด้วย Retina Display จากความละเอียดและพาเนล IPS
- ชิปประมวลผลเป็น Apple A7 ความเร็ว 1.4GHz ทำงานแบบ 64-bit
- มีชิปประมวลผล Apple M7 เป็นตัวช่วยทำงาน เรื่องของเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว
- ประสิทธิภาพดีกว่า iPad 4 แบบรู้สึกได้เหมือนใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม 3 มิติกราฟิกสูง
- ลำโพงให้คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม แบบรู้สึกได้ทันทีเมื่อเปิดเพลงหรือดนตรี
- ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ในทั้งส่วนของงานประกอบและแอพพลิเคชั่น
ข้อสังเกต
- ราคาแพงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
- ถ้าใครเน้นพกพาเป็นหลักก็ลองดูเป็น iPad mini Retina ได้
- ยังมีข้อกำจัดเดิมๆ เหมือน iPad รุ่นที่ผ่านๆ มา
Introducing VDO
Specification
iPad Air นั้นนอกเหนือจากจะอัพเกรดชิปประมวลผลเป็น Apple A7 Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz ทำงานแบบ 64-bit มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก PowerVR G6430?ที่เป็นแบบ Quad-core พร้อมแรมขนาด 1GB (เท่าเดิม) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอ Retina Display ที่มีความละเอียดเท่าเดิม ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว รวมไปถึงยังเสริมด้วยชิปประมวลผล Apple M7 ที่ช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ
โดย iPad Air?แบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 32GB, 64GB, 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad Air นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G เช่นเดิม (แน่นอนว่าใช้ 3G, 4G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 32GB และ 64GB, 128GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว iPad with Retina Display นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ
- Wi-Fi 16GB : 16,900 บาท
- Wi-Fi 32GB : 20,400 บาท
- Wi-Fi 64GB : 23,900 บาท
- Wi-Fi 128GB : 27,400 บาท
- Wi-Fi + Cellular 16GB : xx,xxx บาท
- Wi-Fi + Cellular 32GB : xx,xxx บาท
- Wi-Fi + Cellular 64GB : xx,xxx บาท
- Wi-Fi + Cellular 128GB : xx,xxx บาท
สำหรับในส่วนของสเปกเต็มๆ สามารถคลิกชมกันได้ ที่นี่ เลยนะครับ
Hardware / Design
ภายในกล่องของ iPad Air ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, สาย USB > Lightning, อแดปเตอร์ USB, คู่มือการใช้งานเบื้องต้น และสติ๊กเกอร์โลโก้ Apple ที่หลายๆ ท่านที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple อยู่คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ iPad นั้น ไม่มีหูฟังแถมมาให้อย่างใน iPhone หรือ iPod นะครับ ต้องซื้อแยกเองอีกทีหากต้องการใช้งาน
iPad Air?เครื่องที่ทีมงานใช้ในการรีวิวนั้นเป็นรุ่น WiFi ความจุ 16 GB สีดำหรืออีกชื่อทางการก็คือ?Space Gray?ที่จัดได้ว่าเป็นสีใหม่เหมือนกับ iPhone 5s สำหรับงานประกอบตัวเครื่องนั้นก็มีความแน่นหนาตามมาตรฐานของ Apple โดยด้านหน้าเป็นกระจก Gorilla Glass ที่มีคุณสมบัติกันรอยกันกระแทกในระดับนึง ซึ่งมีการสะท้อนแสงอยู่พอสมควรแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ขอบของตัวเครื่องด้านหน้าจะเป็นขอบเงาๆ ที่เกิดจากการใช้เพชรเจียระไนขอบอะลูมิเนียมเช่นเดียวกับ iPhone 5s, iPad mini, iPod Touch Gen5 ที่นอกเหนือจะให้ในเรื่องความสวยงามหรูหราแล้ว ยังส่งผลให้จัวถือได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้นจากที่ดีไซน์แบบนี้ รูปทรงโดยรวมถ้าจะบอกว่าเป็น iPad mini ขยายร่างขึ้นมาก็คงไม่ผิดนัก
นอกจากนี้ยังมีกล้องหน้าและเซ็นเซอร์วัดแสงอยู่ตรงกลาง ส่วนบนของจอ และปุ่ม Home ก็อยู่ตามตำแหน่งเดิมๆ เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เดิมๆ ตามสไตล์ iDevice ของ Apple อยู่แล้ว
วัสดุที่ใช้เป็นฝาหลังของ iPad Air ก็คืออะลูมิเนียมที่ผ่านการอะโนไดซ์มาแล้ว ที่แน่นอนว่าผิวสัมผัสจึงแทบจะไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ของ Apple เลย ส่วนสีของฝาหลังนั้นก็จะเป็นไปตามสีเครื่องครับ อย่างรุ่นสี Space Gray?ก็จะมีฝาหลังสีเทาๆ ส่วนรุ่นขาวก็จะมีฝาหลังสีขาวๆ เงินๆ เรียกได้ว่าสีสันแบบเดียวกับ iPhone 5s ก็ว่าได้
ขอบของเครื่องด้านหลังจะมีความโค้งมนเข้ามือ ทำให้สามารถถือ iPad Air อยู่ในมือได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดร่วงจากมือเท่าไหร่นัก ต่างจาก iPad 4 ที่ถือมือเดียวลำบาก ส่วนตัวกล้องหลังของ iPad Air จะฝังแนบมาเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง มีอะลูมิเนียมเนื้อเดียวกับฝาหลังเป็นขอบแยกออกมา ที่ส่วนกล้องจะนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน เนื่องจากตัวเครื่องที่บางมากนั่นเอง พร้อมกันนั้นบริเวณกลางตัวเครื่องจะมีโลโก้ Apple แบบมันวาว และข้อมูลเกี่ยวตัวเครื่องตรงด้านล่างของโลโก้ ตามแบบฉบับของผลิตภัณฑ์ iDevice ที่เรามักคุ้นกันดี
ตำแหน่งของปุ่มกดต่างๆ ก็ยังคงเดิมไม่ว่าจะเป็น ปุ่มเปิด/ปิด/sleep อยู่ตรงมุมบนขวาของเครื่อง (เทียบจากด้านหน้า) และปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงและสวิตช์เปิด/ปิดเสียง (หรือจะตั้งค่าเป็นปุ่มล็อกการหมุนหน้าจอก็ได้) อยู่ทางฝั่งขวาของเครื่อง ทางด้านซ้ายที่โล่งไม่มีปุ่มหรืออะไรใดๆ เลย สุดท้ายกับด้านล่างของตัวเครื่องก็เป็นตำแหน่งของพอร์ต Lightning และลำโพงสเตอริโอ เรียกได้เป็น iPad ขนาดปกติตัวแรกที่มาพร้อมกับลำโพงแบบสเตริโอทีเดียว
Screen / Speaker
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีขนาด 9.7 นิ้ว และความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) สัดส่วนจอเป็น 4:3 แบบเดิมๆ ซึ่งต่างจากสัดส่วนจอของ iPhone 5s หรือ iPod Touch รุ่นล่าสุดที่เป็น 16:9 รวมไปถึงแท็บเล็ต Android ที่ส่วนมากเป็น 16:9 เรียกได้ว่าสัดส่วนหน้าจอ 4:3 นี้เหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book หรือ แอพพลิเคชั่น แม็กกาซีนที่ให้ดาวน์โหลดได้ต่างๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีความหนาแน่นเท่ากับ iPhone 5s ซึ่งค่าอยู่ที่ 326 PPI หรือ iPad mini Retina แต่ก็เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใข้บนแท็บเล็ตแล้วครับ เพราะปกติเราจะใช้ห่างตากว่าบนสมาร์ทโฟนอยู่แล้วครับ ฉะนั้นความละเอียดมากไปกว่านี้ก็จะไม่เห็นความแตกต่าง
นอกจากนี้กับขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเท่ากับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่กลับมีความละเอียดหน้าจอถึง 2048 x 1536 พิกเซล (iPad 1, iPad 2 มีความละเอียดเพียง 1024 x 768 พิกเซลเท่านั้น) ซึ่งหากเรานำมาเทียบกับ LCD TV ในปัจจุบันที่มีขนาดหน้าจอ 32 ? 50 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลแล้วล่ะก็ จะเห็นได้ว่า iPad ตัวใหม่นี้ นั้นมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วขึ้นเยอะมาก (ซึ่งในส่วนนี้เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พัฒนาไปกว่า iPad 3 หรือ 4 เลย)
ลำโพงที่ติดตั้งมาใน iPad Air ถือว่าเป็นลำโพงระบบสเตอริโอ (มีลำโพงสองตัว) ตัวแรกใน iPad ขนาดปกติ โดยจากเท่าที่ทดลองฟัง พบว่ามีความแตกต่างจากลำโพงใน iDevice ตัวอื่นๆ เล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือให้เสียงค่อนข้างดัง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีคุณภาพเสียงมากมายอะไรนัก (แต่ก็ดีกว่าเดิมแบบรู้สึกได้) แนะนำว่าถ้าให้ดีก็ควรต่อหูฟัง หรือเชื่อมต่อกับลำโพงจะเหมาะกว่า ซึ่งคุณภาพจัดได้ว่าไพเราะกว่าการใช้ iPhone ฟังเพลงแน่นอน ไม่จะเชื่อมต่อด้วยสายหรือแบบไร้สายด้วยสัญญาณ Bluetooth ก็ตามที และสำหรับไมโครโฟนที่ไว้ใช้งานสนทนา VDO Call หรืออัดเสียงเป็นหลักจะอยู่บริเวณขอบบนตรงกึ่งกลางเครื่อง พร้อมกับลำโพงอีกตัวที่ช่วยในการตัดเสียงรบกวน ซึ่งเพิ่งติดตั้งมาให้ครั้งแรกบน iPad Air เครื่องนี้
Connector / Thin And Weight
?
iPad Air ก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้หันไปใช้พอร์ต Lightning แล้วเช่นกัน โดยตัวพอร์ตเองนั้นได้ถูกติดตั้งบริเวณขอบด้านล่างของตัวเครื่องโดยอยู่กึ่งกลางลำโพงสเตอริโอ ในส่วนของการใช้งานนั้นต้องบอกว่ามีความสะดวกสบายมากกว่าเดิมพอสมควร เพราะด้วยขนาดที่เล็กลง ซึ่งการเชื่อมต่อนั้นยังไม่จำเป็นต้องมาคอยดูว่าเสียบถูกด้านไหน เพราะว่าทาง Apple ออกแบบให้พอร์ต Lightning เชื่อมต่อได้ทั้งสองด้านเลย ไม่ต้องพลิกบนล่างอย่างที่เคยมีมา
สำหรับสายเชื่อมต่ออีกด้านก็จะเป็นแบบ USB ที่เองนั้นสามารถใช้งานในการซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์หรือชาร์จพลังงานก็สามารถทำได้ทั้งชาร์จด้วย USB จากคอมพิวเตอร์ หรือชาร์จจากอแดปเตอร์ก็ทำได้ทันที โดยตัวอแดปเตอร์ที่ทาง Apple ให้มามีขนาด ?12W เช่นเดียวกับที่ให้มาใน iPad 4 ส่วนมุมบนซ้ายก็เป็นตำแหน่งของช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรที่ตัวเบ้าเป็นสีขาวตามสีเดียวกับตัวเครื่อง แน่นอนว่าถ้าเครื่องเป็นสีดำตัวเบ้าก็จะเป็นสีดำเช่นกัน
iPad Air มีเรื่องที่เป็นจุดเด่นเลยก็คือ การปรับเปลี่ยนรูปทรงให้มีความบางและเบาลงอย่างรู้สึกได้และเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยมีน้ำหนักเพียง 469 กรัมเท่านั้น (iPad 4 หนัก 652 กรัม) เรียกได้ว่าเบามากๆ ซึ่งจากการทดลองใช้งานจริงก็ถือใช้งานมือเดียวได้อย่างสบายๆ ไม่ล้ามือมากนัก ต่างกับ iPad 4 รุ่นก่อนโดยสิ้นเชิงด้วยน้ำหนักที่มากจนเกินกว่าการที่ถือมือเดียวนานๆ นอกเหนือไปจากนี้ตัวเครื่องยังมีความบางที่บางลงกว่าเดิมเพียง 7.5 มิลลิเมตรเท่านั้น (iPad 4 หน้า 9.4 มิลลิเมตร)?
ที่สำคัญกว่านั้นมิติตัวเครื่อง iPad Air ยังได้รับการออกแบบให้เล็กและแคบลงกว่าเดิม เพื่อการพกพาที่สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยหลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันไม่เห็นจะเป็นนวัฒกรรมอะไรเลย แต่ก็ต้องบอกว่าการที่เราได้ iPad ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นโดยที่น้ำหนักเบาลงและตัวเครื่องเล็กลงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ผลิตรายไหนจะทำก็ได้ ที่แม้พูดไปอาจจะเห็นภาพไม่ชัดเจนมากนัก เราก็สามารถชมได้จากภาพประกอบเทียบ iPad Air และ iPad 4 ด้านข้างได้เลย?
* iPad?with Retina Display รุ่น?Wi-Fi + Cellular?จะมีน้ำหนักมากกว่ารุ่น Wi-Fi ปกติ 9 กรัม
Performance / Software
สำหรับประสิทธิภาพของ iPad Air ที่ใช้ชิปประมวลผล Apple A7 ความเร็ว 1.4 GHz (สูงกว่าใน iPhone 5s นิดหน่อย) ก็ถือว่าให้ความแรงในระดับที่น่าประทับใจ ซึ่งในด้านการทดสอบจะเห็นผลต่างของคะแนนอย่างชัดเจน ส่วนในด้านการใช้งานจริง เท่าที่ลองใช้งานเปรียบเทียบกับ iPad 4 ดู พบว่า iPad Air สามารถตอบสนองการสั่งงานได้เร็วขึ้นกว่า iPad 4 เช่นการเปิดแอพ การโหลดเกม การเปิดหน้าเว็บต่างๆ พบว่าทำได้ดีกว่า เร็วกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย เรียกว่าได้ความรู้สึกเหมือนตอนใช้งาน iPhone 5s เลย คือเปิดอะไรๆ ก็ขึ้นเร็วทันใจไปหมด
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการของ iPad Air จะเริ่มต้นมาเป็น iOS 7 แล้ว โดยในเครื่องที่เราได้มามีการติดตั้ง iOS 7.0.4 มาให้ โดยในส่วนของรูปแบบการใช้งานก็ไม่แตกต่างไปจากใน iPad หรือ iPhone ก่อนหน้านี้เท่าไหร่นัก สำหรับคนที่เคยใช้งานอยู่แล้วก็เรียกได้ว่าซื้อมาแล้วใช้งานได้ทันที ส่วนถ้าใครไม่เคยใช้งาน iOS ก็รับรองได้ว่าจับแค่ไม่ถึง 30 นาทีก็น่าจะใช้งานในระดับเริ่มต้นได้คล่องมือแล้วนะครับ
ตัวอย่างของการเปิดแอพพลิเคชั่น App Store แหล่งดาวน์โหลดของฟรีและเสียเงิน และตัวอย่างการเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น Facebook ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้สะดวกมากเมื่อเทียบกับการใช้งานบน iPhone ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่า
อีกทั้งในส่วนของการใช้งาน E-Magazine ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีจากขนาดที่ใหญ่ และความละเอียดหน้าจอที่สูง แน่นอนว่าถ้าใครชอบอ่านไฟล์ต่างๆ ในแท็บเล็ตเป็นประจำ iPad Air ต้องตอบโจทย์อย่างแน่นอน ซึ่ง E-Magazine นี้ก็มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินนะครับ ยังไงลองเลือกซื้อเลือกหากันตามไลฟ์สไตล์กันดู ซึ่งจากการซูมดูก็จะเห็นว่าไม่มีลักษณะภาพแตก (ต้นฉบับต้องมีความละเอียดระดับ Retina อยู่แล้ว)?
นอกจากนี้การใช้งานแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อย่างเกม 2 มิติ 3 มิติ ก็สนับสนุนการใช้งานบน iPad Air ได้อย่างสบายๆ ทั้งในเรื่องของความคมชัดและกราฟิกที่สวยงามเรียบเนียน ที่เราจะเห็นได้ชัดเจนในเกมที่เป็นกราฟิก 3 มิติหนักๆ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญเพราะใช้ชิปประมวลผลที่แรงกว่าชิปรุ่นเดิมถึง 2 เท่าด้วยกัน รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นรวมโซเซียสเน็ตเวิร์คอย่าง Flipboard ที่จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่ควรติดเครื่อง iPad เอาไว้ เพราะด้วยหน้าจอขนาดใหญ่กว่า iPhone และ iPad mini ทำให้เราสามารถรับชมได้อย่างสบายตาทีเดียวครับ
สรุปการใช้งานและประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่อง iPad Air นั้น สามารถตอบสนองการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเล่นอินเตอร์เน็ต อ่าน E-Book, E-Magazine หรือเล่นเกมที่ใช้กราฟิกที่สวยงาม ทุกอย่างล้วนมีความลื่นไหลและสวยงาม โดยรวมก็มีความลื่นไหลมากๆ ซึ่ง iPad Air เหมาะมากๆ สำหรับคนที่เน้นในเรื่องความแรงของประสิทธิภาพ เพราะเรียกได้ว่าชิป Apple 7 นั้น มีความแรงมากที่สุดในหมู่อุปกรณ์ iDevice ด้วยกัน ที่ถือว่าอาจจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนมากนักหากเทียบกับ iPad 4 แต่จะเห็นได้เล็กๆ น้อยๆ ว่าโหลดเกมหรือเข้าใช้งานแอพพิลเคชั่นต่างๆ แต่ในส่วนของการใช้งานทั่วไปบอกได้เลยว่าแทบไม่แตกต่างกันครับ
Battery / Heat
ด้วยการที่ iPad Air เปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A6 เป็น Apple A7 พร้อมเพิ่มชิปช่วยประมวลอีกตัวอย่าง M7 ยังคงมีอัตราการใช้พลังงานต่ำลงกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ Apple ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องก็ยังต้องเป็น 10 ชั่วโมงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ด้วยขนาดที่เล็กและบางลงเบาลง จึงทำให้ iPad Air นี้ มีความจุของแบตเตอรี่น้อยลงกว่าเดิมที่ 8827 mAh?เรียกได้ว่าหากเทียบความจุแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะเห็นได้ชัดเจนว่ามี ความจุมากกว่า 2-3 เท่าทีเดียว โดยจากการทดสอบใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi สลับกับการเล่นเกม 3 มิติบ้างตลอดทั้งวัน ตัวของ iPad Air ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เล่นต่อเนื่องขนาดนี้ 2-3 วันชาร์จไฟครั้งหนึ่งก็ยังได้ ส่วนการชาร์จไปเข้า iPad Air จาก 10% ถึง 100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่นานจนเกินไป
ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมีมาก โดยส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลม) แต่ถ้าอยู่ในนอกสถานที่ที่ค่อนข้างร้อน ตำแหน่งซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากขึ้น แต่ก็ไม่ขนาดที่จับไม่ได้นะครับ เรียกได้ว่ามีการปรับปรุงเรื่องความร้อนได้ดีกว่าเดิมพอตัว
Camera
ในส่วนของกล้องด้านหลังอีกด้วย ที่ในตามภาพจะเห็นเป็นวงกลมสีดำ ซึ่งตัวกล้องเองสามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 5 ล้านพิกเซลเหมือน iPad 4 ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดย iPad Air นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์และชุดเลนส์เช่นเดียวกับ iPhone 5 ส่งผลให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมานั้นมีความสวยงามและชัดเจนกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีทางสวยไปกว่า iPhone 5s แน่นอน
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ติดตั้งมาให้ครับ ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายที่อยู่ทางด้านข้างนะครับ (สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้) ที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจทีเดียวกับภาพจากบนแท็บเล็ตเครื่องนี้
ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A7 ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายตามสไตล์ของ iOS7 เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ
พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้แล้ว
ในส่วนของกล้องด้านหน้าจะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซล (1280 x 720 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ?
Conclusion / Award
ถ้าจะบอกว่า iPad Air นั้น เป็น iPad ที่ทำเสร็จแล้วก็คงไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมาสำหรับ iPad ขนาดปกติหน้าจอ 9.7 นิ้ว ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ อย่าง อาทิ รุ่นแรกก็ทั้งหนาและหนักแถมจอไม่ละเอียด ต่อมารุ่นสองก็ดีขึ้นตรงเบาลงบางลงแต่จอก็ไม่ละเอียดอยู่ดี จนมาถึงรุ่นสามขนาดตัวเครื่องก็กลับมาหนาและหนัก ที่แม้ว่าหน้าจอจะเป็น Retina Display ?แล้วก็ตาม แต่ดันมีปัญหาเรื่องความแรงเพราะด้วยสเปกที่แรกขึ้น และก่อนรุ่นล่าสุดอย่างรุ่นที่ 4 ก็มีการแก้ไขเรื่องความร้อนพร้อมเปลี่ยนพอร์ตเป็น Lightning แต่ก็ยังหนาและหนักเหมือนเดิม จนท้ายที่สุดและล่าสุดกับ iPad Air ก็มาพร้อมความบางและเบาอย่างเหลือเชื่อถือไช้งานมือเดียวได้สบายๆ อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีเยี่ยม โดยที่ไม่เกิดปัญหาเรื่องความร้อนแต่อย่างใด เรียกได้ว่าถ้า Steve Jobs ไม่ด่วนล่วงลับไปเสียก่อน คงได้มีน้ำตาไหลกันอย่างแน่นอน?
iPad Air หรือ iPad 5 นั้น ยังถือได้ว่าเป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน ด้วยความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ น้ำหนัก ความบาง ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย (แน่นอนว่าใครใช้งานจริงคงรู้ดี) เรียกได้ว่าทำให้สมหวังกันเสียทีเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่อย่างไรก็ตาม iPad คงไม่ใช่คำตอบในการใช้งานแท็บเล็ตของหลายๆ คนแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายส่วน อาทิเช่น ปากกา หรือความอิสระในการถ่ายโอนข้อมูล (Apple จำกัดไว้เพราะมีตกลงเรื่องลิขสิทธิ์อย่างเพลงหรืภาพยนตร์) นอกเหนือจากนี้ iPad Air ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน)
ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนๆ มา จะเห็นว่าการมาของ iPad Air ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์อย่าง iOS 7 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว รวมไปถึงความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากชิปประมวลผล Apple A7 และ M7 ที่เร็วขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อพอร์ต Lightning ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้สะดวกมากกว่าถ้าใช้งานคู่กับ iPhone 5 หรือ iPhone 5s อยู่แล้ว
สำหรับคนที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตอะไรมากก่อนเลย iPad Air ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,900 บาท ?(แพงกว่ารุ่นก่อน 400 บาท) แต่ถ้าใครใช้ iPad 4 อยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก หากไม่ต้องได้ใช้งานที่ลื่นไหลและความบางเบามากกว่าเดิม (แต่สำหรับบางคนก็ถือได้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว) รวมไปถึงใครคนไหนที่ต้องการใช้งานพกพาบ่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพอาจจะเป้นรอง iPad Air เล็กน้อย ก็สามารถมาจับจอง iPad mini Retina แทน iPad Air ได้นะครับ สนนราคาก็เริ่มต้นเพียง 13,400 บาทเท่านั้นเอง (แพงกว่าเดิม 2,200 บาท)
จุดเด่น
- มีดีไซน์และความสวยงามหรูหรามากกว่าเดิม
- ตัวเครื่องมีความบางและเบากว่ารุ่นก่อนมาก จับถือไและพกพาด้ง่ายกว่าเดิม
- หน้าจอมีความสวยงาม ด้วย Retina Display จากความละเอียดและพาเนล IPS
- ชิปประมวลผลเป็น Apple A7 ความเร็ว 1.4GHz ทำงานแบบ 64-bit
- มีชิปประมวลผล Apple M7 เป็นตัวช่วยทำงาน เรื่องของเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว
- ประสิทธิภาพดีกว่า iPad 4 แบบรู้สึกได้เหมือนใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม 3 มิติกราฟิกสูง
- ลำโพงให้คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม แบบรู้สึกได้ทันทีเมื่อเปิดเพลงหรือดนตรี
- ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ในทั้งส่วนของงานประกอบและแอพพลิเคชั่น
ข้อสังเกต
- ราคาแพงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
- ถ้าใครเน้นพกพาเป็นหลักก็ลองดูเป็น iPad mini Retina ได้
- ยังมีข้อกำจัดเดิมๆ เหมือน iPad รุ่นที่ผ่านๆ มา