Test
การทดสอบครั้งนี้ผมจะใช้คู่กับแผ่นรอง Razer eXactMat ด้าน Control ครับ
ขนาดของตัวเม้าส์เมื่อเทียบกับ Razer Copperhead (Asus OEM) ดูไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป ถ้าลองจับเปรียบเทียบดู DeathAdder จะรู้สึกกระชับมากกว่า Copperhead ครับ ปุ่มฟังก์ชั่นกดได้ง่ายกว่า ต่อไปผมจะทดสอบเล่นเกมต่างๆครับ หลักๆก็จะเป็นแนว FPS เพื่อให้เห็นถึงประสิทธิภาพมากที่สุด
Minesweeper
เกมแรกที่ทดสอบเป็นเกมที่ติดมากับ Windows XP ชื่อเกมว่า Minesweeper ครับ ซึ่งต้องการความแม่นยำในการคลิ้กที่สูงและรวดเร็ว DeathAdder ตอบสนองได้อย่างดีครับ ถึงกับน็อคไปเลย
Call of Duty 5: World at War
คงไม่มีใครไม่รู้จักนะครับ สำหรับ Call of Duty เกมแนวเดินหน้ายิงแหลก ซึ่งเจ้า DeathAdder ก็ทำให้ผมสนุกไปกับเกมมากขึ้นเลยทีเดียว ถ้าเทียบกับเซนเซอร์แบบ Laser แล้ว ผมแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง
ไม่ว่าจะยิงไกล
หรอยหลังโกโบริ
หรือว่ายิ่งหัว ก็สามารถควบคุมได้อย่างคล่องตัว คงเป็นเพราะดีไซน์ที่เหมาะสำหรับมือขวาเอามากๆ อยากจะยิงส่วนไหนแทบจะสั่งได้เลยทีเดียวครับ
ยิงไข่เพื่อนโกโบริก็ไม่พลาดครับ ฮ่าๆๆ
Dead Space
เป็นที่ทราบกันดีสำหรับคอเกม Dead Space ว่า เกมนี้เน้นยิงตัดกำลังในอวัยวะจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแขน, ขา, หัว, หาง ซึ่งต้องอาศัยความแม่นยำที่สูงมาก และเม้าส์ตัวนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ
สัตว์ประหลาดขาด้วนกันทั้งคอกครับ
ตัวระเบิด Bomber Man ยังไม่ทันสะบัด อวัยวะ
หัวหน้าใหญ่ที่ไม่ชอบอยู่นิ่งก็ยังขี้แตกไปตามๆกัน
สถานการณ์ที่ต้องปรับ DPI สูงขึ้น เนื่องจากมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วมาก ในจังหวะนี้ DeathAdder ก็สามารถปรับแบบ On-the-Fly ได้ทันท่วงที ผมขอพูดถึงข้อดีข้อเสียและบทสรุปของเม้าส์ตัวนี้เลยแล้วกัน
ข้อดี
– วัสดุคุณภาพดี
– ฟังก์ชั่นครบครัน
– ราคาไม่สูง
– รูปทรงถนัดมือ (สำหรับผู้ที่ถนัดมือขวา)
ข้อเสีย
– ไม่เหมาะกับผู้ที่ถนัดมือซ้าย
– ไม่มีตุ้มถ่วงน้ำหนัก
สรุป
Razer DeathAdder เป็นเม้าส์ที่สมบูรณ์แบบตัวหนึ่ง หากเทียบราคาต่อคุณภาพแล้วต้องบอกว่าไม่แพง ค่า DPI ที่เหมาะสม ฟังก์ชั่นต่างๆสามารถนำมาใช้งานได้จริง ไม่มากหรือน้อยเกินไป ถ้าเทียบกับเม้าส์ราคาสูงกว่า ที่มีปุ่มเยอะกว่า ฟังก์ชั่นเยอะกว่า แต่คุณไม่ได้ใช้ฟังก์ชั่นเหล่านั้น มันก็ไม่มีประโยชน์ที่คุณต้องไปเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อขยะเทคโนโลยี คะแนนสำหรับเม้าส์ตัวนี้ ผมให้ 9.8 เต็ม 10 ครับ