ในปี 2012 แบรนด์ Acer ถือว่าเป็นผู้ผลิตเครื่อง PC ระบบ Windows เจ้าแรกที่สนับสนุนเทคโนโลยี Thunderbolt แต่ก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นการหยุดเอาไว้เพียงแค่นั้น ไม่ได้ถูกนำเอามาผลิตใช้จริง ด้วยเหตุผลที่มันมีราคาต้นทุนสูงกว่า USB ปกติทั่วๆไป แม้ว่าประสิทธิภาพที่ได้นั้น จะสามารถทำได้สูงตามราคาด้วยเช่นกันก็ตาม
ทางด้านตัวแทนของ Acer ก็ได้ออกมาบอก ว่าบริษัทนั้น จะพุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยี USB 3.0 แทน ซึ่งก็ถือเป็นเทคโนโลยีทางเลือกสำหรับ Thunderbolt เนื่องด้วยเหตุผลง่ายๆว่ามันมีราคาต้นทุนที่ถูกกว่า มอบขนาดแบนด์วิธสำหรับใช้งานที่ดีพอสมควร สามารถใช้ชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์ต่างๆได้ และมีการใช้งานอยู่ในอุปกรณ์เครื่องต่างๆอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดดิสก์แบบภายนอก หรือ external harddisk แฟลชไดรฟ์ คีย์บอร์ด เมาส์ และเกมแพด
แต่กับทางด้านเจ้าของเทคโนโลยี Thunderbolt อย่าง Intel นั้น ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ เพราะก็ออกมาบอกอย่างมั่นใจ ว่าตลาดเครื่อง PC นั้น กำลังเริ่มพัฒนาหันมาใช้เทคโนโลยีความเร็วสูงตัวนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจำนวนที่มากกว่า 12 รุ่น ของเครื่องรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับแพล็ตฟอร์ม Intel Core รุ่นที่ 4 ที่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Thunderbolt ตัวนี้ ซึ่งมาจากเหล่ายี่ห้ออย่าง Lenovo, Dell, ASUS และยี่ห้ออื่นอีกหลายเจ้า ที่จะมีมาเพิ่มขึ้นภายในปีนี้ และสำหรับเป้าหมายที่ Intel ตั้งเป้าสำหรับให้ Thunderbolt มีการใช้งานอย่างแพร่หลายนั้น ก็จะเป็นช่วงเวลาประมาณ 3-5 ปีข้างหน้า
แต่กับพันธมิตรที่มีการใช้งาน Thunderbolt เป็นหลักอย่าง Apple นั้น ก็ได้ล้ำหน้าแบรนด์อื่นๆไปอีกขั้นแล้ว ด้วยการนำเสนอ Thunderbolt 2 ในเครื่อง Mac Pro ตัวใหม่ล่าสุด ที่สามารถโอนถ่ายไฟล์ได้ด้วยความเร็วสูงกว่าเดิมเท่าตัว เป็น 20Gb ต่อวินาทีเลยทีเดียว และมีความสามารถที่จะรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้มากถึง 6 ตัวพร้อมๆกันและต่อออกจอมอนิเตอร์ได้อีก ส่วนทางด้านของ USB นั้นเอง ก็ยังมีการพัฒนาต่อเนื่องเพิ่มเติมขึ้นมาเช่นเดียวกัน โดยจะเปิดตัวมาตรฐานความเร็วใหม่ ที่เป็นระดับ 10Gb ต่อวินาทีในปี 2014
สำหรับตลาดผู้ใช้เครื่อง PC ระบบ Windows ในตอนนี้ ก็ยังถือว่า Thunderbolt ยังเป็นเทคโนโลยีที่เป็นกระแสรองอยู่ แม้ว่ามันจะมีความสามารถสูงกว่า USB ก็ตามที่ แต่กับผู้ผลิตก็ยังมองเห็นว่ายังไม่ใช่เวลาของมันสักเท่าไหร่ ก็คงต้องเฝ้ารอดูต่อไป ว่าผู้ผลิตเจ้าต่างๆ จะเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีตัวนี้มากขึ้นเมื่อไหร่
ที่มา: CNET