ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 3-4 ปีก่อนวงการมือถือ(ตัวเครื่อง)ค่อนข้างไม่มีความเคลื่อนไหวมากนัก แม้จะมีการออกรุ่นใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อยๆ
?
จนกระทั่งต้นปี 2007 สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยน เมื่อมีผู้เล่นหน้าใหม่ลงสนามซึ่งก็คือ iPhone จาก Apple นั่นเอง ก่อนหน้าที่ iPhone จะออกมาสู่ตลาด Apple เคยร่วมมือกับ Motorola ออก ROKR E1 ซึ่งสามารถใช้งานกับ iTunes ได้ออกมาก่อนแล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ รวมถึงเคยได้ข่าวว่าทาง Motorola ไม่ยอมให้ Apple มีส่วนร่วมในการออกแบบตัวเครื่องอีกด้วย และหากมองจากมุมของสไตล์ผลิตภัณฑ์ที่ Apple ผมเชื่อเลยว่า ROKR E1 ไม่ใช่สิ่งที่ถูกใจและเป็นไปอย่างที่ Apple ต้องการแน่ๆ หลังจากนั้นก็มีกระแสข่าวลือกันเรื่อยมาว่า Apple จะทำมือถือ แต่ก็เงียบไปจนกระทั่งในที่สุด Apple เปิดตัว iPhone เป็นครั้งแรกในงาน Macworld 2007 Mobile Safari ที่นำมาแสดงตัวอย่างในงานคราวนั้น พร้อมด้วยระบบการสั่งงานแบบ Multi-touch รวมถึงเทคโนโลยีอื่นๆที่ Apple นำมาใช้ เป็นการเปิดตัวที่จุดกระแสความสนใจจากวงกว้างได้ค่อนข้างมาก
iPhone ออกมาแล้วสองรุ่น รุ่นปัจจุบันชื่อว่า iPhone 3G ซึ่งมีคุณสมบัติที่เพิ่มเติมเข้ามาจากรุ่นแรก คือรองรับระบบเครือข่าย 3G และมีระบบ GPS แบบ A-GPS ในตัว ถึงตอนนี้ iPhone 3G ทำตลาดมาค่อนปีแล้ว เรื่อง Spec ต่างๆ คงไม่นำมากล่าวถึงกันแล้วละครับ เรามาว่าถึงเรื่องในประเด็นอื่นๆ กันดีกว่า
ความแตกต่างของ iPhone
ความสำเร็จอย่างนึงของ iPhone คือการที่ Apple สามารถสร้างชื่อ iPhone ให้เป็น iPhone ได้อย่างชัดเจน เหมือนกับที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วกับ iPod มีหลายปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่นำมาใช้ ว่าแล้วก็มาดูกันไปแต่ละหัวข้อกันเลยดีกว่าครับ
?
การออกแบบผลิตภัณฑ์
รูปทรงของ iPhone นั้นมีการออกแบบ ตามแบบแนวการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของ Apple ซึ่งคงไว้ซึ่งความสวยงาม ตามแนวคิดแบบ Minimalism เรียบง่ายแต่ดูดี เหมือนกับ iPod , iMac , MacBook รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆของ Apple อย่างไรก็ตามเรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นเรื่องของความชอบ เป็นเรื่องของรสนิยม อาจจะมีบางท่านที่ไม่ชอบแบบนี้ อันนั้นว่ากันไม่ได้ครับ เป็นเรื่องปัจเจกจริงๆ อย่างไรก็ตามการออกแบบของ iPhone เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าทำออกมาได้สวยงามดูดี ไม่เพียงแต่สวยงามเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในเรื่องของความแข็งแรงของวัสดุ และคุณภาพการผลิต ก็ยังทำออกมาได้ดีมากอีกด้วย ก่อนหน้านี้เราแทบจะไม่ค่อยเห็นแนวการออกแบบอย่างนี้ในมือถือเลย จนกระทั่ง iPhone ออกมา แนวทางการออกแบบผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมนี้ก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นทิศทางนี้กันมากขึ้น
การออกแบบ User Interface
UI ของ iPhone มีการออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย เหมาะกับการใช้งานกับอุปกรณ์ที่มีพื้นที่แสดงผลจำกัด และมีความแตกต่างจากการ UI ของยี่ห้ออื่นที่มีก่อนหน้านั้น Apple กล้าที่จะตัดการมีปุ่มต่างๆบนตัวเครื่องจำนวนมากอย่างที่เคยมีในโทรศัพท์รุ่นอื่นๆก่อนหน้านั้น แล้วทำให้ทุกอย่างเป็น Virtual Button แสดงผลบนหน้าจอ และใช้ระบบสัมผัสแบบ Multi-touch ที่มีความโดดเด่นแทนที่ สิ่งนึงที่ผมชอบมากใน iPhone ก็คือมันไม่ได้พยายามที่จะนำเอารูปแบบ UI การใช้งานบนคอมพิวเตอร์ มาใช้กับอุปกรณ์ที่มีขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็น Menu Bar , Context Menu เรียกได้ว่า UI Control ทั้งหลายใน iPhone นั้นถูกออกแบบมาเพื่อให้นำมาใช้กับการใช้งานกับอุปกรณ์ขนาดเล็กแบบนี้จริงๆ
เทคโนโลยี Multi-touch
เป็นจุดเด่นและเป็นจุดขายที่ทำให้ iPhone ต่างจากคู่แข่ง แต่เดิมนั้นมีมือถือหลายรุ่นที่เป็นระบบหน้าจอแบบสัมผัส Touch Screen แต่ iPhone เป็นรุ่นแรกที่นำเอาระบบ Multi-touch ที่สามารถทำงานร่วมกับการสัมผัสมากกว่าหนึ่งจุดได้ ทำให้สามารถออกแบบ Gesture หรือการเคลื่อนไหวเพื่อสั่งงาน ที่แตกต่างจากที่เคยมีมาได้มากกว่ากันเยอะ แต่เดิมเราจะทำได้เพียงแต่กด และเลื่อนนิ้ว(หรือ Stylus)ไปมาเพียงเท่านั้น แต่เมื่อมีการนำระบบ Multi-touch มาใช้ ทำให้เราสามารถใช้สองนิ้วสัมผัส แล้วกางออก เพื่อขยายสิ่งที่อยู่ในหน้าจอ หรือหุบเข้าเพื่อย่อ หรือใช้สองนิ้วสัมผัสแล้วหมุน เพื่อสั่งให้หมุนสิ่งที่อยู่ในหน้าจอ เป็นต้น
และเมื่อนำ Multi-touch มาใช้งานร่วมกับระบบ Accelerometer ซึ่งจะคอยตรวจสอบแกนการใช้งาน การเคลื่อนไหวตัวเครื่อง ก็ทำให้ iPhone สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานให้กับผู้ใช้ได้อย่างมีความแตกต่างจากมือถืออื่นๆ อย่างชัดเจน ปัจจุบันแม้ว่าจะมีมือถือหลายรุ่นที่พยายามจะชูจุดขายของความเป็นระบบสัมผัส แต่เท่าที่ได้ลองใช้งานมาก็ยังไม่มีรายไหนที่ทำได้อย่างที่ iPhone เป็นสักราย (ในอนาคตอาจจะมี แต่ตอนนี้ขอพิมพ์เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดแล้วเท่านั้นนะครับ) ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงแค่ระบบสัมผัสหน้าจอธรรมดา อันที่จริงเทคโนโลยี Multi-touch ไม่ใช่พึ่งมีนะครับ นับย้อนหลังไปก็มีการพัฒนากันมานานร่วม 30 ปีแล้ว ส่วนผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้งานจริงๆ ก็มีมาก่อนหน้านี้ แต่เป็นอุปกรณ์เฉพาะทาง และบริษัทนึงที่ผลิตอุปกรณ์ที่เป็น Multi-touch ก็คือ FingerWork ซึ่งภายหลัง Apple ก็ซื้อกิจการและนำมาพัฒนา iPhone รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ให้มีการใช้งาน Multi-touch นี่แหละครับ เรียกว่าใช้คุ้มเลยทีเดียว ภาพนี้เป็นภาพเกมส์รถแข่งที่ใช้ระบบ Accelerometer ในการควบคุมการเลี้ยวรถนะครับ
ความต่างอย่างนึงที่ทำให้ระบบสัมผัสของ iPhone ได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีจากผู้ใช้งานก็คือการที่มันใช้เทคนิคการตรวจสอบการสัมผัสแบบ Capacitive sensor ซึ่งทำได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับอีกหลายยี่ห้อที่ใช้แบบ Resistive sensor แม้ว่าจะมีข้อจำกัดตรงที่ต้องใช้นิ้วสัมผัสโดยตรง ไม่สามารถใช้ Stylus ได้ แต่ในทางกลับกันการใช้นิ้วสัมผัสของ iPhone กลับทำได้ดีกว่าการใช้ Stylus เสียอีก (อันนี้ส่วนนึงคงแล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคลด้วย แต่ส่วนใหญ่ที่สอบถามมาก็บอกว่าดีกว่ากันทั้งนั้น) ในบ้านเราไม่ใช่เมืองหนาวที่ต้องใส่ถุงมืออยู่แล้วด้วย ข้อนี้จึงไม่น่าจะเป็นปัญหา ในทางเทคนิคแล้วนั้นการใช้ Capacitive sensor ทำให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากต้องใช้ทั้งหน่วยประมวลผลเพื่อใช้ร่วมกับการตรวจสอบ ต้องใช้แหล่งพลังงานเพิ่มเติมอีกด้วย และยังมีราคาสูงกว่าแบบ Resistive sensor แต่ Apple เลือกที่จะใช้แบบ Capacitive แทนที่จะใช้แบบ Resistive เพื่อให้เกิดประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีกว่า มีการตอบสนองต่อการสัมผัสได้ดี ทำให้ผู้ใช้ได้ใช้ระบบ ?สัมผัส? จริงๆ ไม่ใช่ระบบสัมผัสที่ต้องออกแรง ?กด?
ระบบปฎิบัติการ OS X iPhone
อีกสิ่งนึงที่ทำให้ iPhone ต่างจากมือถืออื่นๆ ก็คือระบบปฎิบัติการ สำหรับ iPhone นั้นใช้ระบบปฎิบัติการ OS X ใช้แกนของระบบแบบเดียวกับที่ใช้ใน Mac OS X แต่มีการปรับแต่งเพื่อนำมาใช้ใน iPhone (และ iPod touch) เรียกว่า OS X iPhone ทำให้มีความเสถียรต่อการใช้งานที่ค่อนข้างมาก เพื่อนผมหลายคนใช้ iPhone (แบบหิ้ว) มาตั้งแต่เปิดตัวใหม่ๆ จนทุกวันนี้ยังไม่เคยเจอปัญหาเครื่อง Crash ไปเองเพราะตัวระบบเลย มี 3rd Party Application บางตัวที่ใช้งานแล้วเด้งออกมาหน้าจอบ้าง แต่ก็พบน้อยมาก เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่พบจากระบบอื่นที่เคยใช้กันมาก่อนหน้านี้ สำหรับผมเองและคนรอบๆตัว เรียกได้เลยว่าไม่เจอปัญหาจากตัวระบบปฎิบัติการเลยตลอดการใช้งานกันมา อย่างไรก็ตามถามว่ามันสมบูรณ์หรือยัง ก็ยังไม่สมบูรณ์หรอกครับ ยังมีหลายจุดที่น่าจะได้รับการปรับปรุง เช่นยังขาดการ Cut and Paste ข้อความ โชคดีที่หลายจุดเป็นจุดที่ Apple รับฟังและนำไปปรับปรุง ปัจจุบัน iPhone OS นั้นอยู่ที่รุ่น 2.2.1 จากข่าวคราวที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone OS รุ่น 3.0 ซึ่งจะพร้อมให้ใช้งานได้ในช่วงกลางปีที่จะถึงนี้ ตัวนั้นจะได้รับการปรับปรุงในหลายเรื่องที่เราๆท่านๆเคยบ่นกันมาก่อน แน่นอนรวมถึงความสามารถในการพิมพ์ภาษาไทยก็จะมีใน iPhone OS รุ่น 3.0 ด้วยเช่นกัน (รุ่นปัจจุบันอ่านได้อย่างเดียว ถ้าไม่ Hack เอา)
อย่างไรก็ตามแม้ว่าระบบปฎิบัติการใน iPhone จะเป็น OS X ซึ่งโดยพื้นฐานก็อย่างที่รู้กันว่า ทำงาน Multi-tasking ได้อยู่แล้ว แต่ Apple ไม่เปิดให้โปรแกรม 3rd Party ทำงานแบบ Background โดยที่ Apple มองว่าการเปิดให้โปรแกรมทำงานค้างไว้ใน Background จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของระบบลดลง อีกทั้งยังทำให้เปลืองแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ใช้ iPhone ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ค่อยประสบปัญหากับเรื่องดังกล่าวนัก จะว่าไปในตอนแรกที่เปิดตัว iPhone เอง เขายังไม่ยอมให้มี Native Application เสียด้วยซ้ำ ;-)
?
ถือเป็นจุดขายนึงของ iPhone ที่ได้รับคำชมจากหลายสำนัก เป็น Web Browser สำหรับมือถือที่ใช้งานง่ายและแสดงผลได้ดีมาก ทำให้การดูเว็บจาก iPhone ให้ประสบการณ์ที่ใกล้เคียงจากการเข้าดูด้วยเครื่อง PC เลยทีเดียว ก่อนหน้านี้ก็มี Browser หลายตัวที่ทำงานได้ดีเช่น Opera Mini แต่ Mobile Safari ค่อนข้างทำได้ดีกว่า การรองรับ HTML , CSS , Javascript , AJAX ทำได้ดีมาก ขาดก็แต่การรองรับ Flash เท่านั้น อย่างไรก็ตามการทำงานของ Flash ในมือถือรุ่นอื่น ที่เป็นพวก Flash Lite เอาเข้าจริงแล้วก็ยังไม่ถือว่าอยู่ในขั้นที่นำมาใช้งานได้จริงจังเท่าไรนัก ในอนาคตหากจะมีคู่แข่งที่สูสีกันสักหน่อย ก็น่าจะเป็นมือถือที่ใช้ระบบ Android ของ Google ที่ใช้ WebKit ซึ่งเป็น engine เดียวกับ Mobile Safari ใช้ ทุกวันนี้สถิติการใช้งานเว็บผ่านอุปกรณ์มือถือจากสำนักต่างๆ พบว่า iPhone นำคู่แข่งลิ่ว ไม่ใช่เพราะว่า iPhone มียอดขายเยอะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะว่าตัว Mobile Safari เมื่อใช้งานแล้วมันใช้งานได้ค่อนข้าง ?จริง? กว่า Mobile Browser ตัวอื่นที่เอาเข้าจริงๆแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ฟีเจอร์ที่มีไว้ให้รู้ว่ามีแค่นั้นเอง