เป็นที่พูดกันมานักต่อนัก ว่า Windows RT นั้น ไม่ค่อยจะโอเคสักเท่าไหร่ ขนาดว่าจะหาบทความรีวิวที่ส่งเสริมเป็นด้านบวกนั้น ยากเต็มที และล่าสุด รายงานจาก Microsoft ก็ดูเหมือนจะยืนยันไปในทิศทางนั้น ด้วยตัวเลขกว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.7 พันล้านบาท) ที่ขาดทุนไปกับการที่เครื่องแท็บเล็ต Surface RT ที่ขายไม่ออก
จริงๆแล้วในด้านของตัวเครื่องฮาร์ดแวร์ถือว่าเป็นเครื่องที่สวยงามมากทีเดียว แทบจะเรียกได้ว่าใครที่ได้หยิบจับขึ้นมา ก็จะต้องประทับใจกับงานการผลิตของตัวเครื่องเลยทันที ซึ่งถือว่าวิศกรและนักออกแบบทั้งหลายของ Microsoft ทำงานออกได้เยี่ยมยอด
แต่ประเด็นสาเหตุหลักที่ทำให้มันไม่ค่อยจะได้รับความนิยมสักเท่าไหร่นักนั้น ก็มาจากระบบซอฟท์แวร์ Windows RT ของ Microsoft นี่เอง ที่ไม่ควรน่าจะมีออกมาแต่แรกด้วยซ้ำไป แต่เหตุผลหลักที่ Microsoft ตั้งใจทำขึ้นมานั้น ก็เพื่อที่จะเอามาสู่กันกับเครื่อง iPad และเหล่าระบบ Android นั่นเอง ที่มีอยู่ท่วมท้นตลาด แต่ช่วงเวลาที่ Microsoft เข้ามานั้น มันได้เลยจุดที่เหมาะสมไปเรียบร้อยแล้ว ควรจะเดินผ่านไปเฉยๆ มากกว่าที่จะกระโดดลงเข้ามาร่วมเล่นด้วย เพราะนั่นก็จะได้ผลลัพธ์คือการเจ็บตัวสูญเงินนั่นเอง เรียกได้ว่า มันคือลูกดื้อของ Microsoft นั่นเอง
ส่วนเครื่องอีกรุ่นอย่าง Surface Pro นั้น ก็เป็นความเสี่ยงใหญ่อีกอันของ Microsoft เช่นกัน ด้วยการนำเสนอตัวเครื่องที่สามารถใช้งานได้เหมือนกับเครื่อง PC และก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควรเลยทีเดียว เรียกได้ว่าการออกเครื่องแท็บเล็ต Surface ของตัวเองนี้ เรียกความสนใจมาสู่เครื่องแท็บเล็ตระบบ Windows 8 ได้มากพอสมควร มากกว่าที่เหล่าผู้ผลิตเจ้าอื่นๆอย่าง HP, Dell หรือ Samsung ทำได้ซะอีก และนี่ก็ได้เป็นการกระตุ้นครั้งใหญ่ ให้เหล่าผู้ผลิตได้หันมามอง ว่าการพัมนาผลิตภัณฑ์ที่ดีนั้น เป็นอย่างไร เพื่อให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการผลิตเครื่องแท็บเล็ตของระบบ Windows 8 จากเครื่องเดิมๆ ที่ไม่ค่อยจะเป็นไปตามความคาดหวังของ Microsoft สักเท่าไหร่
ถ้าหา Microsoft ไม่ได้ทำเครื่อง Surface นี้ออกมา ก็อาจะเป็นไปได้ ว่าเหล่าแท็บเล็ตจากผู้ผลิตอื่นๆ ยังคงเป็นเครื่อง Slate ที่ดูไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่ และผู้บริโภคก็คงจะไม่ได้ให้ความสนใจ หันมามอง หรือกระตือรือร้นกับอุปกรณ์ระบบใหม่นี้มากนัก และเป็นไปได้ที่ Microsoft เตรียมจะทำการเปิดตัวเครื่องรุ่นที่ 2 ออกมาอีก ซึ่งยังคาดว่าจะมาพร้อมกับราคาเริ่มต้นที่ถูกลงมากกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งอาจจะได้เห็นผลตอบรับจากตลาดที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็เป็นได้
ที่มา: TechCrunch