Connect with us

Hi, what are you looking for?

Mac Corner

iPad Air (iPad 5) Review

เชื่อได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Apple ที่หลายๆ คนรอการกลับมาของรุ่นใหม่อย่างแท็บเล็ต iPad ที่ในตอนนี้ก็เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ iPad Air

เชื่อได้ว่าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จาก Apple ที่หลายๆ คนรอการกลับมาของรุ่นใหม่อย่างแท็บเล็ต iPad ที่ในตอนนี้ก็เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ iPad Air ที่ถือได้ว่าเป็น iPad รุ่นที่ 5 แล้ว ซึ่งมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร แต่ก็เป็นไปตามคาดตามภาพที่หลุดออกมา ก็คือหน้าตาจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับ iPad mini ทั้งในเรื่องของวัสดุงานประกอบและดีไซน์ที่บางเบากว่าเดิม โดยยังคงใช้ความละเอียดหน้าจอและขนาดหน้าจอเท่าเดิมอยู่

ในส่วนของสเปกภายใน iPad Air ก็เรียกได้ว่าจัดเต็มด้วยชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด อีกทั้งยังมาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวช่วย ซึ่งเพื่อให้การทำงานโดยรวมนั้นดียิ่งกว่าเดิม ทำให้พูดได้เลย ว่า iPad Air เครื่องนี้เป็นอีกหนึ่งสุดยอดแท็บเล็ตในตลาดที่น่าสนใจ สนนราคา iPad Air เริ่มต้นอยู่ที่ 16,900 บาท เทียบกับรุ่นก่อนหน้าอาจจะแพงกว่า 400 บาท แต่ประสบการณ์ใช้งานที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นนั้นคุ้มค่าอย่างแน่นอนทีเดียว?

Advertisement

Introducing VDO

Specification

iPad Air นั้นนอกเหนือจากจะอัพเกรดชิปประมวลผลเป็น Apple A7 Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz ทำงานแบบ 64-bit มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก PowerVR G6430?ที่เป็นแบบ Quad-core พร้อมแรมขนาด 1GB (เท่าเดิม) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอ Retina Display ที่มีความละเอียดเท่าเดิม ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว รวมไปถึงยังเสริมด้วยชิปประมวลผล Apple M7 ที่ช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ

โดย iPad Air?แบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 32GB, 64GB, 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad Air นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G เช่นเดิม (แน่นอนว่าใช้ 3G, 4G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 32GB และ 64GB, 128GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว iPad with Retina Display นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ

  • Wi-Fi 16GB : 16,900 บาท
  • Wi-Fi 32GB : 20,400 บาท
  • Wi-Fi 64GB : 23,900 บาท
  • Wi-Fi 128GB : 27,400 บาท
  • Wi-Fi + Cellular 16GB : xx,xxx บาท
  • Wi-Fi + Cellular 32GB : xx,xxx บาท
  • Wi-Fi + Cellular 64GB : xx,xxx บาท
  • Wi-Fi + Cellular 128GB : xx,xxx บาท

สำหรับในส่วนของสเปกเต็มๆ สามารถคลิกชมกันได้ ที่นี่ เลยนะครับ

Hardware / Design

iPad Air Review 004

ภายในกล่องของ iPad Air ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, สาย USB > Lightning, อแดปเตอร์ USB, คู่มือการใช้งานเบื้องต้น และสติ๊กเกอร์โลโก้ Apple ที่หลายๆ ท่านที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple อยู่คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ iPad นั้น ไม่มีหูฟังแถมมาให้อย่างใน iPhone หรือ iPod นะครับ ต้องซื้อแยกเองอีกทีหากต้องการใช้งาน

iPad Air?เครื่องที่ทีมงานใช้ในการรีวิวนั้นเป็นรุ่น WiFi ความจุ 16 GB สีดำหรืออีกชื่อทางการก็คือ?Space Gray?ที่จัดได้ว่าเป็นสีใหม่เหมือนกับ iPhone 5s สำหรับงานประกอบตัวเครื่องนั้นก็มีความแน่นหนาตามมาตรฐานของ Apple โดยด้านหน้าเป็นกระจก Gorilla Glass ที่มีคุณสมบัติกันรอยกันกระแทกในระดับนึง ซึ่งมีการสะท้อนแสงอยู่พอสมควรแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ขอบของตัวเครื่องด้านหน้าจะเป็นขอบเงาๆ ที่เกิดจากการใช้เพชรเจียระไนขอบอะลูมิเนียมเช่นเดียวกับ iPhone 5s, iPad mini, iPod Touch Gen5 ที่นอกเหนือจะให้ในเรื่องความสวยงามหรูหราแล้ว ยังส่งผลให้จัวถือได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้นจากที่ดีไซน์แบบนี้ รูปทรงโดยรวมถ้าจะบอกว่าเป็น iPad mini ขยายร่างขึ้นมาก็คงไม่ผิดนัก

นอกจากนี้ยังมีกล้องหน้าและเซ็นเซอร์วัดแสงอยู่ตรงกลาง ส่วนบนของจอ และปุ่ม Home ก็อยู่ตามตำแหน่งเดิมๆ เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เดิมๆ ตามสไตล์ iDevice ของ Apple อยู่แล้ว

iPad Air Review 016

วัสดุที่ใช้เป็นฝาหลังของ iPad Air ก็คืออะลูมิเนียมที่ผ่านการอะโนไดซ์มาแล้ว ที่แน่นอนว่าผิวสัมผัสจึงแทบจะไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ของ Apple เลย ส่วนสีของฝาหลังนั้นก็จะเป็นไปตามสีเครื่องครับ อย่างรุ่นสี Space Gray?ก็จะมีฝาหลังสีเทาๆ ส่วนรุ่นขาวก็จะมีฝาหลังสีขาวๆ เงินๆ เรียกได้ว่าสีสันแบบเดียวกับ iPhone 5s ก็ว่าได้

ขอบของเครื่องด้านหลังจะมีความโค้งมนเข้ามือ ทำให้สามารถถือ iPad Air อยู่ในมือได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดร่วงจากมือเท่าไหร่นัก ต่างจาก iPad 4 ที่ถือมือเดียวลำบาก ส่วนตัวกล้องหลังของ iPad Air จะฝังแนบมาเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง มีอะลูมิเนียมเนื้อเดียวกับฝาหลังเป็นขอบแยกออกมา ที่ส่วนกล้องจะนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน เนื่องจากตัวเครื่องที่บางมากนั่นเอง พร้อมกันนั้นบริเวณกลางตัวเครื่องจะมีโลโก้ Apple แบบมันวาว และข้อมูลเกี่ยวตัวเครื่องตรงด้านล่างของโลโก้ ตามแบบฉบับของผลิตภัณฑ์ iDevice ที่เรามักคุ้นกันดี

ตำแหน่งของปุ่มกดต่างๆ ก็ยังคงเดิมไม่ว่าจะเป็น ปุ่มเปิด/ปิด/sleep อยู่ตรงมุมบนขวาของเครื่อง (เทียบจากด้านหน้า) และปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงและสวิตช์เปิด/ปิดเสียง (หรือจะตั้งค่าเป็นปุ่มล็อกการหมุนหน้าจอก็ได้) อยู่ทางฝั่งขวาของเครื่อง ทางด้านซ้ายที่โล่งไม่มีปุ่มหรืออะไรใดๆ เลย สุดท้ายกับด้านล่างของตัวเครื่องก็เป็นตำแหน่งของพอร์ต Lightning และลำโพงสเตอริโอ เรียกได้เป็น iPad ขนาดปกติตัวแรกที่มาพร้อมกับลำโพงแบบสเตริโอทีเดียว

Screen / Speaker

iPad Air Review 032

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีขนาด 9.7 นิ้ว และความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) สัดส่วนจอเป็น 4:3 แบบเดิมๆ ซึ่งต่างจากสัดส่วนจอของ iPhone 5s หรือ iPod Touch รุ่นล่าสุดที่เป็น 16:9 รวมไปถึงแท็บเล็ต Android ที่ส่วนมากเป็น 16:9 เรียกได้ว่าสัดส่วนหน้าจอ 4:3 นี้เหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book หรือ แอพพลิเคชั่น แม็กกาซีนที่ให้ดาวน์โหลดได้ต่างๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีความหนาแน่นเท่ากับ iPhone 5s ซึ่งค่าอยู่ที่ 326 PPI หรือ iPad mini Retina แต่ก็เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใข้บนแท็บเล็ตแล้วครับ เพราะปกติเราจะใช้ห่างตากว่าบนสมาร์ทโฟนอยู่แล้วครับ ฉะนั้นความละเอียดมากไปกว่านี้ก็จะไม่เห็นความแตกต่าง

นอกจากนี้กับขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเท่ากับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่กลับมีความละเอียดหน้าจอถึง 2048 x 1536 พิกเซล (iPad 1, iPad 2 มีความละเอียดเพียง 1024 x 768 พิกเซลเท่านั้น) ซึ่งหากเรานำมาเทียบกับ LCD TV ในปัจจุบันที่มีขนาดหน้าจอ 32 ? 50 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลแล้วล่ะก็ จะเห็นได้ว่า iPad ตัวใหม่นี้ นั้นมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วขึ้นเยอะมาก (ซึ่งในส่วนนี้เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พัฒนาไปกว่า iPad 3 หรือ 4 เลย)

iPad Air Review 021

ลำโพงที่ติดตั้งมาใน iPad Air ถือว่าเป็นลำโพงระบบสเตอริโอ (มีลำโพงสองตัว) ตัวแรกใน iPad ขนาดปกติ โดยจากเท่าที่ทดลองฟัง พบว่ามีความแตกต่างจากลำโพงใน iDevice ตัวอื่นๆ เล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือให้เสียงค่อนข้างดัง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีคุณภาพเสียงมากมายอะไรนัก (แต่ก็ดีกว่าเดิมแบบรู้สึกได้) แนะนำว่าถ้าให้ดีก็ควรต่อหูฟัง หรือเชื่อมต่อกับลำโพงจะเหมาะกว่า ซึ่งคุณภาพจัดได้ว่าไพเราะกว่าการใช้ iPhone ฟังเพลงแน่นอน ไม่จะเชื่อมต่อด้วยสายหรือแบบไร้สายด้วยสัญญาณ Bluetooth ก็ตามที และสำหรับไมโครโฟนที่ไว้ใช้งานสนทนา VDO Call หรืออัดเสียงเป็นหลักจะอยู่บริเวณขอบบนตรงกึ่งกลางเครื่อง พร้อมกับลำโพงอีกตัวที่ช่วยในการตัดเสียงรบกวน ซึ่งเพิ่งติดตั้งมาให้ครั้งแรกบน iPad Air เครื่องนี้

iPad Air Review 023

Connector / Thin And Weight

?

iPad Air Review 039

iPad Air ก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้หันไปใช้พอร์ต Lightning แล้วเช่นกัน โดยตัวพอร์ตเองนั้นได้ถูกติดตั้งบริเวณขอบด้านล่างของตัวเครื่องโดยอยู่กึ่งกลางลำโพงสเตอริโอ ในส่วนของการใช้งานนั้นต้องบอกว่ามีความสะดวกสบายมากกว่าเดิมพอสมควร เพราะด้วยขนาดที่เล็กลง ซึ่งการเชื่อมต่อนั้นยังไม่จำเป็นต้องมาคอยดูว่าเสียบถูกด้านไหน เพราะว่าทาง Apple ออกแบบให้พอร์ต Lightning เชื่อมต่อได้ทั้งสองด้านเลย ไม่ต้องพลิกบนล่างอย่างที่เคยมีมา

สำหรับสายเชื่อมต่ออีกด้านก็จะเป็นแบบ USB ที่เองนั้นสามารถใช้งานในการซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์หรือชาร์จพลังงานก็สามารถทำได้ทั้งชาร์จด้วย USB จากคอมพิวเตอร์ หรือชาร์จจากอแดปเตอร์ก็ทำได้ทันที โดยตัวอแดปเตอร์ที่ทาง Apple ให้มามีขนาด ?12W เช่นเดียวกับที่ให้มาใน iPad 4 ส่วนมุมบนซ้ายก็เป็นตำแหน่งของช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรที่ตัวเบ้าเป็นสีขาวตามสีเดียวกับตัวเครื่อง แน่นอนว่าถ้าเครื่องเป็นสีดำตัวเบ้าก็จะเป็นสีดำเช่นกัน

Screen Shot 2556 11 17 at 1.20.14 PM

iPad Air มีเรื่องที่เป็นจุดเด่นเลยก็คือ การปรับเปลี่ยนรูปทรงให้มีความบางและเบาลงอย่างรู้สึกได้และเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยมีน้ำหนักเพียง 469 กรัมเท่านั้น (iPad 4 หนัก 652 กรัม) เรียกได้ว่าเบามากๆ ซึ่งจากการทดลองใช้งานจริงก็ถือใช้งานมือเดียวได้อย่างสบายๆ ไม่ล้ามือมากนัก ต่างกับ iPad 4 รุ่นก่อนโดยสิ้นเชิงด้วยน้ำหนักที่มากจนเกินกว่าการที่ถือมือเดียวนานๆ นอกเหนือไปจากนี้ตัวเครื่องยังมีความบางที่บางลงกว่าเดิมเพียง 7.5 มิลลิเมตรเท่านั้น (iPad 4 หน้า 9.4 มิลลิเมตร)?

ที่สำคัญกว่านั้นมิติตัวเครื่อง iPad Air ยังได้รับการออกแบบให้เล็กและแคบลงกว่าเดิม เพื่อการพกพาที่สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยหลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันไม่เห็นจะเป็นนวัฒกรรมอะไรเลย แต่ก็ต้องบอกว่าการที่เราได้ iPad ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นโดยที่น้ำหนักเบาลงและตัวเครื่องเล็กลงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ผลิตรายไหนจะทำก็ได้ ที่แม้พูดไปอาจจะเห็นภาพไม่ชัดเจนมากนัก เราก็สามารถชมได้จากภาพประกอบเทียบ iPad Air และ iPad 4 ด้านข้างได้เลย?

* iPad?with Retina Display รุ่น?Wi-Fi + Cellular?จะมีน้ำหนักมากกว่ารุ่น Wi-Fi ปกติ 9 กรัม

Performance / Software

Screen Shot 2013 11 10 at 2.06.50 PM

สำหรับประสิทธิภาพของ iPad Air ที่ใช้ชิปประมวลผล Apple A7 ความเร็ว 1.4 GHz (สูงกว่าใน iPhone 5s นิดหน่อย) ก็ถือว่าให้ความแรงในระดับที่น่าประทับใจ ซึ่งในด้านการทดสอบจะเห็นผลต่างของคะแนนอย่างชัดเจน ส่วนในด้านการใช้งานจริง เท่าที่ลองใช้งานเปรียบเทียบกับ iPad 4 ดู พบว่า iPad Air สามารถตอบสนองการสั่งงานได้เร็วขึ้นกว่า iPad 4 เช่นการเปิดแอพ การโหลดเกม การเปิดหน้าเว็บต่างๆ พบว่าทำได้ดีกว่า เร็วกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย เรียกว่าได้ความรู้สึกเหมือนตอนใช้งาน iPhone 5s เลย คือเปิดอะไรๆ ก็ขึ้นเร็วทันใจไปหมด

Air1

ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการของ iPad Air จะเริ่มต้นมาเป็น iOS 7 แล้ว โดยในเครื่องที่เราได้มามีการติดตั้ง iOS 7.0.4 มาให้ โดยในส่วนของรูปแบบการใช้งานก็ไม่แตกต่างไปจากใน iPad หรือ iPhone ก่อนหน้านี้เท่าไหร่นัก สำหรับคนที่เคยใช้งานอยู่แล้วก็เรียกได้ว่าซื้อมาแล้วใช้งานได้ทันที ส่วนถ้าใครไม่เคยใช้งาน iOS ก็รับรองได้ว่าจับแค่ไม่ถึง 30 นาทีก็น่าจะใช้งานในระดับเริ่มต้นได้คล่องมือแล้วนะครับ

Air2

ตัวอย่างของการเปิดแอพพลิเคชั่น App Store แหล่งดาวน์โหลดของฟรีและเสียเงิน และตัวอย่างการเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น Facebook ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้สะดวกมากเมื่อเทียบกับการใช้งานบน iPhone ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่า

อีกทั้งในส่วนของการใช้งาน E-Magazine ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีจากขนาดที่ใหญ่ และความละเอียดหน้าจอที่สูง แน่นอนว่าถ้าใครชอบอ่านไฟล์ต่างๆ ในแท็บเล็ตเป็นประจำ iPad Air ต้องตอบโจทย์อย่างแน่นอน ซึ่ง E-Magazine นี้ก็มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินนะครับ ยังไงลองเลือกซื้อเลือกหากันตามไลฟ์สไตล์กันดู ซึ่งจากการซูมดูก็จะเห็นว่าไม่มีลักษณะภาพแตก (ต้นฉบับต้องมีความละเอียดระดับ Retina อยู่แล้ว)?

นอกจากนี้การใช้งานแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อย่างเกม 2 มิติ 3 มิติ ก็สนับสนุนการใช้งานบน iPad Air ได้อย่างสบายๆ ทั้งในเรื่องของความคมชัดและกราฟิกที่สวยงามเรียบเนียน ที่เราจะเห็นได้ชัดเจนในเกมที่เป็นกราฟิก 3 มิติหนักๆ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญเพราะใช้ชิปประมวลผลที่แรงกว่าชิปรุ่นเดิมถึง 2 เท่าด้วยกัน รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นรวมโซเซียสเน็ตเวิร์คอย่าง Flipboard ที่จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่ควรติดเครื่อง iPad เอาไว้ เพราะด้วยหน้าจอขนาดใหญ่กว่า iPhone และ iPad mini ทำให้เราสามารถรับชมได้อย่างสบายตาทีเดียวครับ

สรุปการใช้งานและประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่อง iPad Air นั้น สามารถตอบสนองการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเล่นอินเตอร์เน็ต อ่าน E-Book, E-Magazine หรือเล่นเกมที่ใช้กราฟิกที่สวยงาม ทุกอย่างล้วนมีความลื่นไหลและสวยงาม โดยรวมก็มีความลื่นไหลมากๆ ซึ่ง iPad Air เหมาะมากๆ สำหรับคนที่เน้นในเรื่องความแรงของประสิทธิภาพ เพราะเรียกได้ว่าชิป Apple 7 นั้น มีความแรงมากที่สุดในหมู่อุปกรณ์ iDevice ด้วยกัน ที่ถือว่าอาจจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนมากนักหากเทียบกับ iPad 4 แต่จะเห็นได้เล็กๆ น้อยๆ ว่าโหลดเกมหรือเข้าใช้งานแอพพิลเคชั่นต่างๆ แต่ในส่วนของการใช้งานทั่วไปบอกได้เลยว่าแทบไม่แตกต่างกันครับ

Battery / Heat

ด้วยการที่ iPad Air เปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A6 เป็น Apple A7 พร้อมเพิ่มชิปช่วยประมวลอีกตัวอย่าง M7 ยังคงมีอัตราการใช้พลังงานต่ำลงกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ Apple ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องก็ยังต้องเป็น 10 ชั่วโมงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ด้วยขนาดที่เล็กและบางลงเบาลง จึงทำให้ iPad Air นี้ มีความจุของแบตเตอรี่น้อยลงกว่าเดิมที่ 8827 mAh?เรียกได้ว่าหากเทียบความจุแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะเห็นได้ชัดเจนว่ามี ความจุมากกว่า 2-3 เท่าทีเดียว โดยจากการทดสอบใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi สลับกับการเล่นเกม 3 มิติบ้างตลอดทั้งวัน ตัวของ iPad Air ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เล่นต่อเนื่องขนาดนี้ 2-3 วันชาร์จไฟครั้งหนึ่งก็ยังได้ ส่วนการชาร์จไปเข้า iPad Air จาก 10% ถึง 100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่นานจนเกินไป

Screen Shot 2556 11 17 at 2.38.58 PM

ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมีมาก โดยส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลม) แต่ถ้าอยู่ในนอกสถานที่ที่ค่อนข้างร้อน ตำแหน่งซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากขึ้น แต่ก็ไม่ขนาดที่จับไม่ได้นะครับ เรียกได้ว่ามีการปรับปรุงเรื่องความร้อนได้ดีกว่าเดิมพอตัว

iPad Air Review 011

Camera

iPad Air Review 012

ในส่วนของกล้องด้านหลังอีกด้วย ที่ในตามภาพจะเห็นเป็นวงกลมสีดำ ซึ่งตัวกล้องเองสามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 5 ล้านพิกเซลเหมือน iPad 4 ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดย iPad Air นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์และชุดเลนส์เช่นเดียวกับ iPhone 5 ส่งผลให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมานั้นมีความสวยงามและชัดเจนกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีทางสวยไปกว่า iPhone 5s แน่นอน

นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ติดตั้งมาให้ครับ ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายที่อยู่ทางด้านข้างนะครับ (สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้) ที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจทีเดียวกับภาพจากบนแท็บเล็ตเครื่องนี้

IMG 0022

ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A7 ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายตามสไตล์ของ iOS7 เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ

พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้แล้ว

ในส่วนของกล้องด้านหน้าจะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซล (1280 x 720 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ?

Conclusion / Award

iPad Air Review 010

ถ้าจะบอกว่า iPad Air นั้น เป็น iPad ที่ทำเสร็จแล้วก็คงไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมาสำหรับ iPad ขนาดปกติหน้าจอ 9.7 นิ้ว ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ อย่าง อาทิ รุ่นแรกก็ทั้งหนาและหนักแถมจอไม่ละเอียด ต่อมารุ่นสองก็ดีขึ้นตรงเบาลงบางลงแต่จอก็ไม่ละเอียดอยู่ดี จนมาถึงรุ่นสามขนาดตัวเครื่องก็กลับมาหนาและหนัก ที่แม้ว่าหน้าจอจะเป็น Retina Display ?แล้วก็ตาม แต่ดันมีปัญหาเรื่องความแรงเพราะด้วยสเปกที่แรกขึ้น และก่อนรุ่นล่าสุดอย่างรุ่นที่ 4 ก็มีการแก้ไขเรื่องความร้อนพร้อมเปลี่ยนพอร์ตเป็น Lightning แต่ก็ยังหนาและหนักเหมือนเดิม จนท้ายที่สุดและล่าสุดกับ iPad Air ก็มาพร้อมความบางและเบาอย่างเหลือเชื่อถือไช้งานมือเดียวได้สบายๆ อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีเยี่ยม โดยที่ไม่เกิดปัญหาเรื่องความร้อนแต่อย่างใด เรียกได้ว่าถ้า Steve Jobs ไม่ด่วนล่วงลับไปเสียก่อน คงได้มีน้ำตาไหลกันอย่างแน่นอน?

iPad Air Review 017

iPad Air หรือ iPad 5 นั้น ยังถือได้ว่าเป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน ด้วยความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ น้ำหนัก ความบาง ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย (แน่นอนว่าใครใช้งานจริงคงรู้ดี) เรียกได้ว่าทำให้สมหวังกันเสียทีเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่อย่างไรก็ตาม iPad คงไม่ใช่คำตอบในการใช้งานแท็บเล็ตของหลายๆ คนแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายส่วน อาทิเช่น ปากกา หรือความอิสระในการถ่ายโอนข้อมูล (Apple จำกัดไว้เพราะมีตกลงเรื่องลิขสิทธิ์อย่างเพลงหรืภาพยนตร์) นอกเหนือจากนี้ iPad Air ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน)

iPad Air Review 018

ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนๆ มา จะเห็นว่าการมาของ iPad Air ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์อย่าง iOS 7 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว รวมไปถึงความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากชิปประมวลผล Apple A7 และ M7 ที่เร็วขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อพอร์ต Lightning ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้สะดวกมากกว่าถ้าใช้งานคู่กับ iPhone 5 หรือ iPhone 5s อยู่แล้ว

iPad Air Review 030

สำหรับคนที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตอะไรมากก่อนเลย iPad Air ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,900 บาท ?(แพงกว่ารุ่นก่อน 400 บาท) แต่ถ้าใครใช้ iPad 4 อยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก หากไม่ต้องได้ใช้งานที่ลื่นไหลและความบางเบามากกว่าเดิม (แต่สำหรับบางคนก็ถือได้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว) รวมไปถึงใครคนไหนที่ต้องการใช้งานพกพาบ่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพอาจจะเป้นรอง iPad Air เล็กน้อย ก็สามารถมาจับจอง iPad mini Retina แทน iPad Air ได้นะครับ สนนราคาก็เริ่มต้นเพียง 13,400 บาทเท่านั้นเอง (แพงกว่าเดิม 2,200 บาท)

จุดเด่น

  • มีดีไซน์และความสวยงามหรูหรามากกว่าเดิม
  • ตัวเครื่องมีความบางและเบากว่ารุ่นก่อนมาก จับถือไและพกพาด้ง่ายกว่าเดิม
  • หน้าจอมีความสวยงาม ด้วย Retina Display จากความละเอียดและพาเนล IPS
  • ชิปประมวลผลเป็น Apple A7 ความเร็ว 1.4GHz ทำงานแบบ 64-bit
  • มีชิปประมวลผล Apple M7 เป็นตัวช่วยทำงาน เรื่องของเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว
  • ประสิทธิภาพดีกว่า iPad 4 แบบรู้สึกได้เหมือนใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม 3 มิติกราฟิกสูง
  • ลำโพงให้คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม แบบรู้สึกได้ทันทีเมื่อเปิดเพลงหรือดนตรี
  • ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ในทั้งส่วนของงานประกอบและแอพพลิเคชั่น

ข้อสังเกต

  • ราคาแพงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
  • ถ้าใครเน้นพกพาเป็นหลักก็ลองดูเป็น iPad mini Retina ได้
  • ยังมีข้อกำจัดเดิมๆ เหมือน iPad รุ่นที่ผ่านๆ มา

Introducing VDO

Specification

iPad Air นั้นนอกเหนือจากจะอัพเกรดชิปประมวลผลเป็น Apple A7 Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz ทำงานแบบ 64-bit มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก PowerVR G6430?ที่เป็นแบบ Quad-core พร้อมแรมขนาด 1GB (เท่าเดิม) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอ Retina Display ที่มีความละเอียดเท่าเดิม ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว รวมไปถึงยังเสริมด้วยชิปประมวลผล Apple M7 ที่ช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ

โดย iPad Air?แบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 32GB, 64GB, 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad Air นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G เช่นเดิม (แน่นอนว่าใช้ 3G, 4G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 32GB และ 64GB, 128GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว iPad with Retina Display นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ

  • Wi-Fi 16GB : 16,900 บาท
  • Wi-Fi 32GB : 20,400 บาท
  • Wi-Fi 64GB : 23,900 บาท
  • Wi-Fi 128GB : 27,400 บาท
  • Wi-Fi + Cellular 16GB : xx,xxx บาท
  • Wi-Fi + Cellular 32GB : xx,xxx บาท
  • Wi-Fi + Cellular 64GB : xx,xxx บาท
  • Wi-Fi + Cellular 128GB : xx,xxx บาท

สำหรับในส่วนของสเปกเต็มๆ สามารถคลิกชมกันได้ ที่นี่ เลยนะครับ

Hardware / Design

iPad Air Review 004

ภายในกล่องของ iPad Air ประกอบไปด้วยตัวเครื่อง, สาย USB > Lightning, อแดปเตอร์ USB, คู่มือการใช้งานเบื้องต้น และสติ๊กเกอร์โลโก้ Apple ที่หลายๆ ท่านที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple อยู่คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ iPad นั้น ไม่มีหูฟังแถมมาให้อย่างใน iPhone หรือ iPod นะครับ ต้องซื้อแยกเองอีกทีหากต้องการใช้งาน

iPad Air?เครื่องที่ทีมงานใช้ในการรีวิวนั้นเป็นรุ่น WiFi ความจุ 16 GB สีดำหรืออีกชื่อทางการก็คือ?Space Gray?ที่จัดได้ว่าเป็นสีใหม่เหมือนกับ iPhone 5s สำหรับงานประกอบตัวเครื่องนั้นก็มีความแน่นหนาตามมาตรฐานของ Apple โดยด้านหน้าเป็นกระจก Gorilla Glass ที่มีคุณสมบัติกันรอยกันกระแทกในระดับนึง ซึ่งมีการสะท้อนแสงอยู่พอสมควรแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ขอบของตัวเครื่องด้านหน้าจะเป็นขอบเงาๆ ที่เกิดจากการใช้เพชรเจียระไนขอบอะลูมิเนียมเช่นเดียวกับ iPhone 5s, iPad mini, iPod Touch Gen5 ที่นอกเหนือจะให้ในเรื่องความสวยงามหรูหราแล้ว ยังส่งผลให้จัวถือได้ถนัดมือมากยิ่งขึ้นจากที่ดีไซน์แบบนี้ รูปทรงโดยรวมถ้าจะบอกว่าเป็น iPad mini ขยายร่างขึ้นมาก็คงไม่ผิดนัก

นอกจากนี้ยังมีกล้องหน้าและเซ็นเซอร์วัดแสงอยู่ตรงกลาง ส่วนบนของจอ และปุ่ม Home ก็อยู่ตามตำแหน่งเดิมๆ เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เดิมๆ ตามสไตล์ iDevice ของ Apple อยู่แล้ว

iPad Air Review 016

วัสดุที่ใช้เป็นฝาหลังของ iPad Air ก็คืออะลูมิเนียมที่ผ่านการอะโนไดซ์มาแล้ว ที่แน่นอนว่าผิวสัมผัสจึงแทบจะไม่ต่างกับผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ของ Apple เลย ส่วนสีของฝาหลังนั้นก็จะเป็นไปตามสีเครื่องครับ อย่างรุ่นสี Space Gray?ก็จะมีฝาหลังสีเทาๆ ส่วนรุ่นขาวก็จะมีฝาหลังสีขาวๆ เงินๆ เรียกได้ว่าสีสันแบบเดียวกับ iPhone 5s ก็ว่าได้

ขอบของเครื่องด้านหลังจะมีความโค้งมนเข้ามือ ทำให้สามารถถือ iPad Air อยู่ในมือได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดร่วงจากมือเท่าไหร่นัก ต่างจาก iPad 4 ที่ถือมือเดียวลำบาก ส่วนตัวกล้องหลังของ iPad Air จะฝังแนบมาเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง มีอะลูมิเนียมเนื้อเดียวกับฝาหลังเป็นขอบแยกออกมา ที่ส่วนกล้องจะนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน เนื่องจากตัวเครื่องที่บางมากนั่นเอง พร้อมกันนั้นบริเวณกลางตัวเครื่องจะมีโลโก้ Apple แบบมันวาว และข้อมูลเกี่ยวตัวเครื่องตรงด้านล่างของโลโก้ ตามแบบฉบับของผลิตภัณฑ์ iDevice ที่เรามักคุ้นกันดี

ตำแหน่งของปุ่มกดต่างๆ ก็ยังคงเดิมไม่ว่าจะเป็น ปุ่มเปิด/ปิด/sleep อยู่ตรงมุมบนขวาของเครื่อง (เทียบจากด้านหน้า) และปุ่มเพิ่ม/ลดเสียงและสวิตช์เปิด/ปิดเสียง (หรือจะตั้งค่าเป็นปุ่มล็อกการหมุนหน้าจอก็ได้) อยู่ทางฝั่งขวาของเครื่อง ทางด้านซ้ายที่โล่งไม่มีปุ่มหรืออะไรใดๆ เลย สุดท้ายกับด้านล่างของตัวเครื่องก็เป็นตำแหน่งของพอร์ต Lightning และลำโพงสเตอริโอ เรียกได้เป็น iPad ขนาดปกติตัวแรกที่มาพร้อมกับลำโพงแบบสเตริโอทีเดียว

Screen / Speaker

iPad Air Review 032

ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีขนาด 9.7 นิ้ว และความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) สัดส่วนจอเป็น 4:3 แบบเดิมๆ ซึ่งต่างจากสัดส่วนจอของ iPhone 5s หรือ iPod Touch รุ่นล่าสุดที่เป็น 16:9 รวมไปถึงแท็บเล็ต Android ที่ส่วนมากเป็น 16:9 เรียกได้ว่าสัดส่วนหน้าจอ 4:3 นี้เหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book หรือ แอพพลิเคชั่น แม็กกาซีนที่ให้ดาวน์โหลดได้ต่างๆ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีความหนาแน่นเท่ากับ iPhone 5s ซึ่งค่าอยู่ที่ 326 PPI หรือ iPad mini Retina แต่ก็เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใข้บนแท็บเล็ตแล้วครับ เพราะปกติเราจะใช้ห่างตากว่าบนสมาร์ทโฟนอยู่แล้วครับ ฉะนั้นความละเอียดมากไปกว่านี้ก็จะไม่เห็นความแตกต่าง

นอกจากนี้กับขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเท่ากับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่กลับมีความละเอียดหน้าจอถึง 2048 x 1536 พิกเซล (iPad 1, iPad 2 มีความละเอียดเพียง 1024 x 768 พิกเซลเท่านั้น) ซึ่งหากเรานำมาเทียบกับ LCD TV ในปัจจุบันที่มีขนาดหน้าจอ 32 ? 50 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลแล้วล่ะก็ จะเห็นได้ว่า iPad ตัวใหม่นี้ นั้นมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วขึ้นเยอะมาก (ซึ่งในส่วนนี้เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พัฒนาไปกว่า iPad 3 หรือ 4 เลย)

iPad Air Review 021

ลำโพงที่ติดตั้งมาใน iPad Air ถือว่าเป็นลำโพงระบบสเตอริโอ (มีลำโพงสองตัว) ตัวแรกใน iPad ขนาดปกติ โดยจากเท่าที่ทดลองฟัง พบว่ามีความแตกต่างจากลำโพงใน iDevice ตัวอื่นๆ เล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือให้เสียงค่อนข้างดัง แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีคุณภาพเสียงมากมายอะไรนัก (แต่ก็ดีกว่าเดิมแบบรู้สึกได้) แนะนำว่าถ้าให้ดีก็ควรต่อหูฟัง หรือเชื่อมต่อกับลำโพงจะเหมาะกว่า ซึ่งคุณภาพจัดได้ว่าไพเราะกว่าการใช้ iPhone ฟังเพลงแน่นอน ไม่จะเชื่อมต่อด้วยสายหรือแบบไร้สายด้วยสัญญาณ Bluetooth ก็ตามที และสำหรับไมโครโฟนที่ไว้ใช้งานสนทนา VDO Call หรืออัดเสียงเป็นหลักจะอยู่บริเวณขอบบนตรงกึ่งกลางเครื่อง พร้อมกับลำโพงอีกตัวที่ช่วยในการตัดเสียงรบกวน ซึ่งเพิ่งติดตั้งมาให้ครั้งแรกบน iPad Air เครื่องนี้

iPad Air Review 023

Connector / Thin And Weight

?

iPad Air Review 039

iPad Air ก็เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ได้หันไปใช้พอร์ต Lightning แล้วเช่นกัน โดยตัวพอร์ตเองนั้นได้ถูกติดตั้งบริเวณขอบด้านล่างของตัวเครื่องโดยอยู่กึ่งกลางลำโพงสเตอริโอ ในส่วนของการใช้งานนั้นต้องบอกว่ามีความสะดวกสบายมากกว่าเดิมพอสมควร เพราะด้วยขนาดที่เล็กลง ซึ่งการเชื่อมต่อนั้นยังไม่จำเป็นต้องมาคอยดูว่าเสียบถูกด้านไหน เพราะว่าทาง Apple ออกแบบให้พอร์ต Lightning เชื่อมต่อได้ทั้งสองด้านเลย ไม่ต้องพลิกบนล่างอย่างที่เคยมีมา

สำหรับสายเชื่อมต่ออีกด้านก็จะเป็นแบบ USB ที่เองนั้นสามารถใช้งานในการซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์หรือชาร์จพลังงานก็สามารถทำได้ทั้งชาร์จด้วย USB จากคอมพิวเตอร์ หรือชาร์จจากอแดปเตอร์ก็ทำได้ทันที โดยตัวอแดปเตอร์ที่ทาง Apple ให้มามีขนาด ?12W เช่นเดียวกับที่ให้มาใน iPad 4 ส่วนมุมบนซ้ายก็เป็นตำแหน่งของช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรที่ตัวเบ้าเป็นสีขาวตามสีเดียวกับตัวเครื่อง แน่นอนว่าถ้าเครื่องเป็นสีดำตัวเบ้าก็จะเป็นสีดำเช่นกัน

Screen Shot 2556 11 17 at 1.20.14 PM

iPad Air มีเรื่องที่เป็นจุดเด่นเลยก็คือ การปรับเปลี่ยนรูปทรงให้มีความบางและเบาลงอย่างรู้สึกได้และเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยมีน้ำหนักเพียง 469 กรัมเท่านั้น (iPad 4 หนัก 652 กรัม) เรียกได้ว่าเบามากๆ ซึ่งจากการทดลองใช้งานจริงก็ถือใช้งานมือเดียวได้อย่างสบายๆ ไม่ล้ามือมากนัก ต่างกับ iPad 4 รุ่นก่อนโดยสิ้นเชิงด้วยน้ำหนักที่มากจนเกินกว่าการที่ถือมือเดียวนานๆ นอกเหนือไปจากนี้ตัวเครื่องยังมีความบางที่บางลงกว่าเดิมเพียง 7.5 มิลลิเมตรเท่านั้น (iPad 4 หน้า 9.4 มิลลิเมตร)?

ที่สำคัญกว่านั้นมิติตัวเครื่อง iPad Air ยังได้รับการออกแบบให้เล็กและแคบลงกว่าเดิม เพื่อการพกพาที่สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยหลายๆ คนอาจจะคิดว่ามันไม่เห็นจะเป็นนวัฒกรรมอะไรเลย แต่ก็ต้องบอกว่าการที่เราได้ iPad ที่ประสิทธิภาพดีขึ้นโดยที่น้ำหนักเบาลงและตัวเครื่องเล็กลงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่ผู้ผลิตรายไหนจะทำก็ได้ ที่แม้พูดไปอาจจะเห็นภาพไม่ชัดเจนมากนัก เราก็สามารถชมได้จากภาพประกอบเทียบ iPad Air และ iPad 4 ด้านข้างได้เลย?

* iPad?with Retina Display รุ่น?Wi-Fi + Cellular?จะมีน้ำหนักมากกว่ารุ่น Wi-Fi ปกติ 9 กรัม

Performance / Software

Screen Shot 2013 11 10 at 2.06.50 PM

สำหรับประสิทธิภาพของ iPad Air ที่ใช้ชิปประมวลผล Apple A7 ความเร็ว 1.4 GHz (สูงกว่าใน iPhone 5s นิดหน่อย) ก็ถือว่าให้ความแรงในระดับที่น่าประทับใจ ซึ่งในด้านการทดสอบจะเห็นผลต่างของคะแนนอย่างชัดเจน ส่วนในด้านการใช้งานจริง เท่าที่ลองใช้งานเปรียบเทียบกับ iPad 4 ดู พบว่า iPad Air สามารถตอบสนองการสั่งงานได้เร็วขึ้นกว่า iPad 4 เช่นการเปิดแอพ การโหลดเกม การเปิดหน้าเว็บต่างๆ พบว่าทำได้ดีกว่า เร็วกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย เรียกว่าได้ความรู้สึกเหมือนตอนใช้งาน iPhone 5s เลย คือเปิดอะไรๆ ก็ขึ้นเร็วทันใจไปหมด

Air1

ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการของ iPad Air จะเริ่มต้นมาเป็น iOS 7 แล้ว โดยในเครื่องที่เราได้มามีการติดตั้ง iOS 7.0.4 มาให้ โดยในส่วนของรูปแบบการใช้งานก็ไม่แตกต่างไปจากใน iPad หรือ iPhone ก่อนหน้านี้เท่าไหร่นัก สำหรับคนที่เคยใช้งานอยู่แล้วก็เรียกได้ว่าซื้อมาแล้วใช้งานได้ทันที ส่วนถ้าใครไม่เคยใช้งาน iOS ก็รับรองได้ว่าจับแค่ไม่ถึง 30 นาทีก็น่าจะใช้งานในระดับเริ่มต้นได้คล่องมือแล้วนะครับ

Air2

ตัวอย่างของการเปิดแอพพลิเคชั่น App Store แหล่งดาวน์โหลดของฟรีและเสียเงิน และตัวอย่างการเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น Facebook ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้สะดวกมากเมื่อเทียบกับการใช้งานบน iPhone ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่า

อีกทั้งในส่วนของการใช้งาน E-Magazine ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีจากขนาดที่ใหญ่ และความละเอียดหน้าจอที่สูง แน่นอนว่าถ้าใครชอบอ่านไฟล์ต่างๆ ในแท็บเล็ตเป็นประจำ iPad Air ต้องตอบโจทย์อย่างแน่นอน ซึ่ง E-Magazine นี้ก็มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินนะครับ ยังไงลองเลือกซื้อเลือกหากันตามไลฟ์สไตล์กันดู ซึ่งจากการซูมดูก็จะเห็นว่าไม่มีลักษณะภาพแตก (ต้นฉบับต้องมีความละเอียดระดับ Retina อยู่แล้ว)?

นอกจากนี้การใช้งานแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อย่างเกม 2 มิติ 3 มิติ ก็สนับสนุนการใช้งานบน iPad Air ได้อย่างสบายๆ ทั้งในเรื่องของความคมชัดและกราฟิกที่สวยงามเรียบเนียน ที่เราจะเห็นได้ชัดเจนในเกมที่เป็นกราฟิก 3 มิติหนักๆ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญเพราะใช้ชิปประมวลผลที่แรงกว่าชิปรุ่นเดิมถึง 2 เท่าด้วยกัน รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นรวมโซเซียสเน็ตเวิร์คอย่าง Flipboard ที่จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่ควรติดเครื่อง iPad เอาไว้ เพราะด้วยหน้าจอขนาดใหญ่กว่า iPhone และ iPad mini ทำให้เราสามารถรับชมได้อย่างสบายตาทีเดียวครับ

สรุปการใช้งานและประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่อง iPad Air นั้น สามารถตอบสนองการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเล่นอินเตอร์เน็ต อ่าน E-Book, E-Magazine หรือเล่นเกมที่ใช้กราฟิกที่สวยงาม ทุกอย่างล้วนมีความลื่นไหลและสวยงาม โดยรวมก็มีความลื่นไหลมากๆ ซึ่ง iPad Air เหมาะมากๆ สำหรับคนที่เน้นในเรื่องความแรงของประสิทธิภาพ เพราะเรียกได้ว่าชิป Apple 7 นั้น มีความแรงมากที่สุดในหมู่อุปกรณ์ iDevice ด้วยกัน ที่ถือว่าอาจจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนมากนักหากเทียบกับ iPad 4 แต่จะเห็นได้เล็กๆ น้อยๆ ว่าโหลดเกมหรือเข้าใช้งานแอพพิลเคชั่นต่างๆ แต่ในส่วนของการใช้งานทั่วไปบอกได้เลยว่าแทบไม่แตกต่างกันครับ

Battery / Heat

ด้วยการที่ iPad Air เปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A6 เป็น Apple A7 พร้อมเพิ่มชิปช่วยประมวลอีกตัวอย่าง M7 ยังคงมีอัตราการใช้พลังงานต่ำลงกว่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ Apple ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องก็ยังต้องเป็น 10 ชั่วโมงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ด้วยขนาดที่เล็กและบางลงเบาลง จึงทำให้ iPad Air นี้ มีความจุของแบตเตอรี่น้อยลงกว่าเดิมที่ 8827 mAh?เรียกได้ว่าหากเทียบความจุแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะเห็นได้ชัดเจนว่ามี ความจุมากกว่า 2-3 เท่าทีเดียว โดยจากการทดสอบใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi สลับกับการเล่นเกม 3 มิติบ้างตลอดทั้งวัน ตัวของ iPad Air ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เล่นต่อเนื่องขนาดนี้ 2-3 วันชาร์จไฟครั้งหนึ่งก็ยังได้ ส่วนการชาร์จไปเข้า iPad Air จาก 10% ถึง 100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่นานจนเกินไป

Screen Shot 2556 11 17 at 2.38.58 PM

ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมีมาก โดยส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad 4 อยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลม) แต่ถ้าอยู่ในนอกสถานที่ที่ค่อนข้างร้อน ตำแหน่งซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากขึ้น แต่ก็ไม่ขนาดที่จับไม่ได้นะครับ เรียกได้ว่ามีการปรับปรุงเรื่องความร้อนได้ดีกว่าเดิมพอตัว

iPad Air Review 011

Camera

iPad Air Review 012

ในส่วนของกล้องด้านหลังอีกด้วย ที่ในตามภาพจะเห็นเป็นวงกลมสีดำ ซึ่งตัวกล้องเองสามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 5 ล้านพิกเซลเหมือน iPad 4 ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดย iPad Air นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์และชุดเลนส์เช่นเดียวกับ iPhone 5 ส่งผลให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมานั้นมีความสวยงามและชัดเจนกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีทางสวยไปกว่า iPhone 5s แน่นอน

นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ติดตั้งมาให้ครับ ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายที่อยู่ทางด้านข้างนะครับ (สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้) ที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจทีเดียวกับภาพจากบนแท็บเล็ตเครื่องนี้

IMG 0022

ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A7 ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายตามสไตล์ของ iOS7 เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ

พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้แล้ว

ในส่วนของกล้องด้านหน้าจะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซล (1280 x 720 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime ซึ่งเรียกได้ว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ?

Conclusion / Award

iPad Air Review 010

ถ้าจะบอกว่า iPad Air นั้น เป็น iPad ที่ทำเสร็จแล้วก็คงไม่ผิดนัก เพราะที่ผ่านมาสำหรับ iPad ขนาดปกติหน้าจอ 9.7 นิ้ว ก็มีข้อจำกัดในหลายๆ อย่าง อาทิ รุ่นแรกก็ทั้งหนาและหนักแถมจอไม่ละเอียด ต่อมารุ่นสองก็ดีขึ้นตรงเบาลงบางลงแต่จอก็ไม่ละเอียดอยู่ดี จนมาถึงรุ่นสามขนาดตัวเครื่องก็กลับมาหนาและหนัก ที่แม้ว่าหน้าจอจะเป็น Retina Display ?แล้วก็ตาม แต่ดันมีปัญหาเรื่องความแรงเพราะด้วยสเปกที่แรกขึ้น และก่อนรุ่นล่าสุดอย่างรุ่นที่ 4 ก็มีการแก้ไขเรื่องความร้อนพร้อมเปลี่ยนพอร์ตเป็น Lightning แต่ก็ยังหนาและหนักเหมือนเดิม จนท้ายที่สุดและล่าสุดกับ iPad Air ก็มาพร้อมความบางและเบาอย่างเหลือเชื่อถือไช้งานมือเดียวได้สบายๆ อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพความแรงที่ดีเยี่ยม โดยที่ไม่เกิดปัญหาเรื่องความร้อนแต่อย่างใด เรียกได้ว่าถ้า Steve Jobs ไม่ด่วนล่วงลับไปเสียก่อน คงได้มีน้ำตาไหลกันอย่างแน่นอน?

iPad Air Review 017

iPad Air หรือ iPad 5 นั้น ยังถือได้ว่าเป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน ด้วยความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ น้ำหนัก ความบาง ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย (แน่นอนว่าใครใช้งานจริงคงรู้ดี) เรียกได้ว่าทำให้สมหวังกันเสียทีเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่อย่างไรก็ตาม iPad คงไม่ใช่คำตอบในการใช้งานแท็บเล็ตของหลายๆ คนแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายส่วน อาทิเช่น ปากกา หรือความอิสระในการถ่ายโอนข้อมูล (Apple จำกัดไว้เพราะมีตกลงเรื่องลิขสิทธิ์อย่างเพลงหรืภาพยนตร์) นอกเหนือจากนี้ iPad Air ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน)

iPad Air Review 018

ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนๆ มา จะเห็นว่าการมาของ iPad Air ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์อย่าง iOS 7 ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว รวมไปถึงความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากชิปประมวลผล Apple A7 และ M7 ที่เร็วขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อพอร์ต Lightning ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้สะดวกมากกว่าถ้าใช้งานคู่กับ iPhone 5 หรือ iPhone 5s อยู่แล้ว

iPad Air Review 030

สำหรับคนที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตอะไรมากก่อนเลย iPad Air ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,900 บาท ?(แพงกว่ารุ่นก่อน 400 บาท) แต่ถ้าใครใช้ iPad 4 อยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก หากไม่ต้องได้ใช้งานที่ลื่นไหลและความบางเบามากกว่าเดิม (แต่สำหรับบางคนก็ถือได้เป็นเรื่องสำคัญทีเดียว) รวมไปถึงใครคนไหนที่ต้องการใช้งานพกพาบ่อยๆ โดยที่ประสิทธิภาพอาจจะเป้นรอง iPad Air เล็กน้อย ก็สามารถมาจับจอง iPad mini Retina แทน iPad Air ได้นะครับ สนนราคาก็เริ่มต้นเพียง 13,400 บาทเท่านั้นเอง (แพงกว่าเดิม 2,200 บาท)

จุดเด่น

  • มีดีไซน์และความสวยงามหรูหรามากกว่าเดิม
  • ตัวเครื่องมีความบางและเบากว่ารุ่นก่อนมาก จับถือไและพกพาด้ง่ายกว่าเดิม
  • หน้าจอมีความสวยงาม ด้วย Retina Display จากความละเอียดและพาเนล IPS
  • ชิปประมวลผลเป็น Apple A7 ความเร็ว 1.4GHz ทำงานแบบ 64-bit
  • มีชิปประมวลผล Apple M7 เป็นตัวช่วยทำงาน เรื่องของเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว
  • ประสิทธิภาพดีกว่า iPad 4 แบบรู้สึกได้เหมือนใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม 3 มิติกราฟิกสูง
  • ลำโพงให้คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม แบบรู้สึกได้ทันทีเมื่อเปิดเพลงหรือดนตรี
  • ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ในทั้งส่วนของงานประกอบและแอพพลิเคชั่น

ข้อสังเกต

  • ราคาแพงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
  • ถ้าใครเน้นพกพาเป็นหลักก็ลองดูเป็น iPad mini Retina ได้
  • ยังมีข้อกำจัดเดิมๆ เหมือน iPad รุ่นที่ผ่านๆ มา
Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Accessories review

VOLTME Revo 140 กับ VOLTME RUGG CTC 100W คอมโบสายและอะแดปเตอร์สุดเจ๋ง ชาร์จได้หมดทั้งโน๊ตบุ๊ค, แท็บเล็ตและมือถือ!! ถ้าเปิดกระเป๋ามานอกจากโน๊ตบุ๊คแล้ว หลายคนก็มีแท็บเล็ตกับสมาร์ทโฟนติดกระเป๋ากันแน่ๆ ดังนั้นอะแดปเตอร์อย่าง VOLTME Revo 140 กับสายชาร์จ VOLTME RUGG CTC 100W เลยเป็นไอเท็มคู่สำคัญควรมีติดกระเป๋าเอาไว้ให้อุ่นใจ ยิ่งใครใช้โน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงหรือ MacBook...

Tips & Tricks

นอกจากใช้เป็นโปรแกรมแชตด้วยเสียงของเกมเมอร์เวลาเล่นเกมแล้ว ถ้านั่งเล่นเกมคนเดียวแล้วอยากฟังเพลงตอนเพื่อนไม่อยู่ก็มีบอทเพลง Discord เป็นเพื่อนคอยเปิดเพลงให้ฟังได้ฟรี หรือถ้าไม่ได้เล่นเกมแต่อยากเข้ามานั่งฟังเพลงแล้วนั่งอ่านหนังสือก็เรียกบอทเข้ามาเปิดเพลงได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีบอทหลายตัวให้โหลดไปใช้งานได้ฟรีไม่ว่าจะเป็นบอทเปิดเพลงทั่วไปหรือเฉพาะแนวเพลงนั้นก็มีให้เลือกตามชอบ บอทเพลง Discord ใช้งานยากหรือเปล่า? Discord สามารถโหลดมาติดตั้งในคอมพิวเตอร์หรือล็อคอินใช้งานผ่านเบราเซอร์ก็ได้ นอกจากใช้งานในคอมพิวเตอร์แล้ว Discord ก็มีแอปฯ ให้โหลดมาติดตั้งในสมาร์ทโฟนได้ มีผู้พัฒนาบอทเพลงใน Discord หลากหลายเจ้า เน้นสไตล์เพลงให้เลือกหลากหลายแบบ การเริ่มสั่งบอท Discord ในแชนแนล ให้เริ่มจากเครื่องหมายทับ (Forward...

Mac Corner

ถ้าใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ไม่ว่าจะ Windows หรือ MacBook ทุกคนย่อมกดคีย์ลัดสั่งการให้คอมของตัวเองทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแน่นอน ถ้าใช้คอมมานานแล้ว คีย์ลัด Mac ก็ยังใช้วิธีกดปุ่มคำสั่ง 2-3 ปุ่มรวมกัน แค่เปลี่ยนชื่อกับภาพไอคอนปุ่มคำสั่ง (Modifier) บางปุ่มให้เป็นตามแบบฉบับของ Apple เอง คนที่ย้ายจาก Windows มาใช้ macOS ก็ใช้เวลาปรับตัวเรียนรู้คีย์ลัดสักระยะก็ใช้งานได้ถนัดอย่างแน่นอน ก่อนจะเริ่มใช้งานคีย์ลัด Mac...

How to

ในยุคนี้ใครๆ ก็ต้องมีโน๊ตบุ๊คเอาไว้ทำงานสักเครื่อง แต่จะซื้อมือหนึ่งแล้วต้องรอให้ถึงช่วงโปรโมชั่นก็ไม่ไหวหรือถึงจะลดราคาแล้วก็ยังจ่ายไม่ไหวก็มี โน๊ตบุ๊คมือสองจึงกลายเป็นทางเลือกของผู้ใช้หลายๆ คนที่ต้องการคอมสเปคดีราคาไม่แรงเอาไว้ทำงานสักเครื่อง ซึ่งช่องทางหาซื้อในปัจจุบันก็มีตั้งแต่วิธีคลาสสิคอย่างไปซื้อจากหน้าร้านคอมมือสองตามห้างไอที, ค้นหาทางเว็บไซต์เว็บบอร์ดไปจนตามหาซื้อในกลุ่ม Facebook และ Marketplace แล้วนัดเจอรับสินค้าก็ทำกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถ้าคิดว่าจะซื้อโน๊ตบุ๊คจากร้านมือสองหรือต่อจากคนอื่น นอกจากโฟกัสให้ได้ราคาที่ตั้งใจเอาไว้ก็ต้องดูสเปคให้พอดีกับงานของเราด้วย ซึ่งวิธีง่ายสุดก็ให้ดูก่อนว่าในเครื่องเป็น Windows 11 แล้วหรือยัง จะได้อัปเดตแพทช์รักษาความปลอดภัยได้เรื่อยๆ หรือถ้าสเปคน่าสนใจแต่ยังเป็น Windows 10 ก็เช็คจากตารางซีพียู AMD, Intel...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก