หลังจากที่ระบบ iOS 7 นั้นเปิดตัวออกมา ก็มีเสียงวิเคราะห์วิจารณ์ตามออกมามากมายไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะเรื่องของหน้าตา ที่เรียกได้ว่ามีการออกแบบใหม่หมดจด แบบที่ฉีกออกจากความเป็น iOS แบบเดิมๆไปเลยทีเดียว รวมไปถึงฟังชั่นด้านการใช้งานใหม่ๆด้วย
Lars Hard, CTO และผู้ก่อตั้ง Swedish AI specialists ให้ความเห็นสนับสนุนในการปฏวัติครั้งใหม่ของ Apple นี้ ว่ามีความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบการเชื่อมต่อกับผู้ใช้งานที่ดีมากขึ้นกว่าเดิมได้
การเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบเดิมที่เรียกว่า skeuomorphic มาเป็นแบบ flat หรือแนวแบบเรียบๆนั้น ถือว่าเป็นรูปแบบใหม่ ที่สามารถเรียกความสนใจจากผู้ที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี แม้ว่ามันจะถือเป็นรูปแบบที่ Microsoft ใช้ในการสื่อสารผ่านระบบใหม่อย่าง Windows 8 มาก่อนก็ตามที แต่ก็ถือว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี ในการนำเอามาใช้เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานมือถือสมาร์ทโฟนให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับรูปแบบ parallax ที่จะปรับเปลี่ยนรูปแบบภาพไปตามมุมมองของผู้ใช้งาน ที่จ้องไปที่หน้าจอ และเอ็ฟเฟ็กต์ transparency ที่จะเลือนๆให้สามารถมองทะลุผ่านไปที่วัตถุข้างหลังได้ ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำเสนอข้อมูลต่างๆที่ซับซ้อนยุ่งยาก มาแสดงผลใหม่ที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นให้กับผู้ใช้งาน
แต่จากแนวทางการพัฒนาที่มีอยู่นั้น ก็ยังคงต้องการทิศทางในการพัฒนาหลักเพิ่มอีก 2 ทิศทางใหญ่ๆด้วยกัน
อันดับแรก คือเครื่องมือถือต้องสามารถเป็นอะไรที่คาดเดาได้ ?ต้องสามารถที่จะคาดเดาแอพฯต่างๆที่เราต้องการจะใช้งานได้ โดยผ่านการเก็บข้อมูลจากการใช้งานต่างๆที่ผ่านมาของเรา ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ๆเราอยู่ หรือรูปแบบการใช้งานของเรา และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนี่จะถือว่าเป็นนวัตกรรมจริงๆ ตัวเครื่องก็จะต้องทำการป้อนข้อมูลให้กับเรา รวมไปถึงการนำเสนอรูปแบบ 3D ต่างๆในการใช้งาน ให้เหมาะสมกับระดับความรู้ความเข้าใจของผู้ใช้งานเอง นักพัฒนา จะต้องพยายามใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ของตัวเครื่องให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็จะเป็นบทบบาทของบริษัท Lars Hard นั่นเอง
ส่วนอีกเรื่องก็คือความสำคัญของระบบภาพ 3 มิติ จากความเห็นของ Ed Anuff รองประธานของบริษัท Apigee ผู้พัฒนาเทคโนโลยีแพล็ตฟอร์ม API สำหรับ mobile และ developer การออกแบบที่เป็นองค์ประกอบในส่วนต่างๆเป็นแบบ 3 มิตินั้น ถือว่าเป็นการช่วยให้การใช้งานทำได้ง่ายขึ้นจริง แต่ว่ามันก็จะต้องใช้เวลาให้ผู้คนได้เรียนรู้และเคยชินกับการที่จะใช้งานมันเช่นกัน และต่อจากนี้ไปอีก 12 เดือนข้างหน้า เราก็จะได้เห็นเอ็ฟเฟ็กต์ 3D มากขึ้นเรื่อยๆ
ที่มา: Forbes