ถ้าถามเหล่านักเล่นเกมส์แนว FPS ทั้งหลายว่าปี 2011 นั้นรอคอยเกมส์อะไรกันบ้าง ผมเชื่อว่าหลายคนคงบอกว่ารอที่จะเล่นเกมส์จากสตูดิโอ Kaos ของค่าย THQ ชื่อว่า Homefront
Homefront
Developer: Kaos Studio
Publisher: THQ
Genre: FPS/Shooter/Action
เครื่องขั้นต่ำที่ต้องการ:
CPU | Intel Pentium Core 2 Duo 2.4 GHz or AMD Athlon X2 2.8GHz |
RAM | 2 GB RAM |
VGA Card | NVIDIA GeForce 7900GS or ATI Radeon 1900XT |
HDD | 10 GB of free Hard Drive space |
OS | Windows XP, Windows Vista or Windows 7 |
เครื่องที่แนะนำ:
CPU | Intel or AMD Quad Core 2 GHz+ CPU |
RAM | 4 GB RAM |
VGA Card | NVIDIA GeForce 260 or ATI Radeon 4850 |
HDD | 20 GB of free Hard Drive space |
OS | Windows Vista or Windows 7 |
ถ้าถามเหล่านักเล่นเกมส์แนว FPS ทั้งหลายว่าปี 2011 นั้นรอคอยเกมส์อะไรกันบ้าง ผมเชื่อว่าหลายคนคงบอกว่ารอที่จะเล่นเกมส์จากสตูดิโอ Kaos ของค่าย THQ ชื่อว่า Homefront เคียงข้างกับเกมอื่นๆ อย่าง Battlefield 3 หรือ Crysis 2 แน่นอน เพราะ THQ มีแคมเปญจน์โปรโมทเกมนี้ได้อย่างดีเยี่ยม บวกกับวิดีโอโฆษณาระบบมัลติเพลเยอร์ของเกมที่น่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมทั้งเนื้อเรื่องในโหมดเล่นคนเดียวยังน่าสนใจ เพราะเป็นเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับการกู้อิสรภาพของสหรัฐอเมริกาจากการรุกรานของสหภาพเกาหลี ทำให้ Homefront นั้นเป็นเกมที่หลายคนคาดหวังไว้สูงเลยทีเดียว
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องเริ่มต้นในอนาคตอันใกล้ เมื่อคิม จอง อึน ขึ้นปกครองเกาหลีเหนือ และได้สร้างสัมพันธ์กับเกาหลีใต้จนรวมกันกลายเป็นสหพันธรัฐเกาหลีอันยิ่งใหญ่ ประกอบกับสภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างถึงที่สุดของสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศอ่อนแอในทุกๆ ด้าน ประชาชนเริ่มก่อจลาจลและศักยภาพทางทหารได้ถดถอยลงไป และในปีค.ศ.2025 เกาหลีได้ส่งกระสวยอวกาศที่อ้างว่าจะนำสันติภาพมาสู่คนทั้งโลก แต่กลับกลายเป็นการยิง EMP เข้าใส่สหรัฐอเมริกาจนทำให้ไฟดับทั้งหมด จนกลายเป็นเป้านิ่งให้ KPA หรือกองทัพสหพันธรัฐเกาหลียกทัพมาบุกยึดในหลายพื้นที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา
ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นอดีตนักบินนาวิกโยธิน Robert Jacobs ที่เข้าร่วมขบวนการต่อต้านเกาหลีหรือ The Resistance ที่รวมตัวกันอย่างลับๆ เพื่อต่อสู้และทวงคืนพื้นที่ที่พวกเค้าเรียกว่า ?บ้าน? ซึ่งถูกเกาหลียึดไว้ พร้อมทั้งช่วยเหลือประชาชนชาติเดียวกันที่ถูกเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยม Jacobs และพรรคพวกจึงต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เหลืออยู่เพื่อนำอิสรภาพกลับมาสู่ผืนแผ่นดินสหรัฐอเมริกาให้ได้
ฉากทั้งหมดในเกมจะเกิดขึ้นในเมืองฝั่งตะวันตกของอเมริกา และสถานที่ที่ผู้เล่นส่วนใหญ่จะต้องต่อสู้กับกองทัพเกาหลีก็คือในสวนหลังบ้าน ซุปเปอร์มาร์เก็ต สนามเบสบอล ฯลฯ ซึ่งก็นับว่าเป็นการฉีกแนวเดิมๆ ที่เกม FPS สงครามส่วนใหญ่มักจะใช้สถานที่จำเจในการสร้างฉากต่อสู้ นี่คือจุดเด่นข้อหนึ่งของ Homefront ที่ทำให้ชาวอเมริกันหลายคนอยากเล่นเกมนี้ เพราะพวกเขาอยากต่อสู้กองทัพที่มารุกรานหลังบ้านของพวกเขาเอง ฉากบางฉากก็เป็นที่น่าจดจำ โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ต่อสู้กันบนสะพานโกลเด้นเกทก็ดูสวยงามมากๆ แต่การออกแบบฉากที่ดูจะมีอะไรให้ทำมากมายแบบนี้นั้นขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับแคมเปญจน์ที่มีเพียงเจ็ดฉากเท่านั้น
เมื่อมองมาที่รายละเอียดของเนื้อเรื่อง
หลายคนก็มองว่ามันซ้ำซากจำเจเหมือนกับหลายๆ เกมที่ผ่านมา เพียงแต่อาจเปลี่ยนจากรัสเซียที่เสื่อมอำนาจลงมาเป็นเกาหลีที่เพิ่มอำนาจขึ้นเรื่อยๆ บทสนทนาของตัวละครไม่มีอะไรที่น่าจดจำมากเท่าไหร่ การให้เสียงพากษ์ก็ดูไร้อารมณ์ร่วมและขาดๆ เกินๆ ในบางตอน เกมพยายามสร้างจุดไคลแมกซ์ให้ผู้เล่นตื่นเต้นเช่นเดียวกับ Modern Warfare ที่เคยประสบความสำเร็จในด้านนี้ แต่ Homefront ทำออกมาได้อย่างน่าผิดหวัง ผู้เล่นสามารถเดาเนื้อเรื่องได้ง่ายๆ ตัวละครสำคัญอย่าง Connor, Boone หรือ Rianna ก็ไม่มีจุดเด่นอะไรให้น่าจดจำ โดยเฉพาะฉากที่ Boone ถูกแขวนศพอย่างโหดเหี้ยมของ Boone ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เล่นตกใจหรือรู้สึกเศร้าไปด้วยเลย
Graphics & Design
ผมขอรวมเอาการออกแบบในด้านต่างๆ มารวมกับด้านกราฟฟิคเลยก็แล้วกัน? Homefront ดูเหมือนจะมีจุดด้อยที่โดนนักเล่นเกมทั่วโลกตำหนินั่นก็คือเรื่องของกราฟฟิคที่หลายคนบ่นว่ามันล้าหลังเหลือเกิน พื้นผิวนั่นดูหยาบๆ ไม่ละเอียดพอ แสงเงาดูไม่มีชีวิตชีวามากเท่าที่ควร แสง flare ที่เกิดขึ้นในเกมก็เหมือนจะเป็น flare ที่เกิดจากกล้องมากกว่าสายตาของคน
บางทีก็ดูสวยงามสมจริง แต่บางครั้งก็รำคาญในยามที่กำลังสู้รบกับศัตรูจำนวนมาก นอกจากนั้นการออกแบบท่าทางของตัวละคร รูปแบบการสู้รบทางทหารก็ดูไม่สมจริงอย่างที่ควรจะเป็น และข้อด้อยที่สำคัญอีกอย่างนั่นคือระบบฟีสิกส์ที่แทบจะไม่มีอะไรเลย เวลาที่นึกอยากจะทำลายสิ่งแวดล้อมรอบข้างก็หาแทบจะไม่เจอว่าอะไรที่ทำลายได้บ้าง ทุกอย่างดูแข็งทื่อไปหมดจริงๆ
Sound
เรื่องเสียงในเกมก็โดนไม่ใช่น้อย บางครั้งแหล่งกำเนิดเสียงนั้นอยู่ไกลจากผู้เล่น แต่เราก็สามารถได้ยินชัดแจ๋วเหมือนอยู่ข้าง เสียงปืน ระเบิด ก็ดูเหมือนเป็นของเล่น ไม่กระหึ่มและตูมตามเหมือนอยู่ในสงครามเลย ซึ่งระบบเสียงของเกมในยุคนี้นั้นควรที่จะก้าวข้ามขั้นไปได้มากกว่าที่ BF:BC2 ทำไว้ได้แล้ว
แต่เสียงและเพลงประกอบใน Homefront นั้นก้าวถอยหลังไปหลายปี และยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เนื้อเรื่องดูด้อยลงไปมากยิ่งขึ้นเลยทีเดียว แม้ว่าผู้เขียนจะใช้หูฟังที่คุณภาพไม่สูงมากนัก แต่ก็รู้สึกดีกับระบบเสียงของ BF:BC2 มากกว่า Homefront เยอะv
Multiplayer
ดูเหมือนว่าทีมงานของ Homefront นั้นจะตั้งใจทำเพื่อเอาใจแฟนๆ ที่ชอบเล่นในระบบ Multiplayer เพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้เอาใจใส่กับโหมด singleplayer เลย ในขณะที่โหมดเล่นคนเดียวสามารถเล่นให้จบได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงแค่นั้น แต่นักเล่นเกมหลายคนก็ดูจะปันใจจากโหมดเล่นหลายคนของ Call of Duty มาให้ Homefront ไม่น้อย แม้ว่าโหมดที่มีให้เล่นนั้นมีเพียงไม่กี่โหมด แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะที่มีมากมาย ก็ทำให้ระบบเล่นหลายคนของ Homefront กลายเป็นคะแนนด้านบวกได้
โดยรวมแล้ว Homefront นั้นทะเยอทะยานมากเกินไปในการสร้างโมเมนต์ที่ดูน่าจดจำให้เหมือนกับ Call of Duty, การปูทางของเนื้อเรื่องที่ต้องการจะสร้างภาคต่อ แต่ไม่มีอะไรให้น่าติดตามอีกต่อไป ฉากจบที่ดูห้วนๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีข้อดีเพียงไม่กี่อย่าง ที่พอจะจำได้แม่นก็คือระบบ Multiplayer นั่นเอง
ผู้อ่านหลายคนอาจคิดว่าผมเปนแฟนบอยของ Call of Duty มากเกินไปรึเปล่า ผมขอบอกว่าใช่ครับ แต่ผมไม่ได้ปิดใจกับเกมอื่นๆ เลย ผมคาดหวังทุกครั้งเวลาเห็นเกมแนวนี้ออกมา และโปรโมทเนื้อเรื่องซะจนคิดว่ามันต้องเจ๋งแน่ๆ แต่พอออกมา ผมเลยอดไม่ได้ที่จะเอาเกมนี้ไปเทียบกับ Call of Duty โดยตรง เพราะการมาของ Call of Duty นั้นเปรียบเสมือนมาตรฐานใหม่ในการสร้างเนื้อเรื่องที่น่าจดจำ และถ้าเกมใหม่ๆ ต้องการไปถึง ณ จุดๆ นั้นแต่ไม่สามารถทำได้ การสู้รบครั้งนี้ก็แพ้โดยสิ้นเชิงให้กับมาตรฐานที่มีอยู่นะครับ
ขอบคุณเนื้อหาจาก http://www.noob.in.th