เราได้เห็นแนวคิดเรื่องเครื่องปริ้นเตอร์ 3 มิติ หรือเรียกได้เข้าใจได้ง่ายกว่านั้นหน่อย ด้วยการอธิบายลักษณะการทำงาน ก็คือเครื่องสร้างสิ่งของจากไฟล์ต้นแบบ 3 มิติ จากในเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง และเราก็ได้เห็นเครื่องต้นแบบต่างๆ ที่สามารถสร้างวัตถุรูปทรงตามแต่ที่เราจะสั่งได้ จากการทำแบบจำลองเป็นไฟล์ขึ้นมาก่อน ไม่แตกต่างกับการพิมพ์งานแล้วสั่งพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษนั่นเอง
แต่ที่ผ่านมๆนั้น เราก็มักจะเห็น ว่าราคาค่าตัวของเครื่องเหล่านี้นั้น มีราคาที่สูงมากอยู่พอสมควรทีเดียว แต่กับโปรเจ็คต์ล่าสุด ของนักประดิษฐ์ชาวแคนาดา ได้นำเสนอแนวคิดการทำเครื่องแบบใหม่ขึ้นมา ในชื่อว่า Peachy Printer และมีราคาค่าตัวที่ต่ำกว่า $100 หรือประมาณ 3,1xx บาทซะอีก ทำให้มันกลายเป็นเครื่องปริ้นวัตถุ 3 มิติ ที่มีราคาถูกที่สุดในตอนนี้ไปเลย
ส่วนเทคนิคและวิธีการที่ทำให้มันสามารถทำงานได้ โดยที่มีค่าตัวถูกขนาดนี้นั้น ก็ด้วยการใช้วิธีการที่แตกต่างไปจากเครื่องปริ้นตัวอื่นๆที่เราเคยเห็นมานั่นเอง เริ่มต้นจากการใช้อุปกรณ์ที่เห็นหัวใจหลัก หรือเครื่องฉายแสงเลเซอร์ ที่มีการทำขึ้นมาง่ายๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมายนัก และเจ้าเลเซอร์ที่ว่านี้ ก็จะยิงลงไปที่ฐานด้านล่างของอุปกรณ์ เพื่อไปหล่อแบบของวัตถุขึ้นมากจากวัสดุที่เป็นเรซิน แล้วก็จะใช้น้ำเกลือเติมเข้าไป เพื่อใช้เป็นตัวทำให้วัตถุที่รูปทรงที่สูงขึ้นนั่นเอง
นอกเหนือไปจากความสามารถในการปริ้นรูปทรงวัตถุขึ้นมาแล้วล่ะก็ มันยังสามารถที่จะประยุกต์เข้ากับกล้องถ่ายภาพ เพื่อใช้เป็นเครื่องสแกนรูปทรงของวัตถุได้อีกด้วย ซึ่งก็สามารถที่จะทำงานได้กับกล้อง Webcam, dSLR เกือบทุกรุ่นได้เลยทีเดียว โดยที่เราจะต้องนำเอาวัตถุที่ต้องการ เข้าไปหมุนไปหมุนมาที่ใต้ตัวยิงเลเซอร์นิดหน่อย และแสงเลเซอร์ที่ยิงออกมา ก็ใช้เป็นตัววันระดับความสูงต่ำของพื้นผิวต่างๆ แล้วก็ใช้มาเป็นข้อมูลในการขึ้นรูปไฟล์วัตถุ 3 มิตินั่นเอง
โปรเจ็คต์เครื่องตัวนี้ยังไม่ได้มีการผลิตจำหน่ายออกมาในจำนวนมากจริงๆ แต่ว่าเป็นการนำเสนอผ่านเว็บไซต์รวมแนวคิดระดมทุน Kickstarter เจ้าเดิมนั่นเอง ซึ่งด้วยความน่าสนใจและสามารถทำได้จริงของเจ้าเครื่องต้นแบบตัวนี้ ก็ทำให้มีผู้คนให้ความสนใจ และบริจาคเงินเข้ามาสมทบเป็นมูลค่ามากกว่า $140,000 (ประมาณ 4.38 ล้านบาท) ภายในเวลาเพียงแค่ 2 วันนิดๆเท่านั้น แม้ว่าตัวเครื่องจะมีคุณภาพในการปริ้นวัตถุออกมาได้ค่อนข้างน้อยกว่าเครื่องของเจ้าอื่นๆที่เราเคยเห็นมา แต่มันก็มีราคาที่ถูกกว่ากันมาก
ที่มา: CNET