สมัยนี้อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่พ้นกระแสของโลกยุคไอทีดิจิตอล นั่นก็คือ โลกของคอมพิวเตอร์ไอที ที่ลุดหน้าและก้าวล้ำเกินใคร เร็วมากครับ มากซะจนเราเองมักตามไม่ทัน ตั้งแต่ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เช่น ซีพียู ปัจจุบันมีถึง Core i7 และ Core i5 กันแล้ว ตามติดด้วยฮาร์ดดิสก์แบบ SSD?ยิ่งเล็ก ยิ่งบาง ความจุยิ่งสูง ไม่เว้นแม้กระทั่งธัมป์ไดร์ฟ อีกทั้งการ์ดจอค่ายแดงข้ามสายพันธุ์ซีรีย์จาก 4000 series มาเป็น?5000 series?แซงหน้าค่ายเขียวแบบไม่เห็นฝุ่น ส่วนเมนบอร์ดก็เปลี่ยนซ็อกเกตจาก LGA775 กลายมาเป็น LGA1156?หรือจะเป็นจอมอนิเตอร์ แม้แต่จอทีวี จาก LCD ที่กำลังวิวัฒนาการเป็น LED สุดท้ายแม้กระทั่งปริ้นเตอร์ที่เราใช้งานกันทั่วๆ ไป เนี้ย ก็เปลี่ยนมาเป็นไวเรส ไร้สายซะงั้น ให้ตายสิ?โรบิ้น… แหม เอาละครับ ถ้าอยากรู้ว่าไอทีในปลายปีนี้ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างนั้น ส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วแค่ไหน ต้องตามติดงาน Commart Comtech Thailand 2009?ที่จะมีขึ้น 5 – 8 พฤศจิกายนนี้นะครับ รับรอง !! คุณจะกระจ่างแบบเต็มๆ ตา
1. ก้าวสู่การแสดงผลที่คมชัดสดใส ด้วยระบบ LED
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้หลายคนให้ความสนใจในเรื่องของจอภาพแบบ LED มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุที่เป็นเทคโนโลยีการแสดงผลดังกล่าวได้การยอมรับในเรื่องของความคมชัดและสีสันที่สดใส ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ในตลาดของ LED TV ก็มีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่ามีให้ได้เห็นเกือบทุกยี่ห้อ ซึ่งเป็นจอแสดงผลระดับ 42? ขึ้นไป ข้อดีของจอประเภทนี้ก็คือ ให้ความสว่างสดใสและภาพที่ได้มีความคมชัด ที่สำคัญยังส่งผลต่อการออกแบบจอภาพได้บางลงและประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เนื่องจากเปลี่ยนจากการใช้หลอดแบบ CCFL มาเป็นหลอดแบบ LED ที่กินไฟน้อยกว่าถึง 40% ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ แม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ได้ก้าวสู่การเป็นจอ LED อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็นับว่าเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่ก้าวเข้ามาให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกันอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น
โดยในช่วงปีหน้าก็จะถึงเวลาของจอแสดงผล LED Monitor ซึ่งก็เริ่มมีให้ผู้ใช้ได้สัมผัสกันบ้างแล้ว โดยเริ่มทยอยเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องในเวลานี้ ด้วยจอแสดงผลขนาด 22?-24? จุดเด่นที่นอกจากการให้ภาพที่มีความคมชัดและสีสันที่สดใส รวมถึงให้ภาพที่มีมิติมากขึ้นด้วยการให้ความละเอียดของสีดำ-ขาวได้อย่างชัดเจน บางรุ่นยังออกมารองรับการแสดงผลในระดับ Full Hi-Def และการเชื่อมต่อแบบ HDMI ที่สำคัญยังประหยัดพลังงานและมีดีไซน์ที่บางเฉียบ จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่งสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในยุคต่อไปที่จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีการแสดงผลระดับคุณภาพ ที่มีความคุ้มค่าในระยะยาว
2. ตอบรับกับระบบจัดเก็บข้อมูลความเร็วสูงด้วย SSD
ในช่วงปีที่ผ่านมาแม้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนโดยทั่วไป จะก้าวสู่ความจุในระดับ 2 Terabyte หรือ 2000GB แล้วก็ตาม แต่ฮาร์ดดิสก์แบบใหม่ที่เรียกว่า SSD ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในส่วนของความจุ ก็ยังขยับอยู่ที่ 64GB-128GB ถึงแม้ว่าราคาจะยังค่อนข้างสูงก็ตาม แต่ก็ถือว่าปีนี้ก็จะเป็นอีกช่วงเวลาที่ดีสำหรับสื่อจัดเก็บข้อมูลประสิทธิภาพสูงเช่นนี้ จะเข้ามาให้ผู้ใช้ได้สัมผัสมากขึ้นและมีความจุที่สูงขึ้น โดยเฉพาะความจุระดับ 256GB ขึ้นไป ก็จะมีให้ได้เลือกใช้กันในบ้านเรา
โดยจุดเด่นที่ทำให้แนวโน้มของฮาร์ดดิสก์ประเภทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นก็คือ มีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว ซึ่งโดยทั่วไปจะมีค่า Access time 0.1ms ซึ่งเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ทั่วไปอยู่หลายเท่าตัว เนื่องจากไม่ต้องหมุนเพลตในการหาข้อมูล เมื่อไม่ต้องมีกลไกในการเคลื่อนที่ภายในไดรฟ์แล้ว จึงไร้เสียงรบกวนในเวลาทำงาน ที่สำคัญก็คือ ใช้พลังงานที่ต่ำมาก โดยมีค่า TDP อยู่ที่ 1W เท่านั้น และในเวลานี้ไม่ได้มีเพียงไดรฟ์ในแบบติดตั้งภายในเท่านั้น ยังมีในรูปแบบ External Drive ให้เป็นทางเลือกอีกด้วย จึงนับเป็นอีกเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบใหม่ที่น่าจับตาเวลานี้
3. แฟลชไดรฟ์ขนาดเล็กลง แต่ความจุมหาศาลและปลอดภัยยิ่งขึ้น
ความก้าวหน้าของสื่อจัดเก็บข้อมูลแบบพกพาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป โดยเฉพาะความจุที่มีขนาดใหญ่ขึ้นทุกขณะ โดยปัจจุบันแม้ว่าความจุมาตรฐานที่มีจำหน่ายอยู่ในบ้านเราจะอยู่ที่ประมาณ 8GB-16GB ก็ตาม แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีความจุมากขึ้นเท่าตัวในทุกๆ 3 เดือน เช่นเดียวกับหลายค่ายก็เริ่มทยอยเปิดตัวแฟลชไดรฟ์ในระดับ 32GB-128GB ให้ได้เห็นกันบ้างแล้ว ซึ่งล่าสุดทาง Kingston ผู้ผลิตหน่วยความจำรายใหญ่ของโลก ก็ได้เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ในรุ่นความจุที่สูงถึง 256GB อีกด้วย ซึ่งความจุในระดับดังกล่าว ช่วยให้การเคลื่อนย้ายข้อมูลเป็นไปอย่างคล่องตัว โดยเฉพาะในยุคที่ไฟล์ข้อมูลมัลติมีเดียมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกขณะ
ด้วยการรองรับความจุขนาดใหญ่นี้เอง จึงช่วยให้คุณประโยชน์และรูปแบบการใช้แฟลชไดรฟ์ที่ยืดหยุ่นมาก นอกเหนือจากการใช้เก็บและเคลื่อนย้ายข้อมูลเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นสำหรับการสำรองข้อมูล ใช้สำหรับการบูตระบบ รวมไปถึงการกู้ข้อมูลภายในตัวและการจำลองพีซีที่บ้านไปใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการใช้งานแฟลชไดรฟ์ได้อย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
นอกจากความจุที่เพิ่มขึ้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์จากแฟลชไดรฟ์รุ่นใหม่ๆ ก็คือ ซอฟต์แวร์และระบบป้องกันไวรัสและการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต บางคนที่มีข้อมูลสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องจัดเก็บและพกพาไปด้วยเสมอหรือจำเป็นต้องนำไปใช้ในคอมพ์เครื่องอื่นที่มีความเสี่ยงด้านไวรัส ความปลอดภัยย่อมเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นแล้วปัจจุบันมี USB drive หลายรุ่นที่ติดตั้งซอฟต์แวร์ Anti Virus โดยเฉพาะหรือบางรุ่นติดตั้ง Fingerprint scan ก็ช่วยให้ผู้อื่นไม่สามารถล้วงข้อมูลที่อยู่ภายในไปใช้ได้ เรียกได้ว่าทั้งสองแบบเป็นสิ่งที่ทำให้ช่วยให้คุณใช้งานได้ปลอดภัยขึ้น
4. เครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ขนาดเล็ก ใช้งานง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก
ในชีวิตประจำวันเครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์ส่วนมากจะมีขนาดใหญ่ เพื่อไว้ตอบสนองในด้านการแสดงผลและการพรีเซนเทชันภายในสำนักงานหรือสถานศึกษา ซึ่งนั่นหมายถึงจะต้องมีองค์ประกอบต่างๆ เช่น ฉากหลังและระยะการจัดวางที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน ซึ่งแน่นอนว่าคงมีเพียงไม่กี่รุ่นที่ออกแบบ สำหรับการพกพาไปใช้ยังสถานที่ต่างๆ อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ความต้องการเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตมีมากขึ้น เครื่องฉายโปรเจ็กเตอร์แบบที่เป็น Personal Projector เพื่อนำไปใช้ในงานนอกสถานที่หรือความบันเทิงภายในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนๆ เพื่อลดข้อจำกัดของการแสดงผลผ่านทางหน้าจอโน๊ตบุ๊คตัวเล็กๆ ก็คงไม่ได้ให้ภาพที่มองเห็นชัดมากนักหรือการจะหาจอแสดงผลขนาดใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การจะแบกโน๊ตบุ๊คจอใหญ่ๆ ไปเที่ยวด้วยก็คงไม่ใช่สิ่งที่สะดวกนัก
แต่วันนี้ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาตอบโจทย์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างตรงตัวที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นโปรเจ็กเตอร์ขนาดกะทัดรัด ซึ่งมีขนาดเล็กเพียงฝ่ามือเท่านั้น แต่สามารถแสดงผลได้กว้างถึง 42? ให้ความคมชัดได้เช่นเดียวกับโปรเจ็กเตอร์ทั่วไป แถมยังใช้ร่วมกับอุปกรณ์ประเภทโมบาย ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือหรือ PDA ได้อีกด้วย มีแบตเตอรี่ในตัวสำหรับการเคลื่อนย้ายและพกพาได้สะดวก นับว่าเป็นเทคโนโลยีอีกรูปแบบหนึ่งที่จะเข้ามาให้ได้สัมผัสกันมากขึ้นในไม่ช้านี้
5. สั่งพิมพ์งานผ่านระบบเครือข่ายไร้สายด้วย Wireless Printer
เทคโนโลยีงานพิมพ์ นับเป็นเรื่องใกล้ตัวของหลายคน โดยเฉพาะผู้ใช้ในสำนักงานหรือองค์กร ที่ต้องอาศัยความรวดเร็วและความสะดวกในการเชื่อมต่อสำหรับงานพิมพ์ ด้วยความรุดหน้าของการเชื่อมต่อไร้สาย จึงทำให้ในส่วนของเครื่องพิมพ์ที่ในอดีต เคยถูกใช้การเชื่อมต่อผ่านพอร์ตต่างๆ เป็นหลัก ทำให้บางครั้งมีความยุ่งยากทั้งในการติดตั้งและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น พลิกโฉมมาเป็นรูปแบบของการเชื่อมต่อไร้สาย ซึ่งช่วยให้การสั่งพิมพ์งานจากจุดต่างๆ ของสำนักงานหรือภายในบ้านได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ซึ่งในปัจจุบันก็จะได้เห็นพรินเตอร์ที่มีการติดตั้งชุดควบคุมเครือข่ายไร้สายทั้งในส่วนที่เป็น Wireless 802.11b/s หรือ Bluetooth มาในตัวมากขึ้น ดังนั้นก็ถือว่าเป็นแนวโน้มอีกรูปแบบหนึ่งของการเชื่อมต่อพรินเตอร์แห่งอนาคตที่จะเข้ามาช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างสะดวกสบายอย่างแน่นอน
6. โมบายซีพียูประหยัดพลังงานและรองรับระบบมัลติเธรด
ซีพียูโมบาย (Mobile Processor) ถือได้ว่ามีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในปัจจุบันและมีเทคโนโลยีที่น่าทึ่งเกิดขึ้นมากมาย เช่นเดียวในปัจจุบันที่นอกจากจะมีซีพียูในระดับ Quad Core เพื่อตอบสนองการทำงานในกลุ่มมัลติทาส์กกิ้ง ที่รองรับการประมวลผลได้มากกว่า 1 งานในเวลาเดียวกันแล้ว ก็ยังมีซีพียูที่ประหยัดพลังงาน เพื่อให้ใช้งานโน๊ตบุ๊คได้ยาวนานมากขึ้นอีกด้วย
โดยซีพียูโมบายกินไฟน้อยรุ่นใหม่ ที่เข้ามาให้ผู้ใช้ได้สัมผัสเป็นครั้งแรกในช่วงกลางปี 2552 ที่ผ่านมาในชื่อ CULV หรือ Consumer Ultra Low Voltage ยังคงเป็นเทรนด์ที่มีความร้อนแรงและเป็นที่ต้องการของผู้ใช้หลายคน ที่ต้องการโน๊ตบุ๊คประหยัดไฟ ความร้อนต่ำ มีระยะเวลาในใช้งานได้ยาวนาน แถมยังมีราคาที่ถูกลง กลุ่มตลาดนี้จะโตขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ที่เล็งเห็นความสำคัญในด้านการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า
โดยซีพียูกลุ่มนี้จะมีตั้งแต่รุ่นเล็กที่เป็น Celeron, Pentium Dual Core ไล่ไปจนถึง Core Solo และ Core 2 Duo สิ่งที่เป็นคุณลักษณะเด่นของซีพียูรุ่นนี้ก็คือ ค่า TDP จะค่อนข้างน้อยกว่าซีพียูในรุ่นปกติอยู่ถึงเท่าตัว เพราะมีค่า TDP อยู่ที่ประมาณ 5.5W-10W เท่านั้น ซึ่งจะน้อยกว่าซีพียูโมบายปกติที่จะมีค่า TDP อยู่ที่ประมาณ 25W-35W และด้วยการที่มีค่า TDP น้อยลง จึงทำให้โน๊ตบุ๊คที่ใช้ซีพียูในกลุ่มดังกล่าว จึงทำให้โน๊ตบุ๊คสามารถใช้งานได้นานถึง 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว แถมยังมาพร้อมเทคโนโลยี Intel Laminar Wall Jet ซึ่งช่วยในการระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่ต้องพึ่งพาชุดฮีตซิงก์ที่ใหญ่โต ดังนั้นแล้วการออกแบบบอดี้จึงเล็กและบางได้แบบสุดๆอีกด้วย
สำหรับซีพียูในกลุ่ม CULV นี้จะใช้รหัส ?SU? เป็นตัวนำหน้าและต่อด้วยเลข เช่น SU9600 ก็จะเป็นซีพียู Core 2 Duo (CULV) ความเร็ว 1.60GHz เป็นต้น และทางอินเทลจะยังใช้โลโก้ Centrino กับโน๊ตบุ๊คที่ใช้ซีพียู Core 2 Duo ตาม เงื่อนไขของชิปเซตและ WiFi 5xxx series ตรงตามที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตามการพัฒนาไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ซึ่งในไม่ช้านี้เราก็จะได้เห็นโมบายซีพียูที่ทรงประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับซีพียูเดสก์ทอปในปัจจุบันและสำหรับซีพียูโมบายที่ใกล้เข้ามานี้ ภายใต้ชื่อ Intel Core i7 Mobile Processor จะเป็นซีพียูในกลุ่มที่เป็นมัลติเธรดที่นอกจากจะใช้สถาปัตยกรรมในแบบ Quad Core แล้ว ยังมีเทคโนโลยี Hyper Threading เพื่อรองรับการทำงานที่ต้องการพลังการประมวลผลที่สูง ไม่ว่าจะเป็นงานสื่อดิจิตอล รูปภาพหรือแอพพลิเคชันทางธุรกิจ งานตัดต่อหรืองานกราฟิก รวมถึงตอบสนองต่อการเล่นเกมได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญยังมีระบบเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ด้วยการเพิ่มสัญญาณนาฬิกาให้สูงขึ้นหรือที่เรียกว่า ?TurboBoost? ได้อีกด้วย เพื่อช่วยลดเวลาการทำงานลงได้อีกด้วย คุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ จะมีให้เราได้สัมผัสกันในเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งในปีหน้านี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่ผู้ใช้จะได้สัมผัสโน๊ตบุ๊คทรงประสิทธิภาพ
7. Micro four-third ก้าวสู่ยุค D-SLR ในร่าง Compact
ในหลายครั้งที่การพกพากล้องขนาดใหญ่ อาจทำให้ความคล่องตัวในการใช้งานลดลง แต่อย่างไรก็ตามกล้องแบบ D-SLR ก็ถือว่าเป็นกล้องที่ให้คุณภาพสำหรับงานภาพถ่ายที่ทรงคุณค่า ซึ่งในบางครั้งกล้องคอมแพคธรรมดา อาจตอบสนองไม่ได้อย่างที่คิด ดังนั้นแล้วจะดีหรือไม่ถ้ามีกล้องที่ให้ความคมชัดและคุณภาพที่สูง แต่มีขนาดกะทัดรัดระดับกล้องคอมแพค แล้วสามารถเปลี่ยนเลนส์ได้อีกด้วย ซึ่งต่อไปเราก็จะได้รู้จักกล้องประเภทดังกล่าวมากขึ้น ภายใต้ชื่อ Micro Four Third
หลักการทำงานของกล้องที่ใช้มาตรฐานใหม่อย่างระบบ Micro Four Third จะใช้อิมเมจเซ็นเซอร์รับแสงที่ผ่านมาจากเลนส์เข้ามาโดยตรง ทำให้เซ็นเซอร์ทำงานตลอดเวลา ซึ่งเราก็ใช้ประโยชน์จากส่วนนี้ทำเป็น Live View ซึ่งทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าเดิม โดยที่จากแต่ก่อนภาพที่เรามองในช่องมองภาพกับภาพที่ถ่ายมานั้นมันไม่ใช่ภาพที่เหมือนกันเสมอไป เพราะตาของมนุษย์เรานั้นมี Dynamic Range ที่มากกว่า Image Sensor ของกล้องดิจิตอล สังเกตได้จากในบางครั้งที่เราเล็งในช่องมองภาพเราเห็นต้นไม้สีเขียวสดกับท้องฟ้าที่สดใสได้พร้อมกัน แต่หลังจากกดชัตเตอร์ลงไปแล้วมาดูในจอ LCD หลังกล้องแล้ว ท้องฟ้าก็สดใสแต่ทำไมต้นไม้สีเขียวกับดูมืดๆ กว่าที่เรามองเห็นในช่องมองภาพในตอนแรก อีกทั้งยังเรื่อง White Balance ที่เราจะเห็นได้ทันทีหลังจากที่เราปรับค่าแล้ว ซึ่งใน D-SLR ที่ไม่มี Live View ในส่วนนี้ไม่สามารถทำได้
หากเราจะพูดถึงข้อดีก็คือ ทำให้การผลิตบอดี้จากปกติที่มีขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลงมากกว่าเดิมรวมถึงน้ำหนักลดลงกว่าครึ่งทีเดียวรวมถึงเลนส์ก็มีขนาดลดลงมาด้วย ส่วนข้อสังเกตก็คือการเลือกใช้ Electronic viewfinder และจอ LCD มาแทนการมองผ่านช่องมองภาพแบบเดิมที่ใช้กระจกสะท้อนภาพ หากใครที่ใช้กล้อง D-SLR อยู่เป็นประจำนั้นแรกๆ คงรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่ แต่ในส่วนนี้ก็จะได้ Live View มาเสริมกันได้อยู่และยังรองรับการ์ดบันทึกภาพเป็น SD, SDHC ที่เป็นที่นิยมหาซื้อได้ง่ายแถมยังราคาถูกอีกด้วย
8. เพิ่มแบนด์วิดธ์และประสิทธิภาพโน๊ตบุ๊คให้สูงขึ้นด้วย DDR3
ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีมานี้ ถือว่าเป็นจุดที่แรม DDR2 สำหรับโน๊ตบุ๊คก้าวมาสู่ตลาดแบบเต็มตัวและอาจกล่าวได้ว่าใกล้จะถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่ง จากการที่ DDR3 ได้เข้ามามีบทบาทในตลาดโน๊ตบุ๊คมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในยุคของซีพียู Centrino2 ที่เริ่มมีการใช้ DDR3 มากขึ้นในแพลตฟอร์มของ PM45 รวมถึงการมาของซีพียูโมบายรุ่นใหม่ Intel Core i7 Mobile Processor จะสนับสนุนการทำงานร่วมกับ DDR3 1333MHz ในด้านประสิทธิภาพ การใช้แรมความเร็วสูงนี้ ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยเสริมให้ทำงานเต็มที่ยิ่งขึ้น ด้วยแบนด์วิดธ์ในการติดต่อข้อมูล 8.5GB/s บนแรม DDR3 1066MHz ก็สูงกว่า 6.4GB/s ของ DDR2 800 ในระดับหนึ่งและสอดคล้องต่อการใช้งานร่วมกับซีพียูและชิปเซตรุ่นใหม่ที่เป็น Centrino2 และ Mobile Core i7 ได้อย่างพอเหมาะ
ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าเวลานี้ก็เรียกว่า อาจจะแพงในช่วงเริ่มต้น เพราะแพลตฟอร์มที่ใช้จะราคาสูงกว่าแบบ DDR2 แต่ในข้อก่อนหน้านี้สังเกตได้ว่าปัจจุบันโน๊ตบุ๊ค DDR3 เวลานี้ก็เริ่มต้นแค่ 2 หมื่นกว่าบาท ฉะนั้นก็เรียกว่าราคาไม่ได้สูงเกินไปนัก รวมถึงราคา DDR3 ไม่ว่าจะเพิ่มความจุจากทางร้านที่ซื้อหรือเลือกอัพเกรดในภายหลังก็แทบจะไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าหากอัพเกรดจากร้านก็อาจจะได้ราคาพิเศษหรืออาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับโปรโมชันและการต่อรองของผู้ซื้อ ส่วนการใช้พลังงาน ด้วยเหตุที่ว่า DDR3 กินไฟน้อยกว่า DDR2 อยู่เพียง 0.3V แม้จะเป็นเพียงตัวเลขเล็กน้อย ถ้าเป็นพีซีก็แทบจะไม่มีผล แต่ถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คก็ต้องบอกว่า มีอุปกรณ์ที่ใช้ไฟน้อยลงไม่กี่ชิ้น ก็มีช่วยให้ระยะเวลาในการใช้งานยาวนานยิ่งขึ้นได้เหมือนกัน
อ้างอิงข้อมูลจาก : commartthailand