วันนี้เราก็ไม่รู้จะทำอะไรดีนะครับ บังเอิญไปพบเจอบทความหนึ่งในเมืองนอกมาแล้วเขาทำได้ดีมากกับการนำเอา 2 เทคโนโลยีพื้นฐานกับการแสดงผลในระบบ 3D มาบวกกันว่าใครจะกินสเปคกว่ากันและใครจะสวยกว่ากันครับ
NVIDIA นั้นเปิดตัวมาราว ๆ เดือนมกราคมปี 2009 ทำออกมาเพื่อรองรับ User ในระดับ High-Ends ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ใหม่กับการเล่นเกมโดยในชุดที่ขายนั้นประกอบไปด้วยแว่นตา 3D ความถี่ขนาด 120 Hz มีตัวกระจายสัญญาญและตัวชาร์ตแว่นตาโดยใช้นามว่า ?NVIDIA 3D Vision?
สำหรับ AMD นั้นดู NVIDIA ทำตลาด 3D มานานกว่า 1 ปี โดยมันเปิดตัวครั้งแรกในปี 2010 ซึ่งมันมาพร้อมกับการ์ดจออย่าง Radeon HD 6800-series และแว่น 3D มีตัวกระจายสัญญาณโดยใช้ชื่อเทคโนโลยีนี้ว่า ?AMD HD3D?
ความแตกต่างระหว่าง 3D ของทั้งสองค่ายในเรื่องสเปค
** NVIDIA รองรับตั้งแต่ GeForce 200 ขั้นไป ใช้ได้ทั้งซีรี่ย์ที่เป็น Notebook และ Desktop
สิ่งที่ต้องการในการแสดงผลหน้าจอแบบ 3D
- การ์ดจอของ AMD Radeon HD 5000 ขึ้นไป หรือ NVIDIA GeForce 200 ขึ้นไป ควรจะเลือกการ์ดจอที่มีประสิทธิภาพในการทำงานได้สูงหน่อย เพราะระบบ 3D จะกินสเปคมาก
- หน้าจอ Monitor ที่มีความถี่หน้าจอสูงตั้งแต่ 120 Hz เป็นต้นไป
- อุปกรณ์ NVIDIA 3D Vision หรือ AMD HD3D
3D Vision Monitors Vs. AMD HD3D Monitors
NVIDIA 3D Vision จะอาศัยการเชื่อต่อกับจอ Monitor ผ่าน dual-link DVI ผ่านสัญญาณความถี่ที่ 120 Hz ที่ความละเอียดหน้าจอ 1080p/60 FPS ที่ผ่านการรับรองจาก 3D Vision monitor ส่วน AMD HD3D นั้นจะเชื่อมต่อผ่าน DisplayPort ผ่านสัญญาณความถี่ที่ 120 Hz ที่ความละเอียดหน้าจอ 1080p/60 FPS เช่นกัน ซึ่งหน้าจอของ Monitor นั้นมีน้อยมากที่จะรองรับทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้ด้วยกัน เพราะฉะนั้นเวลาจะเลือกซื้อควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนครับ
Test System And Benchmark Setup
นี่เป็นชุดที่จะทำการทดสอบนะครับ
จะเห็นได้เลยนะครับ ว่าช่วงสวิงของกราฟของ NVIDIA นั้นค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ทำให้เห็นได้เลยว่า NVIDIA ค่อนข้างกินสเปคกว่าในเกมนี้
คุณภาพความเนียนของ 3D
เราต้องใช้การดูด้วยตาเปล่าแทนนะครับ เพราะว่าระบบ 3D นั้นไม่สามารถ Capture ภาพออกมาเป็น 3D ได้ อย่างไรก็ตามการ์ดจอทั้ง 2 ค่ายก็มีทั้งเกมที่เล่นได้ต่างกันไปหนะครับ แต่แต่คาดหวังว่าอนาคตทั้ง AMD และ NVIDIA จะร่วมมือกับผู้ผลิตเกมดัง ๆ ทำระบบ 3D เจ๋ง ๆ ออกมาสู้ตลาดของโลกต่อไป เพราะฉะนั้นบอกได้เลยว่า ตลาด 3D ของโลกยังเป็นตลาดที่น่าสนใจอยู่มาก และผมคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีนี้ต้องลงมาเล่นตลาดล่างภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก :: tomshardware